1.“หมอปลา” ขอขมา “หลวงปู่แสง” แล้ว ปัดจัดฉากแค่หาหลักฐาน ด้านเวิร์คพอยท์ ไล่นักข่าวสาวออกแล้ว ส่วน “ช่อง 3-อมรินทร์ทีวี รอสอบ!
สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดกรณีที่นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือหมอปลา มือปราบสัมภเวสีกับพวก ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางและหนักหน่วง หลังมีการจัดฉากเพื่อถ่ายคลิปจับผิด "หลวงปู่แสง" จนฺทโชโต (ญาณวโร) พระเกจิชื่อดัง อายุ 98 ปี แห่งวัดป่าดงสว่างธรรม อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร
สืบเนื่องจากมีสาวรายหนึ่งร้องเรียนต่อหมอปลาว่า ถูกหลวงปู่แสงจับหน้าอก จับอวัยวะเพศ โดยอ้างทำเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ทั้งยังมีการอวดอุตริว่ามีเลือด ปัสสาวะ สามารถกลายเป็นพระธาตุได้ ต่อมา หมอปลา ได้พาผู้สื่อข่าว พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนายโสธร เข้าตรวจสอบหลวงปู่แสง ก่อนถ่ายคลิปเป็นหลักฐาน ซึ่งในคลิปจะเห็นหลวงปู่ พร้อมลูกศิษย์ชาย 3 คนนั่งประกบ เมื่อญาติโยมผู้หญิงเข้าไปกราบไหว้จะถูกเรียกเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะมีลักษณะเหมือนพยายามลวนลามผู้เสียหาย ทั้งลูบศีรษะ โอบกอด และพยายามดึงเข้าไปหอมแก้ม
ซึ่งหลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ กระแสสังคมมี 2 ด้าน ด้านหนึ่งเชื่อหมอปลาและคลิปที่เห็น ขณะที่อีกด้านมองว่า หลวงปู่อายุมากแล้ว เป็นพระเกจิชื่อดัง และอาพาธอยู่ด้วยโรคอัลไซเมอร์ ไม่น่ามีพฤติกรรมดังคลิปที่หมอปลาเผยแพร่ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ผู้สื่อข่าวในคลิป มีพฤติกรรมและวาจาไม่เหมาะสม ต่อพระสงฆ์ที่พุทธศาสนิกชนจำนวนมากให้ความเคารพศรัทธา พร้อมมองว่า งานนี้มีการจัดฉากเพื่อทำลายหลวงปู่แสงหรือไม่
ต่อมา (12 พ.ค.) เฟซบุ๊ก "Jean Songpon Yuensuk" หรือ นพ.ทรงพล ยืนสุข หรือ หมอยีนส์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลยโสธร ได้โพสต์ข้อความยืนยันว่าหลวงปู่แสงอาพาธจริง โดยระบุว่า "ท่านมีภาวะหลงลืมจริงครับ ผมได้เข้าไปให้การรักษาท่านประจำ ท่านจำใครไม่ได้เลย ไม่รู้ตัวในสิ่งที่ทำด้วยซ้ำ ลุกนั่ง นอนเองยังไม่ได้เลย แค่ประคองธาตุขันธ์มาได้ขนาดนี้ก็เก่งมากๆ แล้วครับ"
วันเดียวกัน กระแสโซเชียลได้พากันติดแฮชแท็ก #SAVEหลวงปู่แสง โดยเพจเฟซบุ๊ก "ราชสีห์ จิตอาสา" ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับหลวงปู่แสงว่า "งดดรามา ผมรักและศรัทธาในพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นท่านนี้ ผมเชื่อในคุณงามความดีในวัตรปฏิบัติของท่านยาวนานเกือบ 100 ปี ความเชื่อส่วนบุคคลของผมและเป็นความศรัทธาครับ"
ขณะที่นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "ทำกับหลวงปู่แสงได้อย่างไร? ผมดูข่าวเมื่อคืน ที่มีกลุ่มบุคคลพานักข่าวไปบุกหาหลวงปู่แสง ญาณวโร ที่วัดป่าดงสว่างธรรม กล่าวหาท่านต่างๆ นานา โดยเฉพาะนักข่าวใช้ถ้อยคำผรุสวาท หัวเราะเยอะ ท่าน “ระวังนรกจะกินกบาลเอา” หลวงปู่แสงท่านเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นพระป่าสายกรรมฐาน ท่านเป็นโรคอัลไซล์เมอร์ พวก…ทำอะไรกับหลวงปู่ ผมรับไม่ได้จริงๆ หากศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่แสงจะดำเนินคดีกับพวก…นี้ ผมในฐานะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสายกรรมฐาน ผมยินดีเป็นทนายความให้ครับ ... สาธุ หลวงปู่แสง"
ด้านเพจ "ไพรวัลย์ วรรณบุตร" ของนายไพรวัลย์ หรืออดีตพระมหาไพรวัลย์ ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องที่เกิดขึ้นว่า "มึ..รู้ว่า มึ..เป็นผู้หญิง มึ..เป็นคนพุทธ แต่มึ...ลากสังขารขึ้นไปบนตั่งที่พระนั่ง ให้พระแตะเนื้อต้องตัว มึ..มีสามัญสำนึกไหม แล้วพระท่านก็ชราภาพแล้ว หลง ๆ ลืม ๆ มึ..ขึ้นไปหานรกอะไรถึงบนนั้น ต้องการแสวงหาสวรรค์วิมานอะไรจากพระ แล้วลูกศิษย์ผู้ชายทั้งหัวโล้นหัวดำ ก็ไม่รู้สากกระเบืออะไรเลย ไม่ปกป้องครูบาอาจารย์เลย แปลก ๆ ล่ะ เพิ่งขับรถถึงบ้าน เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะตื่นมาไลฟ์ด่าพวกมึ.."
นอกจากนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "Gai Areerath" ซึ่งระบุว่า ตนเป็นหลานสายตรงของหลวงปู่แสง ญาณวโร ได้โพสต์ภาพหลักฐานเอกสารทางการแพทย์ ระหว่างที่ “หลวงปู่แสง” เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เชียงใหม่ พร้อมระบุว่า "ขออนุญาตเป็นตัวแทนลูกหลานหลวงปู่ในการแสดงหลักฐานการรับรองจากโรงพยาลกรุงเทพ เชียงใหม่ ที่หลวงปู่แสง ญาณวโร เคยเข้ารักษาอาการอาพาธจากสมองฝ่อจากอัลไซเมอร์ค่ะ หลวงปู่เคยรักษาที่ โรงพยาบาลศรีมหาโพธิ์มาก่อนด้วยค่ะ"
เป็นที่น่าสังเกตว่า คลิปของหมอปลาที่มีการจับผิดหลวงปู่แสงว่าลวนลามหญิงสาวนั้น มีการตั้งข้อสังเกตว่า หญิงสาวในคลิป หน้าตาคล้ายผู้สื่อข่าว มีการร่วมมือจัดฉากหรือไม่ ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและผิดจรรยาบรรณสื่อหรือไม่
ซึ่งหมอปลาได้โพสต์คลิปผ่านเฟซบุ๊ก ชี้แจงกรณีมีคนตั้งข้อสังเกตว่า มีการตั้งกล้องแอบถ่ายเพื่อจับผิดหลวงปู่แสงว่า “ตนทำเคสพระมาหลายครั้ง แต่เรื่อง "หลวงปู่แสง" มีคนร้องเรียนมา 2 เคส ซึ่งไม่มีคลิป หรือหลักฐาน ตนจึงส่งทนายเข้าไปในพื้นที่รอบแรก ซึ่งก็มีพฤติกรรมเป็นไปตามที่ได้รับร้องเรียน แต่เราก็กลัวว่าจะไม่มีหลักฐานเอาไปให้นักข่าว จึงได้ส่งทีมเข้าไปเป็นรอบที่สอง ซึ่งรอบนี้น้อง 2 คนนี้กลัว จึงให้นักข่าวคนหนึ่งไปเป็นเพื่อน แต่จังหวะที่ไปถึง เขากลับเรียกนักข่าวสาวเข้าไป ไม่เรียก 2 คนก่อนหน้านี้เข้าไป ยืนยันตนไม่ได้จัดฉากใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมเชื่อว่า แม่ชี และพระลูกศิษย์รู้เห็นเป็นใจ”
หมอปลา ยังอ้างด้วยว่า ตนไม่รู้ว่าหลวงปู่แสงป่วย เพราะหากป่วย พระและแม่ชีที่อยู่ข้างๆ ไม่พาไปรักษา แต่พระพี่เลี้ยงข้างๆ ยังปล่อยให้จับตัว เรื่องที่พูดไม่ได้ออกมาแก้ตัว แต่พูดความจริง
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้โพสต์ข้อความเตือนหมอปลาว่า “เตือนหมอปลา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง การร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด ฯลฯ ระวางโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาทนะ”
หลังถูกกระแสสังคมและหลายฝ่ายโจมตี ปรากฏว่า ทั้งหมอปลา และ "น้ำฟ้า" รภัสสรณ์ ฤทธิธนไพบูลย์ ภรรยาของหมอปลา ได้ออกมาขอโทษสังคมทั้งน้ำตา ยอมรับว่าตนผิดพลาดเรื่องของข้อมูลของหลวงปู่แสง เรื่องอาการป่วยจริง จึงมีการถามไปที่ลูกศิษย์ว่าทำไมป่วยแล้วไม่พาไปหาหมอ แต่อยากให้เข้าใจว่า ที่โวยวายลูกศิษย์ เพราะเชื่อว่าคนป่วยก็ต้องพาไปรักษา ขณะที่น้ำฟ้ายอมรับว่า พฤติกรรมของตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม อยากขอโทษด้วยสำนึกผิดจริงๆ พร้อมยกมือไหว้ขอโทษ ซึ่งภายหลัง ทั้งหมอปลาและภรรยา ได้ทำพิธีขอขมาต่อหน้ารูปของหลวงปู่แสงที่บ้านของหมอปลาที่ จ.เพชรบุรี ถึงกรณีที่เกิดขึ้น
ขณะที่ในส่วนของนักข่าวสาวที่มีส่วนร่วมอยู่ในคลิปที่หมอปลาจับผิดหลวงปู่แสง ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์และถามหาจรรยาบรรณสื่อ ในที่สุด ต้นสังกัด กองบรรณาธิการข่าวบริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ขออภัยต่อความผิดพลาดที่มีภาพของผู้สื่อข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่ทำข่าวหลวงปู่แสงออกสู่สาธารณะอย่างไม่เหมาะสม จึงได้มีการตักเตือนและสั่งพักงานผู้สื่อข่าวดังกล่าวเป็นเวลา 7 วันแล้ว พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวน
หลังสอบแล้วเสร็จ ทางต้นสังกัดได้ออกประกาศว่า มีมติให้นางสาววาสนา ศรีผ่อง พ้นสภาพการเป็นผู้สื่อข่าวเวิร์คพอยท์ ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.2565 โดยระบุความผิดว่า ผู้สื่อข่าวดังกล่าวได้ทำผิดจริยธรรมและจรรยาบรรณในวิชาชีพสื่อมวลชน ในการทำข่าวของหลวงปู่แสง โดย 1. มีกิริยาไม่เหมาะสมไม่เคารพต่อแหล่งข่าว 2. แสดงความไม่เป็นกลางในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน 3. ตัดสินใจร่วมกับสื่อสำนักอื่นและแหล่งข่าวในการสร้างหลักฐาน โดยไม่ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาหรือรายงานต้นสังกัด
ล่าสุด (14 พ.ค.) สำนักข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้ออกแถลงการณ์เช่นกันหลังพบว่า ผู้สื่อข่าวภาคสนามของทางสถานีที่ติดตามทำข่าวมีส่วนร่วมรับรู้การอัดคลิปจับผิดหลวงปู่แสง แต่ไม่แจ้งต้นสังกัด ทางสถานีจึงสั่งพักงาน 15 วัน พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อกำหนดบทลงโทษที่เหมาะสมต่อไป
ขณะที่กองบรรณาธิการข่าว สถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวี ได้ออกประกาศเช่นกัน ให้พักงานผู้สื่อข่าวภาคสนามที่ลงพื้นที่ทำข่าวซึ่งรับรู้ว่ามีการถ่ายคลิปจับผิดหลวงปู่แสงจากนักข่าวหญิงจริง แต่ไม่แจ้งให้หัวหน้าทราบ โดยพักงานเป็นเวลา 15 วัน พร้อมตั้งกรรมการสอบนักข่าว-หัวหน้า ก่อนกำหนดบทลงโทษต่อไป
2.“อัจฉริยะ” แถลงเปิดโปงขบวนการสร้างหลักฐานเท็จคดีแตงโม มี พล.ต.ต.อักษรย่อ “ว” เป็นผู้วางแผนทั้งหมด!
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมทีมงาน ได้แถลงเปิดโปงขบวนการสร้างหลักฐานเท็จคดีการเสียชีวิตของแตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ ต่อสื่อมวลชน โดยได้เปิดคลิปประกอบการแถลงข่าว ซึ่งมีทั้งคลิปเสียงการสนทนาและคลิปการนำใบพัดเรือมาทดสอบกับศพ
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า มีหมอนิติเวชเอาศพแตงโมออกมาทำให้มีแผลใหม่ที่ขา นอกจากนี้ มีคำรับสารภาพของตำรวจภูธรภาค 1 และหมอสถาบันนิติเวช ยอมรับว่า แผลใหญ่ที่ต้นขาด้านขวา ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ ส่วนคลิปที่มีการนำศพไปทดสอบกับใบพัดเรือ ตั้งแต่พบศพแตงโม วันที่ 26 ก.พ. 65 ตอนแรกเขาอ้างว่าจะนำศพไปที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม แต่มีใบสั่งจากผู้ใหญ่ให้เอาศพไปที่ สภ.เมืองนนทบุรี
จากนั้นได้มีการส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ โดยมีหมอเป็นคนทำรายงานว่า พบบาดแผลบนร่างแตงโม 11 จุด หลังจากนั้น มีการทดสอบหาร่องรอยบาดแผล โดยจำลองกับเนื้อหมูและตุ๊กตาผ้า พยายามทำให้เข้าได้กับใบพัดเรือ ซึ่งมี พล.ต.ต.อักษรย่อ “ว” เป็นผู้วางแผนทั้งหมด โดยนำศพแตงโมมาจำลองกับใบพัดเรือ ในสถานที่สกปรกโล่งแจ้ง เพื่อให้การจำลองเข้ากับคำให้การของแซน (วิศาพัช มโนมัยรัตน์ 1 ในผู้ต้องหาคดีแตงโม)
นายอัจฉริยะ กล่าวอีว่า ตนอยากถามว่า “จริยธรรมของหมอ อยู่ตรงไหน” เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 65 ทางพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (พฐ.) ได้ถอดใบพัดเรือ ซึ่งเป็นวัตถุพยานสำคัญ แต่นำไปทดสอบกับศพแตงโม ทำให้เกิดบาดแผล ได้ทำหนังสือแจ้งไปทางแม่กับทนายความหรือไม่ ตนคิดว่าแผลแตงโม ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ เกิดจากการฆาตกรรมจากคนบางคนอย่างแน่นอน
ส่วนนายตี๋ ผู้ที่อยู่ในคลิปเสียง และมาร่วมแถลงข่าว กล่าวว่า เป็นการพูดคุยกับเพื่อนของนายปอ ตนุภัทร 1 ในผู้ต้องหาคดีแตงโม ประเด็นที่มีการไปปัสสาวะท้ายเรือไม่เป็นความจริง แต่มีการวางแผนโดยบิ๊กตำรวจตามที่นายอัจฉริยะพูด
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ก่อนหน้าจะถึงวันที่ 9 พ.ค.ที่นายอัจฉริยะจะแถลงเปิดโปงขบวนการสร้างหลักฐานเท็จคดีแตงโม นายมงคลกิตติ์ สุขสินธรานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้โพสต์ข้อความ ผ่านเฟซบุ๊กว่า "สายข่าวกรอง แรงมาก มีทีมล่าสังหาร อัจฉริยะ ก่อน 9 พ.ค.65 ผมทราบว่าทีมไหน ฝาก ลุงตู่-ผบ.ตร.-ผบ.ทบ. ส่งกำลังคุ้มกันหน่อยครับ พี่อัจฯ แกคนดี ผมรับรอง"
ซึ่งต่อมา นายมงคลกิตติ์ ได้โพสต์ข้อความถึงนายอัจฉริยะอีกครั้งว่า ”ถ้าใครก็ตามบังอาจทำอันตรายพี่อัจฯ พวกผม จะสีกากี สีขี้ม้า หรือสีอะไรก็ตาม ผมจะจัดการมันทุกคนตั้งแต่ คนลงมือ คนสั่งการ ทุกคน ส่วน เมีย-ลูก พี่อัจฯ ผมจะดูแลส่งเรียนให้เอง ไม่ต้องห่วง"
ด้าน พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 กล่าวหลังเปิดแถลงชี้แจงว่า ตนมั่นใจในการทำงานของพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดีนี้ เจ้าหน้าที่ทุกนายทำตามกระบวนการกฎหมายอย่างโปร่งใสและทำคดีตามพยานหลักฐาน ส่วนกรณีที่ผู้ใดกล่าวหาว่า ผิดพลาด คลาดเคลื่อนก็พร้อมให้ตรวจสอบ และจะไปแจ้งที่ไหนก็ได้ ชุดเราไม่หวั่นไหว พร้อมชี้แจงตลอดเวลา และว่า คดีนี้ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม และเมื่อไปสู่ชั้นอัยการ และศาล ความจริงทุกอย่างจะปรากฏ
ทั้งนี้ มีกระแสข่าวว่า มีการตรวจพบสารกลุ่มเบนโซไดอาซิปินส์ ชนิดอัลปราโซแลม หรือที่เรียกกันว่า "ยาเสียสาว" ในตัวผู้ต้องหาคดีแตงโมรายหนึ่ง พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงว่า เบื้องต้นจากการสอบถามการใช้ทางการแพทย์ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ เพราะเป็นยาที่ใช้คลายความกังวล ทำให้หลับ ซึ่งอยู่ในรายละเอียดของสำนวนการสืบสวนสอบสวนว่าใช้ยาตัวดังกล่าวเมื่อใด และมีเหตุผลความจำเป็นในการใช้อย่างไร ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งต่อมา ปอ ตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือไฮโซปอ 1 ในผู้ต้องหา ได้ออกมายอมรับว่า กินยาดังกล่าว แต่อ้างเพื่อคลายเครียดหลังเกิดเหตุ
ทั้งนี้ วันต่อมา (10 พ.ค.) นายอัจฉริยะ ได้เข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.อ.นายแพทย์ (สบ5) หัวหน้ากลุ่มงานตรวจพิสูจน์หลักฐานเกี่ยวกับบุคคล สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการชันสูตรฯ การเสียชีวิตของแตงโม ชี้เข้าข่ายเป็นการกระทำที่มีการลงนามรับรองเอกสารราชการอันเป็นเท็จ
นายอัจฉริยะ ยืนยันด้วยว่า “การนำข้อมูลต่างๆ มาเผยแพร่ ไม่ใช่การลดความน่าเชื่อถือการทำงานของพนักงานสอบสวนคดีแตงโม แต่ปัจจุบันการเสาะแสวงหาข้อมูลข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์รวดเร็วกว่าการทำงานของตำรวจ ซึ่งข้อมูลหลักฐานต่างๆ ที่นำเสนอนั้น เพื่อยืนยันข้อสังเกตที่สังคมสงสัย และไม่เชื่อว่า แตงโมปัสสาวะท้ายเรือ และไม่เชื่อว่าแตงโมตกจากท้ายเรือ”
ด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า ไม่มีขบวนการสร้างพยานหลักฐานเท็จตามที่นายอัจฉริยะอ้าง และได้มอบหมายให้จเรตำรวจ เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงประเด็นที่นายอัจฉริยะหยิบยกขึ้นมาตั้งข้อสังเกต และให้พนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ตรวจสอบข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติมในทุกประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร่องรอยบาดแผลที่พบบนร่างกายของแตงโมที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ แต่อาจเกิดจากของมีคม เช่น มีด เป็นต้น ซึ่งพนักงานสอบสวน ยืนยันว่า พยานหลักฐานในจุดเกิดเหตุไม่พบมีด หรือของคม ที่พิสูจน์ได้ว่า เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้เกิดบาดแผลดังกล่าว
พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวถึงกรณีพนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบเพิ่มเติม 20 ประเด็นด้วยว่า ขณะนี้ตำรวจได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อย และได้ส่งกลับไปให้พนักงานอัยการแล้ว หากมีประเด็นใดที่จำเป็นต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้รัดกุมมากขึ้น สามารถสอบสวนเพิ่มได้ในอนาคต "ยืนยันว่า การสอบสวน ไม่มีการตั้งธงการสอบสวนของคดี แต่ต้องทำไปตามพยานหลักฐานที่มีอยู่ เชื่อว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว คดีจะคลี่คลาย ตอบข้อสงสัยของสังคมได้"
3. สถานทูตจีน เผยท่าทีแล้ว รับไม่ได้คลิปโฆษณาลาซาด้า ขณะที่กองทัพไทยร่วมแบนลาซาด้า ด้านตำรวจรวบรวมหลักฐานเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง!
หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกรณีคลิปโปรโมทแอปพลิเคชั่นขายของออนไลน์ของลาซาด้าที่ส่อเจตนาล้อเลียนสถาบัน รวมทั้งเป็นการเหยียดหยาม บูลลี่ผู้ป่วยผู้พิการ ซึ่งตัวละครในคลิปคือ นายอนิวัติ ประทุมถิ่น หรือที่สังคมออนไลน์รู้จักกันในชื่อ "นารา เครปกะเทย" และ "หนูรัตน์" (นู๋รัตน์) ธิดาพร ชาวคูเวียง กระทั่งเกิดกระแสแบนลาซาด้าอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้าแจ้งความต่อ บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีนารา เครปกะเทย และพวกในข้อหาดูหมิ่นสถาบัน ตามกฎหมาย ป.อาญา มาตรา 112 ประกอบมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แล้ว ขณะที่ทางบริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย และบริษัทเอเจนซี่ที่เป็นตัวกลางในการทำโฆษณาดังกล่าว ได้ขออภัยต่อความไม่เหมาะสมของคลิปโฆษณาดังกล่าว แต่นารา เครปกะเทย นอกจากไม่ขอโทษ โดยอ้างว่า คนดูคลิปคิดไปเอง ตนไม่ได้บอกว่า คนในคลิปเป็นใคร และคนใส่ชุดไทยนั่งวีลแชร์ก็ไม่ได้มีคนเดียวในโลกแล้ว ยังมีการโพสต์ภาพส่อเจตนาล้อเลียนสถาบันเพิ่มเติม พร้อมข้อความว่า "อยากทำแรงกว่านี้ด้วย แต่กลัวโดนจับ..." ขณะที่หลายภาคส่วนในสังคม รวมทั้งผู้ประกอบธุรกิจต่างทยอยระงับ-ยกเลิกการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางลาซาด้า เพื่อแสดงออกว่าไม่ยอมรับคลิปโฆษณาดังกล่าว
ปรากฏว่า ในเวลาต่อมา ได้มีความเคลื่อนไหวจากกองทัพไทย โดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้สั่งการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกประจำวัน พร้อมสั่งให้หน่วยทหารทั่วประเทศ งดสั่งสินค้าจาก Lazada รวมถึงห้ามรถส่งสินค้าเข้ามาในพื้นที่หน่วยทหาร
ขณะที่ในส่วนของกองทัพอากาศ ได้มีการขอความร่วมมือกำลังพลของกองทัพอากาศและครอบครัว โดย พลอากาศตรี บุญเลิศ อันดารา โฆษกกองทัพอากาศ เผยว่า “กองทัพอากาศขอให้พิจารณาไตร่ตรองการสั่งซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าออนไลน์ดังกล่าว เนื่องจากเป็นสิ่งที่กระทบต่อความรู้สึกของสังคม ไม่ให้เกียรติและลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือเจ็บป่วย"
ส่วนกองทัพเรือ พลเรือโท ปกครอง มนธาตุผลิน เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ เผยว่า กรณีดังกล่าวนับว่าเป็นเรื่องที่สังคมไม่ควรยอมรับหรือปล่อยผ่าน โดยปกติเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นในประเทศที่ผู้คนมีจิตใจที่พัฒนาแล้ว จึงอยากขอให้ใช้วิจารณญาณอย่างยิ่งยวดในการนำผู้ป่วย ผู้พิการ รวมถึงผู้ที่มีความอ่อนแอในด้านต่างๆ มาใช้ เพราะจะชี้นำทำให้สังคมคนไทยของเราตกต่ำ และวอนขอประชาชน "ไม่อดทนอดกลั้น" (zero tolerance) กับการกระทำรูปแบบนี้ วอนเจ้าของผลิตภัณฑ์ เจ้าของบริษัทโฆษณา เจ้าของสื่อในรูปแบบต่างๆ คัดกรองโฆษณาที่ใช้การล้อเลียน ส่อเสียด และมาช่วยกันสนับสนุนสื่อโฆษณาที่สร้างสรรค์ เห็นอกเห็นใจกัน มาช่วยกันสร้างสังคมที่มีความรักความเข้าใจ และอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขต่อไป
ส่วนความคืบหน้าของคดีที่นายศรีสุวรรณ ได้แจ้งความดำเนินคดีนารา เครปกะเทย และพวกแล้ว พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยเมื่อวันที่ 11 พ.ค.ว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งให้ติดตามบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง เบื้องต้นอย่างน้อย 3 ราย ทั้งบริษัทผู้ผลิตเนื้อหา, บริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มที่เป็นผู้เผยแพร่, รวมถึงตัวนักแสดง ซึ่งก็จะต้องเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบสวน และนำคำให้การมาประกอบพยานหลักฐานว่าใครจะเข้าข่ายความผิดอย่างไรบ้าง
“ยืนยันว่า ตำรวจไม่ได้เลือกปฏิบัติ แต่เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ผู้เสพสื่อออนไลน์ก็เห็นอยู่แล้วว่าการกระทำนี้เหมาะสมหรือไม่ แม้บริษัทผู้ผลิตเนื้อหาจะมีการออกแถลงการณ์แล้ว แต่เมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น โดยเฉพาะความผิดที่เสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมายเรื่องความมั่นคง ก็ต้องดำเนินตามกฎหมาย ซึ่งบริษัทอาจทำเพื่อการตลาด แต่ก็ต้องดูเรื่องสิทธิและหน้าที่ด้วย อย่าทำอะไรที่สุ่มเสี่ยง”
พ.ต.อ.กฤษณะ เผยด้วยว่า “การกระทำที่เข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14(3) มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และความผิดอื่นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง”
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค. สถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้เผยท่าทีว่า รับไม่ได้ต่อคลิปโฆษณาโปรโมทลาซาด้าเช่นกัน โดยเฟซบุ๊ก Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความว่า "โฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทยตอบคำถามเกี่ยวกับคลิปโฆษณาของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซบางแห่ง Q : เมื่อเร็ว ๆ นี้ คลิปโฆษณาของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Lazada ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในประเทศไทย สถานทูตจีนมีความรู้สึกอย่างไร A: สถานทูตจีนประจำประเทศไทยรับทราบเหตุการณ์ดังกล่าว คิดเหมือนกันว่า คลิปโฆษณาที่เกี่ยวข้องมีเนื้อหาที่ยอมรับไม่ได้"
4. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก “เจ๊ปอง” กับพวก 1 ปี ไม่รอลงอาญา คดี พธม. บุก NBT ปี 51 ก่อนให้ประกันตัวสู้คดีชั้นฎีกา!
เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.), น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที แนวร่วม พธม. และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล น้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุก มั่วสุม สร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง อั้งยี่ซ่องโจรฯ กรณีร่วมกันบุกยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) ในช่วงการชุมนุมของ พธม. เพื่อขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อปี 2551
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่12 ก.พ. 63 ว่า การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท พิพากษาให้ลงโทษบทหนักสุด ฐานร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน ให้จำคุกนายสมเกียรติ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี จำคุก น.ส.อัญชะลี จำเลยที่ 2 นายภูวดล จำเลยที่ 3 นายยุทธิยง จำเลยที่ 4 และนายชิติพัทธ์ จำเลยที่ 5 คนละ 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่นายสมเกียรติ จำเลยที่ 1 ได้เสียชีวิตลงเมื่อช่วงเดือน พ.ย. 2564 ศาลจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะนายสมเกียรติออกจากสารบบความ
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-5 ว่า ได้ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ หรือไม่ โดยโจทก์มีนายสุริยงค์ หุณฑสาร ผอ.สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เอ็นบีที และช่างภาพ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบิกความเป็นพยานว่า ในช่วงเช้าเวลา 06.00 น.เศษ ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ใส่เสื้อสีเหลือง รวมทั้งแต่งกายชุดสีดำของกลุ่มนักรบศรีวิชัย ได้เดินทางมาที่ประตูด้านหน้าสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย เอ็นบีที
หลังจากนั้น มีรถยนต์บรรทุกติดเครื่องขยายเสียงมาจอดด้านหลังผู้ชุมนุม ซึ่งมีผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ทยอยมาสมทบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเวลา 08.00 น.ผู้ชุมนุมกลุ่มใหญ่พร้อมรถยนต์บรรทุกติดเครื่องขยายเสียงที่ทำเป็นเวทีปราศรัยเคลื่อนที่หลายคันเดินทางมาถึง เห็นจำเลยที่ 2-4 ยืนพูดบนรถยนต์ติดเครื่องขยายเสียงดังกล่าว และเห็นจำเลยที่ 5 เข้ามาในอาคาร บอกให้เจ้าพนักงานตำรวจถอยออกไปจากอาคาร จากนั้นผู้ชุมนุมประมาณ 3,000 คน พังประตูรั้วเหล็กฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกรุกเข้าไปในบริเวณพื้นที่และอาคารสำนักงานสถานี เจ้าพนักงานตำรวจถอยเข้าไปในอาคารสำนักงานและปิดประตูทางเข้า ผู้ชุมนุมล้อมอยู่นอกอาคาร
ต่อมา มีผู้ชุมนุมทุบประตูกระจกเข้ามา กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ายึดอาคารได้ และต้องการยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เอ็นบีทีให้จอดำ ในส่วนของจำเลยที่ 5 เมื่อประตูกระจกแตก ผู้ชุมนุมได้เข้าไปในอาคาร จำเลยที่ 5 ก็ได้ประกาศว่า ชื่อสนธิชัย ลิ้มทองกุล มีการแสดงบัตรให้ดู โดยนายสนธิชัย จำเลยที่ 5 ได้พูดประกาศว่า ได้รับคำสั่งจากหน่วยบัญชาการ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เป็นการปฏิวัติภาคประชาชน หลังจากนั้นก็เริ่มนับถอยหลัง โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมที่ถือกระบองนำกระบองเคาะพื้นตามการนับของจำเลยที่ 5 เจ้าพนักงานตำรวจหลีกเลี่ยงการปะทะ จึงออกมาอยู่บริเวณด้านนอกอาคาร
เจ้าพนักงานตำรวจเบิกความต่อว่า การบุกรุกเข้ายึดอาคารสำนักงานสถานี เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำโดยให้กลุ่มนักรบศรีวิชัย ซึ่งเป็นกองกำลังรักษาความปลอดภัยบุกเข้าไปก่อนเพื่อดูแลความปลอดภัย รอทัพใหญ่ซึ่งเป็นผู้ร่วมชุมนุมธรรมดาตามมา กลุ่มพันธมิตรฯ ยึดพื้นที่บริเวณสถานีและอาคารสำนักงาน จนถึงเวลา 16.00 น. เมื่อไม่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณได้ จึงมีการเจรจากับเจ้าพนักงานตำรวจแล้วออกจากพื้นที่ไป
ส่วนจำเลยที่ 2-5 นำสืบทำนองเดียวกันว่า ไปที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เอ็นบีที เพื่อห้ามปรามไม่ให้ผู้ชุมนุมบุกรุกเข้าไปในอาคารสำนักงานสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เอ็นบีที จำเลยที่ 5 เข้าไปในอาคารสำนักงาน เนื่องจากประตูเปิดไว้ ไม่มีเจ้าพนักงานตำรวจห้าม และเข้าไปเพื่อห้ามกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้ทำลายทรัพย์สิน
ศาลเห็นว่า ก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 2-5 เข้าร่วมการชุมนุมที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อทราบเหตุว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมถูกจับกุมที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เอ็นบีที จำเลยที่ 2-4 จึงขึ้นรถยนต์บรรทุกติดเครื่องขยายเสียงมาที่เกิดเหตุพร้อมกลุ่มผู้ชุมนุมส่วนหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 5 โดยสารรถจักรยานยนต์มาที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 2-5 ย่อมทราบว่า ในขณะนั้น เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้ร่วมชุมนุมจำนวนหนึ่งไว้ การที่จำเลยที่ 2-5 กับกลุ่มผู้ร่วมนุมนุมมาที่เกิดเหตุ อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง แม้จะอ้างว่า จำเลยที่ 2-4 ไม่ได้เข้าไปในบริเวณและภายในอาคาร แต่การที่ร่วมกันเดินทางมาย่อมทราบว่า อาจทำให้สถานการณ์ควบคุมไม่ได้ ...จำเลยที่ 2-5 จึงต้องรับผิดในฐานะตัวการร่วม พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2-5 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่จำเลยที่ 2-5 อ้างว่าไม่ได้ร่วมกระทำความผิด จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ 2-5 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาด้วยการกำหนดโทษ แต่รอการลงโทษไว้ก่อนนั้น ศาลมองว่า ลักษณะการกระทำความผิดเป็นการกระทำโดยอุกอาจต่อหน้าเจ้าพนักงานตำรวจ เป็นการไม่ยำเกรงกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและความสงบสุขของสังคม และส่งผลต่อเศรษฐกิจของชาติโดยส่วนรวม กรณีจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2-5 และไม่รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
หลังฟังคำพิพากษา จำเลยที่ 2-5 ได้ให้ทนายความยื่นขอประกันตัว ด้านศาลพิจารณาเเล้ว อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยที่ 2-5 ระหว่างฎีกา โดยตีราคาประกันคนละ 2 เเสนบาท โดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ
5. วันพืชมงคลปีนี้ พระโคเสี่ยงทาย กินน้ำ หญ้า ถั่ว เหล้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าบริบูรณ์ ค้าขายดีขึ้น เศรษฐกิจรุ่งเรือง!
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม เวลาประมาณ 08.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต มายังพลับพลาที่ประทับเพื่อเป็นองค์ประธานในงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ปีพุทธศักราช 2565 ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยเสด็จด้วย ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง
พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประกอบด้วย พระราชพิธี 2 พิธีรวมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคล อันเป็นพิธีสงฆ์ ซึ่งเป็นการประกอบพระราชพิธีวันแรกที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ในวันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม เป็นพิธีทำขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหารที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอธิษฐานเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์ โดยประกอบพระราชพิธีในวันที่ 13 พฤษภาคม ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
สำหรับการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปีนี้ ผู้ทำหน้าที่พระยาแรกนา คือ นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เทพีคู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวณัฐชยา ศรีสุขสวัสดิ์ นักวิชาการปฏิรูปที่ดินชำนาญการพิเศษ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และนางสาวอาทิตยา ทองแกมแก้ว นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร เทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวกันยารัตน์ เศวตนันทิกุล นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางสาวชลธิชา ทองอ่อน นายสัตวแพทย์ชำนาญการ กรมปศุสัตว์ ส่วนพระโคแรกนาขวัญ ได้แก่ พระโคพอ และพระโคเพียง
สำหรับผลการเสี่ยงทายผ้านุ่งแต่งกาย และพระโคกินเลี้ยง ในปีนี้ พระยาแรกนาได้ตั้งสัตยาธิษฐาน หยิบได้ผ้านุ่ง 4 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะมากสักหน่อย นาในที่ดอนจะได้ผลบริบูรณ์ดี นาในที่ลุ่มอาจจะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่ ผลการเสี่ยงทายของกิน 7 สิ่งที่ตั้งเลี้ยงพระโค พระโคกินน้ำ หญ้า ถั่ว และเหล้า ผลเสี่ยงทายพระโคกินน้ำหรือหญ้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร มังสาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี พระโคกินถั่ว พยากรณ์ว่า ผลาหาร ภักษาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี และพระโคกินเหล้า พยากรณ์ว่า การคมนาคมสะดวกขึ้น การค้าขายกับต่างประเทศดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง