xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 29 พ.ค.-4 มิ.ย.2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.“อัจฉริยะ” ข้องใจชุด “กระติก” เปื้อนเลือด “แตงโม” ก่อนเปิดประเด็นรองเท้าชายคนหนึ่งบนเรือเปื้อนเลือด!

ความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของแตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ นักแสดงสาวชื่อดัง ที่เพื่อน 5 คนบนเรือสปีดโบ๊ทอ้างว่าแตงโมตกจากเรือเมื่อคืนวันที่ 24 ก.พ. โดยนางภนิดา แม่ของแตงโม ได้ออกมาเผยเมื่อวันที่ 28 พ.ค.ว่า ได้เห็นหลักฐานจากโทรศัพท์ของแตงโม ที่ทำให้เชื่อได้ว่า แตงโมถูกฆาตกรรม และเป็นการเสียชีวิตบนบก ไม่ใช่ในน้ำ "น้องโมไม่ได้เสียชีวิตในน้ำ แต่เสียชีวิตบนบก คุณแม่เห็นหลักฐานว่าเสียชีวิตบนบก ข้อมูลนี้มันอยู่ในมือถือน้องโมนะ เขาถ่ายแม้กระทั่งถนนที่เขาเดิน เป็นดิน เป็นกรวด หรือเป็นทราย ถ่ายเครื่องเรือ ถ่ายทุกอย่างที่เธอมีโอกาสที่จะกดกล้องถ่ายรูปได้รอบตัวเพื่อเป็นหลักฐาน เธอน่าจะคิดว่าเธอไม่รอดแน่ๆ เธอก็ถ่ายมันทุกอย่างเลย แล้วมันก็อยู่ในกล้อง”

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ค. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธรานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลซ์ ได้นำนางภนิดา มารดาแตงโม ยื่นหนังสือถึงนายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อขอรับวัตถุพยานจาก กมธ.ไปส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ตรวจสอบ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในคดีแตงโม ซึ่งพัสดุดังกล่าว ถูกส่งมาจากสหรัฐอเมริกา คาดว่าเป็นผ้าคาดเอวที่บังแจ็คส่งมาให้ กมธ.สิทธิฯ โดยส่งผ่าน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ส.ว.

นายสมชาย กล่าวว่า กมธ.ได้รับพัสดุดังกล่าวจากผู้ที่อ้างตัวเป็นผู้หวังดี ซึ่ง กมธ. ยังไม่ได้แกะพัสดุดังกล่าวว่าเป็นอะไร แต่เมื่อได้รับพัสดุมา กมธ.ได้ทำหนังสือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อจะส่งหลักฐานให้ แต่ตำรวจแจ้งว่า สรุปปิดสำนวนคดีไปแล้ว อยู่ในขั้นตอนอัยการ จึงส่งเรื่องให้อัยการทราบถึงหลักฐานดังกล่าว แต่ยังไม่มีการตอบกลับมา อยากให้เปิดพัสดุในที่ประชุม กมธ.โดยเชิญอัยการมาดูพร้อมกันว่า จะเป็นวัตถุพยานสำคัญหรือไม่ ถ้ามีส่วนสำคัญ จะให้อัยการไปตรวจสอบต่อไป

ด้านนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมทีมนักประดาน้ำและทีมโดรนใต้น้ำ ได้ดำน้ำเมื่อวันที่ 31 พ.ค. เพื่อค้นหามีดหรือที่เปิดขวดไวน์ ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของแตงโม โดยใช้เวลาวนอยู่บริเวณใต้สะพานพระราม 7 นานกว่าจุดอื่น เพราะมีข้อมูลจากกล้องวงจรปิดว่า วันเกิดเหตุ เรือสปีดโบ๊ทของ 5 คน วนอยู่จุดนี้นานมาก อาจมีการทิ้งหลักฐานบริเวณนี้ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะกระแสน้ำด้านล่างไหลแรง จนทำให้โดรนพลิกไปมา และลงได้เพียง 7-15 เมตรเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นใต้น้ำได้ และแยกไม่ออกระหว่างขยะใต้น้ำกับโลหะ

ทั้งนี้ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า หลังจากนี้จะไม่ค้นหาหลักฐานชิ้นนี้แล้ว เพราะหลักฐานที่มี เพียงพอกับการเอาผิด แต่ที่มาหาครั้งนี้ เพราะอยากจะให้โทษที่เตรียมฟ้องหนักมากยิ่งขึ้น และว่า จะขอเดินหน้าเขียนคำฟ้องคนบนเรือ พร้อมเผยหลักฐานสำคัญ พบคราบเลือดแตงโมเลอะเสื้อคนบนเรือ แต่ไม่ขอเปิดชื่อ แต่บอกใบให้นักข่าวว่า เป็นคนที่พูดเก่งๆ เสื้อมีคราบเลือดแตงโม 2 จุด ไม่รู้ว่าในสำนวนมีเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ตนมีหลักฐานอยู่แล้ว แต่รอให้อัยการพิจารณาก่อน

ด้าน "กระติก" อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ 1 ใน 5 ผู้ต้องหาคดีแตงโม ได้ออกมายอมรับว่า มีเลือดเปื้อนที่ชุดที่ตนใส่วันเกิดเหตุจริง 2 จุด แต่อ้างว่า ชุดที่ตนใส่เป็นชุดของแตงโมที่ตนยืมใส่ ซึ่งตนเห็นคราบเลือด 2 จุดดังกล่าวก่อนใส่ชุดแล้ว แต่เห็นว่า เลือดแค่จุดเล็กๆ แทบมองไม่เห็น จึงตัดสินใจใส่ พร้อมอ้างด้วยว่า แตงโมเคยใส่ชุดนี้แล้ว และไม่ได้ซัก ก่อนที่ตนจะยืมมาใส่ พร้อมยืนยันว่า เรื่องนี้ ตนให้การตำรวจไปตั้งแต่แรกแล้ว

ขณะที่ พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้มีคนหรือกลุ่มบุคคล อ้างว่า ได้ค้นพบวัตถุพยานใหม่ในคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา และสามารถนำมาเป็นวัตถุพยานสำคัญในคดีได้ โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่อาจจะปนเปื้อนคราบเลือด หรือดีเอ็นเอ ของบุคคลบนเรือนั้น ขอเรียนให้ทราบว่า วัตถุพยานที่กำลังกล่าวอ้างถึงหรือวัตถุพยานอื่นๆ พนักงานสอบสวนได้รวบรวมและผ่านกระบวนการทางการสอบสวน กระบวนทางนิติวิทยาศาสตร์ ได้ถูกรวบรวมไว้ในสำนวนการสอบสวนไว้ตั้งแต่เบื้องต้นแล้ว การที่มีบุคคลมากล่าวอ้างว่าได้ค้นพบหลักฐานใหม่ ขอยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร และที่สำคัญ วัตถุพยาน พยานบุคคล หรือพยานอื่นใดในสำนวนการสอบสวนไม่สามารถนำมาตีแผ่เล่าให้กับสังคมฟังได้ทุกเรื่อง เนื่องจากเป็นความลับในสำนวนการสอบสวน ซึ่งอาจจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับบุคคลอื่นใดที่อยู่ในสำนวน

ทั้งนี้ นายอัจฉริยะ ยังได้เปิดประเด็นใหม่อีกครั้งขณะไลฟ์ผ่านยูทูปช่อง "โคนัน เมืองไทย" เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. โดยระบุว่า รองเท้าคนบนเรือรายหนึ่งเปื้อนเลือด โดยนายอัจฉริยะ พูดถึงประเด็นคราบเลือดบนเสื้อผ้าของคนบนเรือก่อนว่า ไม่เคยระบุว่าใครเป็นคนสวมใส่ แต่ทางเจ้าตัวออกมาสารภาพเองกลางรายการ น่าเหลือเชื่อที่ดาราอย่างน้องแตงโมใส่เสื้อตัวนี้ออกรายการแล้วไม่ซักก่อนเอามาขาย

อีกอย่างถ้าเสื้อผ้าเปื้อนเลือด คุณยังยืมเสื้อน้องแตงโมมาใส่ ตรงนี้ประชาชนทั้งประเทศคงไม่มีใครเชื่อคุณ นอกจากตำรวจภูธรภาค 1 เท่านั้นที่เชื่อ อยากถามอีกข้อ ถ้าเสื้อตัวดังกล่าวเปื้อนเลือด ทั้งที่ใส่ออกรายการครั้งเดียว อยากถามว่าติดเลือดมาจากไหน หรือจะอ้างว่าน้องแตงโมมีประจำเดือน

นอกจากนั้น นายอัจฉริยะยังเปิดประเด็นเรื่องรองเท้าคนบนเรือรายหนึ่งเปื้อนเลือด โดยบอกว่า ทราบมาว่ามีผู้ชายคนหนึ่งบนเรือที่มีรองเท้าเปื้อนเลือด แต่มันบอกว่าเป็นน้ำแดงเฮลล์บลูบอย ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ลองไปติดตามดูแล้วกันว่า มีรองเท้าเปื้อนเลือดหรือไม่ อยากรู้ว่าตำรวจสืบภาค 1 เก็บมาไว้หรือเปล่า และประเด็นรองเท้าเปื้อนเลือดมันอยู่ในสำนวนแล้วหรือไม่ "วันนี้ตนไม่แปลกใจเลยที่ในคดีนี้มีคนเดียวที่ไม่เคยออกมาพูดกับใคร คือนายโรเบิร์ตทิงนองนอย ที่ไม่เคยพูดกับใครเลย ซึ่งเป็นคนที่เราจับตามองมากที่สุด อยากท้าโรเบิร์ตให้ออกมาดีเบตกับตนที่รายการโหนกระแส โรเบิร์ตกับจ๊อบ ผมให้ 2 ต่อ 1 เลย อยากเอาหลักฐานในรูปภาพบางอย่างไปถามว่าเปื้อนอะไรมา กล้าไหมถ้าไม่กล้าออกมาสาบาน"

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธรานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลซ์ ได้ออกมาเผยว่า นางภนิดา มารดาแตงโม จะเปิดภาพศพของแตงโม เพื่อให้ได้เห็นกันว่า สภาพแบบนี้หรือคือการจมน้ำเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและคัดค้าน ผู้ที่เห็นด้วยมองว่า ควรเปิดภาพศพของแตงโมให้สาธารณชนได้เห็น จะได้ประจักษ์แก่สายตาว่า สภาพศพใช่คนจมน้ำหรือน่าจะถูกฆาตกรรมกันแน่ ขณะที่ผู้ไม่เห็นด้วยมองว่า สงสารแตงโม ไม่อยากให้สาธารณชนเห็นภาพที่ไม่สวยงาม และไม่แน่ใจว่า ในแง่กฎหมายสามารถเปิดภาพศพได้หรือไม่ จะเป็นการละเมิดผู้ตายหรือไม่ ทำให้ล่าสุด นายมงคลกิตติ์ ได้ออกมากลับลำ แจ้งผ่านเฟซบุ๊กว่า "แจ้งทีมกฎหมาย พิจารณาแล้วว่า ไม่เปิดเผยภาพแตงโมหลังเสียชีวิต เกรงว่าจะผิด ป.อาญา ม.366/4 เรียนมาเพื่อทราบ"

2."บรรยิน" เจอคุกอีก 1 คดี ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี ปรับ 5 หมื่น คดีวางแผนแหกคุก!


เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 59 ปี อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ หลายสมัย เป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นที่ถูกคุมขังตามอำนาจของศาลหลุดพ้นจากการคุมขัง โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ฯลฯ จากกรณีที่ พ.ต.ท.บรรยิน วางแผนแหกคุก แต่แผนแตก ถูกเจ้าหน้าที่รู้แผนการก่อน

สืบเนื่องจากกรณีที่ พ.ต.ท.บรรยิน สั่งให้นายโจ้ นามสมมุติ ผู้ต้องขังรายหนึ่ง ที่เคยถูกคุมขังร่วมกับ พ.ต.ท.บรรยิน ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และได้รับการประกันตัวออกจากเรือนจำ โดยให้นายโจ้หาทางชิงตัว พ.ต.ท.บรรยิน ออกจากคุก แต่ทำไม่สำเร็จ หรือให้ลักพาตัวภรรยาของ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ มาให้ได้ เพื่อไว้ใช้ต่อรองกับ ผบ.เรือนจำฯ ในการหลบหนี โดย พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานจากการไต่สวนทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า พ.ต.ท.บรรยิน กระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 139, 140 วรรคสาม, 191 วรรคสอง วรรคสาม, 309 วรรคสอง และ 310 วรรคแรก ประกอบมาตรา 84 วรรคสอง

การกระทำของจำเลยกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด ฐานกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นที่ถูกคุมขังตามอำนาจของศาลหลุดพ้นจากการคุมขัง โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมีหรือใช้อาวุธปืน อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี และปรับ 50,000 บาท และให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อ 636/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ อ 3889/2561 และคดีหมายเลขแดงที่ อ 3890/2561 ของศาลอาญาพระโขนง และคดีหมายเลขแดงที่ อท 190/2563 ของศาลนี้

รายงานแจ้งว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.บรรยิน ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งถูกศาลอาญาพระโขนง พิพากษาประหารชีวิตสถานเดียว ในคดีฆ่านายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระดับชาติ, จำคุกตลอดชีวิต คดีร่วมกันอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีโกงหุ้นนายชูวงษ์ ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และจำคุก 8 ปี คดีร่วมกันโกงหุ้นนายชูวงษ์ ของศาลอาญากรุงเทพใต้

3. ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ลดค่าปรับ “ฟิลลิป มอร์ริส” จาก 1.2 พันล้าน เหลือ 121 ล้าน คดีเลี่ยงภาษีนำเข้าบุหรี่ พบ 2 ศาลยึด กม.คนละฉบับ!



เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) จำกัด โดยนายเจอรัลด์ มาโกลีส ผู้จัดการสาขา บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 8 ราย ในข้อหาสำแดงราคานำเข้าบุหรี่เป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร

โดยอัยการโจทก์ฟ้อง สรุปว่า ระหว่างวันที่ 28 ก.ค.2546-24 มิ.ย.2549 บริษัท ฟิลลิปฯ กับพวก ได้ร่วมกันนำเข้าบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร (MARLBORO) และยี่ห้อ แอลแอนด์เอ็ม (L&M) เข้ามาในราชอาณาจักร และร่วมกันบังอาจสำแดงเท็จโดยฉ้อโกงและออกอุบายด้วยการยื่นใบขนส่งสินค้าขาเข้าต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร กรมศุลกากร เพื่อผ่านพิธีการศุลกากร โดยสำแดงราคาอันเป็นเท็จไม่ตรงตามราคาที่แท้จริงเพื่อหลีกเลี่ยงค่าภาษีศุลกากร ซึ่งเป็นความผิดทั้งสิ้น 272 ครั้ง โดยรวมราคาของสินค้าบุหรี่บวกกับราคาภาษีอากร ที่หลีกเลี่ยงเป็นเงินทั้งสิ้น 20,210,209,582.50 บาท (สองหมื่นล้านสองร้อยสิบล้านสองแสนเก้าพันห้าร้อยแปดสิบสองบาทห้าสิบสตางค์) ด้านจำเลยทั้ง 8 คน ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

ต่อมา ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษปรับ 4 เท่าของค่าอากรที่ต้องเสียเพิ่มในทุกกระทงความผิดรวม 272 กระทง ซึ่งเป็นเงิน 1,225,990,671.50 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ยกฟ้องจำเลยที่ 2-8 หลังจากนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์

ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 สองเท่าครึ่งของค่าอากร ที่ต้องเสียรวม 272 กระทง เป็นเงิน 121,578,788 บาท และให้จ่ายสินบนแก่ผู้นำจับร้อยละ 30 ของค่าปรับตาม พ.ร..บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ.2489 มาตรา 8 วรรคหนึ่ง นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

4. "ชัชชาติ" ตั้ง "ศนิ จิวจินดา" เป็น ผช.เลขาผู้ว่าฯ กทม. แม้เคยถูก ก.ล.ต.ฟันฐานปั่นหุ้น อ้าง ทำงานได้ แค่ประสานงาน ไม่เกี่ยวการเงิน!



สืบเนื่องจากกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นคำร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไต่สวนกรณีกรณีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ทำป้ายหาเสียงเป็นผ้าไวนิลว่า มีเจตนาแฝงเพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถนำไปรีไซเคิลทำกระเป๋า-ผ้ากันเปื้อน เข้าข่ายกระทำการเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเองด้วยวิธีการ จัดทำให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการร้องเรียนเกี่ยวกับระบบราชการ โดยมีการอ้างว่านายชัชชาติ ระบุเนื้อหาทำนองว่า ระบบราชการอาจจะส่งผลต่ออุปสรรคการปฏิบัติงานเพราะมีขั้นตอนเยอะ ซึ่งผู้ร้องมองว่า การระบุเช่นนี้เหมือนเป็นการดูถูกระบบราชการนั้น

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ค. สำนักงาน กกต.ได้เสนอรายงานผลคะแนนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และ ส.ก.ต่อที่ประชุม กกต.เพื่อประกอบการพิจารณาประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า หลังประชุม ที่ประชุม กกต.ยังไม่พิจารณาประกาศผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่นายชัชชาติได้รับคะแนนสูงสุดด้วยคะแนน 1,386,215 คะแนน หลังสำนักงาน กกต.เสนอความเห็นว่า เรื่องร้องเรียนกรณีป้ายหาเสียงอาจเข้าข่ายทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรม จึงควรตรวจสอบเพื่อให้เกิดความรอบคอบก่อนประกาศรับรองผล โดย กกต.มีนัดประชุมร่วมกันอีกครั้งในวันที่ 31 พ.ค. สำหรับผลเลือกตั้ง ส.ก.นั้น ที่ประชุม กกต.มีการประกาศรับรองผลเลือกตั้ง 40 เขต และยังแขวนอยู่ 10 เขตเพื่อรอตรวจสอบ

หลัง กกต.ยังไม่รับรองผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. นายชัชชาติ กล่าวว่า ต้องให้เกียรติท่าน ต้องปล่อยให้ท่านทำงานอย่างเต็มที่ อย่าไปกดดันท่าน เชื่อว่า ท่านมีวิจารณาณและมีความคิดที่เป็นไปตามกฎระเบียบ เราก็สบายๆ ไม่ได้กดดันอะไร และไม่ได้กังวลอะไร

เป็นที่น่าสังเกตว่า การที่ กกต.ยังไม่ประกาศรับรองผลนายชัชชาติ ส่งผลให้ประชาชนที่สนับสนุนนายชัชชาติบางส่วนไม่พอใจ และโทรเข้าไปสอบถามผ่านสายด่วน 1444 จำนวนมาก ว่าจะรับรองผลเลือกตั้งให้นายชัชชาติเป็นผู้ว่าฯ กทม.หรือไม่ เหตุใดจึงใช้เวลาพิจารณานาน และจะมีผลแจ้งออกมาเป็นทางการหรือไม่

ขณะที่นักวิชาการบางคน เช่น รศ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาเคลื่อนไหวด้วยการแสดงความเห็นในลักษณะเตือนคนที่ร้องให้ กกต.ตรวจสอบนายชัชชาติ ให้ระวังร้องเท็จ จะมีโทษ “คนร้องเรียนว่าการเลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรม หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ต้องรับผิดชอบข้อฟ้องร้องของตนเองด้วย กฎหมายไม่ได้ปล่อยให้ร้องได้เรื่อยเปื่อย หากพบว่าเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลเลือกตั้ง มีโทษจำคุก 5-10 ปี ปรับ 1-2 แสน และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น 20 ปี (มาตรา 118 วรรค 2 พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562)”

หลังประชาชนบางส่วนไม่พอใจ กกต.ที่ยังไม่ประกาศรับรองนายชัชชาติเป็นผู้ว่าฯ กทม. รวมทั้งโจมตีนายศรีสุวรรณ ที่เป็นคนร้องให้ กกต.ตรวจสอบเรื่องป้ายหาเสียงของนายชัชชาติ โดยบางส่วนอ้างว่า ประชาชน 1.3 ล้านเลือกนายชัชชาติมา จะให้คนแค่ 1 คน และคนอีก 7 คน (กกต.) มาตัดสินหรือล้มนายชัชชาติได้อย่างไร ทำให้บางฝ่ายไม่เห็นด้วยกับกระแสกดดัน กกต.

โดยนายธันวา ไกรฤกษ์ ทีมโฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเตือนสติประชาชนที่กดดัน กกต. กรณีที่ยังไม่ประกาศรับรองนายชัชชาติ เป็นผู้ว่าฯ กทม.ว่า "อย่าเอาแต่ใจสิครับ การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อปี 56 เกิดขึ้นในวันที่ 3 มีนาคม และมีการรับรองผลโดย กกต.ในวันที่ 27 มีนาคม รวมระยะเวลารอการรับรอง 24 วัน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ (บริพัตร) เป็นผู้ชนะ ล่าสุดเพิ่งมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันที่เขียนโพสต์นี้คือวันที่ 31 พฤษภาคม รวมระยะเวลารอแค่ 9 วัน ผมก็เชียร์ชัชชาตินะ แต่เห็นว่าหลายคนมีลักษณะเอาแต่ใจมากเกินไป เอะอะอะไรก็ด่า กล่าวหาฝั่งที่ตนคิดว่าเป็นขั้วตรงข้าม มันดูไม่สร้างสรรค์เหมือนกับที่คุณชัชชาติพยายามจะชี้ทางให้เลยครับ"

ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา ซึ่งเป็นผู้ร้องให้ กกต.ตรวจสอบป้ายหาเสียงของนายชัชชาติ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หลังถูกประชาชนที่สนับสนุนนายชัชชาติไม่พอใจและโจมตีด่าทออย่างหนัก โดยระบุว่า ไม่ได้สนใจเรื่องคะแนนเสียงว่าจะได้มากน้อยแค่ไหน แต่สนใจว่าเมื่อนายชัชชาติอาสาเข้ามาเป็นผู้ว่าฯ กทม.แล้ว ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเป็นเบื้องต้น ไม่ใช่เอาคะแนนเสียงนับล้านเสียง แล้วมาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อันนี้ยอมรับไม่ได้ นายศรีสุวรรณ ยังระบุด้วยว่า "บ่ายวันนี้ (31 พ.ค.) ได้ข่าวว่าจะมีคน กทม. 1.38 ล้านคน ชักดิ้นชักงอเป็นไส้เดือนกิ้งกือบนกองขี้เถ้าไฟ ไม่รู้ว่าจะเฮหรือโฮ"

ซึ่งภายหลัง นายศรีสุวรรณ ได้ออกมาขอโทษกรณีที่ตนเองใช้คำไม่เหมาะสม หลังเกิดกระแสไม่พอใจการใช้คำเปรียบเทียบของนายศรีสุวรรณ

ขณะที่ กกต.ได้ประชุมและประกาศรับรองผลเลือกตั้งให้นายชัชชาติเป็นผู้ว่าฯ กทม.แล้วเมื่อวันที่ 31 พ.ค. หลัง กกต.ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม พร้อมประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ส.ก.เพิ่มอีก 5 ราย

ด้านนายชัชชาติ กล่าวเปิดใจหลัง กกต.ประกาศรับรองผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.โดยยืนยันว่า “จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เชื่อว่าเป็นบทพิสูจน์ที่ดีมากว่าประเทศมีความหวัง ขอให้ก้าวเดินไปด้วยกัน “ขอบคุณนายศรีสุวรรณ จรรยา ขอบคุณ กกต.ที่ดำเนินการตามขั้นตอน ยิ่งตรวจสอบยิ่งมีความชอบธรรมมากขึ้น คือความสวยงาม ดีกว่าไม่ตรวจสอบ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเร่งรัด กกต. เราต้องพร้อมที่จะรับการตรวจสอบ”

ทั้งนี้ 2 วันต่อมา (2 มิ.ย.) นายชัชชาติ ได้แต่งตั้งรองผู้ว่าฯ กทม. 4 คน ประกอบด้วย รศ.ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล, นายจักกพันธุ์ ผิวงาม, ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช และนายศานนท์ หวังสร้างบุญ พร้อมกันนี้ ได้แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. ประกอบด้วย นายต่อศักดิ์ โชติมงคล เป็นประธานที่ปรึกษา, ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์, พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก, พล.อ.ท.นพ.อนุตตร จิตตินันทน์, พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตสุขศรี, ดร.วิลาวัลย์ ธรรมชาติ, นายอรรถเศรษฐ์ เพชรมีศรี, นายภาณุมาศ สุขอัมพร และนายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ รวมทั้งแต่งตั้งนายภิมุข สิมะโรจน์ (อดีต ส.ส.เขตบางพลัด พรรคไทยรักไทย 2 สมัย) เป็นเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. และนายเอกวรัญญู อัมระปาล เป็นโฆษก กทม. มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2565

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในส่วนของทีมงานผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. จำนวน 4 ราย มีชื่อ น.ส.ศนิ จิวจินดา เป็นทีมงานด้วย ซึ่ง น.ส.ศนิ จิวจินดา เคยถูกคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง พร้อมกับพวกรวม 13 ราย เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2564 กรณีสร้างราคาหุ้น “เกียรติธนา ขนส่ง” หรือ KIAT ซึ่งมีผลทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นจาก 7.75 บาท เป็นราคา 15.60 บาทระหว่างวันที่ 4-22 ธ.ค. 2557

โดย ก.ล.ต. ระบุพฤติการณ์ของ น.ส.ศนิ ว่า ได้แบ่งหน้าที่กันเพื่อสร้างราคาหุ้น และทำหน้าที่ซื้อขายหุ้น KIAT เพื่อให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด โดย น.ส.ศนิ กับพวก ได้ร่วมทำรายการซื้อขายบนกระดานรายใหญ่ (Big lot) เป็นจำนวนมากหลายครั้งตามราคาที่ทีมที่ 1 ได้ผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นแล้ว จนทำให้นักลงทุนทั่วไปเข้าใจว่า บริษัทฯ มีผู้ร่วมลงทุนใหม่สนใจลงทุนในราคาที่สูงขึ้นตามลำดับ ขณะที่ราคาหุ้นของ KIAT ได้เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ก.ล.ต. มีมาตรการทางแพ่งสั่งปรับ น.ส.ศนิ กับพวก รวม 13 ราย รวม 291.17 ล้านบาท เฉพาะ น.ส.ศนิ ถูกปรับจำนวน 7,746,735 บาท

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อปี 2556 น.ส.ศนิ เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการสถาบันเยาวชนเพื่อไทย ของพรรคเพื่อไทยด้วย

ด้านนายชัชชาติ กล่าวถึงกรณี น.ส.ศนิ ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. เคยถูก ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่ง พร้อมพวกรวม 13 รายว่า เรื่องดังกล่าวเกิดเมื่อปี 2557 ทราบว่า น.ส.ศนิ โดนสั่งปรับเท่านั้น ไม่ได้ถูกดำเนินคดีอาญา นายชัชชาติ ยังอ้างด้วยว่า “กรณีดังกล่าวเป็นความผิดพลาดและเข้าใจผิดในการร่วมลงทุนซื้อขายหุ้น” พร้อมยืนยันว่า ได้มีการตรวจสอบประวัติของทีมงานเรียบร้อยแล้ว น.ส.ศนิ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวกับเรื่องเงิน แต่มีหน้าที่ประสานงานเท่านั้น จึงมั่นใจว่าทำงานได้อย่างแน่นอน”

5. สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 66 วาระแรกฉลุย 278 ต่อ 194 ด้าน พท.เตรียมฟัน 7 ส.ส.งูเห่า โหวตสวนมติพรรค!



เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่รัฐสภา ได้มีการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 3.18 ล้านล้านบาท โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ให้ความสำคัญกับร่างกฎหมายนี้ เพราะเป็นร่างงบประมาณปีสุดท้ายก่อนรัฐบาลครบวาระ หากครบตามอายุสภา และตามอายุรัฐบาล ก็จะครบในวันที่ 23 มี.ค. 66 ตนเชื่อว่า อาจมีเหตุการณ์ทำให้หมดอายุเร็วกว่านั้น ซึ่งทุกปีสภาไม่เคยปฏิเสธ ส่วนใหญ่ฝ่ายค้านมีมติเห็นชอบในชั้นวาระรับหลักการ เพราะเข้าใจความจำเป็นในการใช้งบประมาณ และร่วมเป็นกรรมาธิการ ทุกอย่างเพื่อตอบสนองสิ่งที่รัฐบาลบอกว่าต้องการแก้ไขปัญหาให้ประเทศ

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่เห็นหัวประชาชน ผลสัมฤทธิ์การใช้งบไม่ตอบโจทย์ ...นายกฯ มีบุคลิกภาพแปรปรวน ...เป็นนายกฯที่ขาด M คือ มันนี่ หาเงินไม่เป็น หารายได้ไม่เก่ง และไม่มี empathy คือ ไม่มีภาพเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ พร้อมบวกทุกอย่าง แถมยังฝากมรดกหนี้ไว้ ทั้งหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน หนี้เสีย คนจนเพิ่ม ตกงานพุ่ง ...ปล้นอำนาจประชาชน ไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้ บริหารประเทศขาดหลักนิติรัฐ นิติธรรม ไม่ยึดหลักกฎหมาย นายกฯ เป็นกองปัญหาของประเทศ ควรเปลี่ยนผู้นำเพื่อพาประเทศ พ้นวิกฤต งบประมาณก้อนนี้ สามารถเปลี่ยนนายกฯ ได้ หากสภาเห็นพ้องต้องกันลงมติไม่รับหลักการ...”

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สิ่งที่เราไม่รับนั้น เรามีทางออก ประชาชนจะเจองบประมาณฉบับเพื่อไทย เพื่อออกจากวิกฤต ให้ประชาชนได้รู้ว่าเป็นความหวังจริงหรือไม่ เชื่อว่า จะเป็นคู่เทียบและเห็นภาพความแตกต่างชัดเจน เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นผู้จัดทำงบประมาณ เราไม่อาจรับหลักการร่างกฎหมายนี้ที่จัดขึ้นโดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ เราไม่เห็นชอบ และไม่ต้องไปแก้ไขในชั้นกรรมาธิการ เพราะเราต้องการให้ตก เนื่องจากการแก้ไขในชั้นกรรมาธิการไม่ได้เกิดประโยชน์ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ถ้างบนี้ไม่ผ่าน ท่านจะเป็นผู้คืนความสุขให้ประชาชน หากไม่เชื่อผม ขอให้ลองทำ

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า ที่ท่านบอกว่า งบฯ 66 จัดสรรน้อยไม่เพียงพอนั้น เราจัดงบลงทุนกว่า 6.9 แสนล้านบาท คิดเป็น 21.72% ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ตนพูดหลายครั้งแล้วว่า ภาครัฐยังมีการลงทุนในรูปแบบอื่นด้วยอีก 9.8 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกันแล้ว ถือว่า ปี 66 รัฐมีงบลงทุน 7.94 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ไม่ใช่งบที่รัฐบาลจัดเท่านั้น ยังมีความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนด้วย ขณะที่งบด้านการเกษตรที่ท่านบอกว่าเป็นงบในอดีต ไม่ใช่สำหรับอนาคต สิ่งที่ทำวันนี้ก็เพื่ออนาคต เราเพิ่มเติมหลายอย่าง นอกเหนือจากการประกันราคาข้าว ประกันราคาสินค้าทางการเกษตร เพราะเราไม่ต้องการให้เขาขาดแคลนรายได้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า “ถ้าพูดเรื่องข้าว ที่ท่านพูดว่างบวันนี้เป็นงบในอดีตไม่ใช่อนาคต ตั้งแต่ปี 54 เป็นต้นมา โครงการจำนำข้าว ขาดทุนกว่า 9.5 แสนล้านบาท รัฐบาลนี้ตั้งงบชำระหนี้ไปแล้ว 7.8 แสนล้านบาท คงเหลือเงินต้น และดอกเบี้ยอีก 3 แสนล้านบาท เงินตรงนี้ถ้าอยู่ เอามาทำอะไรได้อีกเยอะ ถามว่า ใครทำเอาไว้ ผมก็ไม่อยากจะพูด ไม่อยากจะย้อนกลับ”

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ที่ท่านบอกว่าไม่จัดลำดับความสำคัญของงบประมาณ ยืนยันว่า เราได้ข้อมูลจากทุกจังหวัด ตนดูให้ทุกที่ ตรงไหนเร่งด่วนก็ต้องทำ ตรงไหนยังไม่เร่งด่วนต้องคอยก่อน ทุกคนอยากได้หมด ปีนี้ไม่ได้ ปีหน้าก็ได้ งบกลางย้ำว่าใช้ส่วนตัวไม่ได้ มีคณะกรรมการกลั่นกรอง มี ครม. และแผนการดำเนินการโครงการ ทั้งนี้ รัฐบาลพยายามทำทุกอัน พูดกับทำอะไรยากกว่ากัน มันไม่ได้ทำง่ายอย่างที่ท่านพูดทุกเรื่อง ตนทำอะไรไปบ้าง ก็บอกทุกวัน ท่านก็ไม่เคยฟัง ถ้ารัฐบาลไม่สนใจคงไม่ดูแลแบบนี้ ย้อนกลับไปดูพฤติกรรมตัวเองกันบ้าง ตนพยายามอย่างยิ่งยวดในการไม่ใช้อารมณ์ อดทนพอ หลายเรื่องท่านพูดไม่ใช่ข้อเท็จจริง ในส่วนของข้าราชการ ทำงานเราก็ต้องดูแล ประชาชนเราก็ดูแล ขณะที่เรื่องพลังงาน ขอให้ท่านดูว่าประเทศไทยมีกี่หลุม ผลิตได้วันละกี่บาร์เรล น้ำมันต่างประเทศมีกี่หลุม มีคุณภาพดีกว่าหรือไม่ ท่านพูดหลักการกว้างๆ คนก็สับสน ทำให้ยากในการบริหาร ทุกคนคือ ส.ส. ดังนั้น ท่านต้องเอาสิ่งที่รัฐบาลทำไปให้ประชาชนรับรู้ด้วย

ทั้งนี้ หลังที่ประชุมใช้เวลาอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2566 เป็นเวลา 3 วัน (31 พ.ค.-2 มิ.ย.) ที่ประชุมได้ลงมติว่าจะรับร่างดังกล่าวหรือไม่ ในวาระแรก ซึ่งผลปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบด้วยคะแนน 278 ต่อ 194 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง จากนั้น ที่ประชุมได้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2566 จำนวน 72 คน กำหนดระยะเวลาแปรญัตติภายใน 30 วัน โดยจะมีการประชุมนัดแรกในวันที่ 6 มิ.ย.นี้

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวหลังที่ประชุมสภาฯ ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2566 ว่า ขอขอบคุณประธานสภาฯ และ ส.ส.ทุกท่านที่ให้ความเห็นชอบร่างดังกล่าว "ขอให้ทุกคนมั่นใจว่า งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติในครั้งนี้จะถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ดำเนินการภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิค-19 และภายใต้วงเงินงบประมาณที่มีอยู่อย่างจํากัด และรัฐบาลจะกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินงบประมาณด้วยความโปร่งใส เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวพ้นวิกฤต รวมทั้งฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับคืนมาโดยเร็ว"

มีรายงานว่า คะแนนเสียงที่ให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 278 เสียง มาจากเสียงของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังท้องถิ่นไท พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคชาติพัฒนา รวมถึงเสียงของตัวแปร อย่างพรรคเศรษฐกิจไทย 16 เสียง ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่มีปัญหาขัดแย้งกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ ส.ส.กลุ่ม 16 จำนวน 18 คน ประกอบด้วย ส.ส.พรรคเล็กบางส่วน ได้แก่ พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย พรรคครูไทยเพื่อประชาชน พรรคไทรักธรรม พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคเพื่อชาติไทย พรรคพลังชาติไทย ที่ต่างเทคะแนนให้ความเห็นชอบครบทุกคน

นอกจากนี้ ยังได้เสียงสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทยอีก 7 คน ซึ่งเป็น ส.ส. ศรีสะเกษ ที่เตรียมย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย ได้แก่ นายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์, นายธีระ ไตรสรณกุล, นางผ่องศรี แซ่จึง ส่วนอีก 4 คน ได้แก่ นายจักรพรรดิ ไชยสาสน์ ส.ส.อุดรธานี, นายนิยม ช่างพินิจ ส.ส.พิษณุโลก, นายวุฒิชัย กิตติธเนศวร ส.ส.นครนายก, นายสุชาติ ภิญโญ ส.ส.นครราชสีมา รวมถึงกลุ่ม ส.ส.งูเห่าหน้าเก่า 4 คน จากพรรคก้าวไกล ที่โหวตสวนมติพรรคมาลงคะแนนเห็นชอบให้ฝ่ายรัฐบาลไ ด้แก่ นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี, นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายพีรเดช คำสมุทร ส.ส.เชียงราย และนายเอกภพ เพียรวิเศษ ส.ส.เชียงราย นอกจากนี้ยังมีนายอนุมัติ ซูสารอ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาชาติ ที่เป็นอีกหนึ่งงูเห่าหน้าเดิมที่ลงคะแนนให้ฝ่ายรัฐบาล

ล่าสุด (4 มิ.ย.) พรรคเพื่อไทยเตรียมฟัน 7 ส.ส.งูเห่าแล้ว โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ส่งข้อความผ่านทางไลน์แจ้ง ส.ส.ของพรรคทุกคนว่า เรียน ส.ส.ทุกท่าน ตามที่ได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 โดยการลงมติในวาระที่ 1 มีสมาชิก จำนวน 7 คน ลงมติไม่เป็นไปตามมติพรรค ดังนั้น พรรคจึงขอดำเนินการให้สมาชิกทั้ง 7 คนออกจากไลน์กลุ่มทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆ ของพรรค และพรรคจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการจริยธรรมต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น