xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 27 มี.ค.-2 เม.ย.2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.ตร.แจ้งข้อหา “ปอ-โรเบิร์ต” เพิ่ม 2 ข้อหา ด้านศาลออกหมายจับ “แซน” ทนายเดชา แย้ม คนบนเรือจะถูกดำเนินคดีทั้งหมด ฝาก “กระติก” พูดความจริงให้หมด!

เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) ได้มีการแถลงผลชันสูตรศพ "แตงโม" น.ส.นิดา พัชรวีรพงศ์ นักแสดงชื่อดัง รอบสอง หลังตกจากเรือสปีดโบ๊ทในแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ท่ามกลางความคาใจของหลายฝ่ายในสังคมว่า เป็นการฆาตกรรมหรือไม่ ทั้งนี้ ผู้ร่วมแถลงผลชันสูตรรอบ 2 ประกอบด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม, พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์, ผศ.นพ.วรวีร์ ไวยวุฒิ รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ในฐานะประธานกรรมการผ่าพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์, นพ.รักษชัย นาทองไชย หัวหน้ากลุ่มพยาธิวิทยา สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ในฐานะทนายความของนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน หรือมารดาของแตงโม

ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวว่า คุณแม่แตงโมยื่นร้องขอให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ทำการผ่าชันสูตรศพซ้ำหลังมีประเด็นข้อสงสัยเรื่องบาดแผลตามร่างกาย 11 ข้อ และรายงานผลตรวจเสร็จสิ้นแล้ว แต่สามารถชี้แจงได้บางประเด็น เพราะเป็นเรื่องรายละเอียดในคดี เป็นความรับผิดชอบของตำรวจ พร้อมยอมรับว่า ผลพิสูจน์ครั้งที่ 2 มีข้อจำกัดหลายอย่าง ไม่ว่าจะสภาพศพที่เปลี่ยนแปลง โดยบริเวณศีรษะหรือใบหน้าจากการผ่าพิสูจน์ซ้ำไม่พบบาดแผล และเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ลงพื้นที่ตั้งแต่ครั้งแรกมีภาพถ่าย ทางญาติสามารถร้องขอนำไปเปรียบเทียบได้, ลำคอที่สวมสร้อย มีภาพตั้งแต่แรกว่าสร้อยคอยังคงหย่อน พอเวลาผ่านไปร่างกายก็บวม ไม่พบว่ามีการรัดคอ

ส่วนบาดแผลต้นขาขวา ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวว่า จะบอกว่าเกิดขึ้นก่อนหรือหลังเสียชีวิต แต่ไม่ได้บอกว่าเกิดจากวัตถุใด , เล็บมือ ได้ตรวจซ้ำอีกครั้งว่ามีการต่อสู้หรือทำร้ายร่างกายหรือไม่ , แผ่นหลัง ไม่พบบาดแผล , หลอดลมและอวัยวะเพศ ได้นำสารคัดหลั่งไปตรวจแล้ว , เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่กับศพตอนชันสูตรครั้งที่สอง ไม่ใช่ชุดบอดี้สูท, โครงสร้างกระดูกทั้งหมดไม่พบการแตกหัก เช่น ฟัน ยังครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากใช้ระบบซีทีสแกนตรวจสอบ ทั้งนี้ ในการตรวจสอบของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์พบบาดแผลที่ศพทั้งหมด 22 จุด (ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต เผยก่อนหน้านี้ว่า แผล 22 จุดดังกล่าว เป็นแผลขนาดเล็ก มีทั้งแผลฉีกขาด-แผลถลอก-แผลช้ำ)

ด้าน ผศ.นพ.วรวีร์ กล่าวว่า สำหรับบาดแผลที่ขายังตอบไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร โดยตำรวจจะไปจำลองเหตุการณ์เกิดบาดแผลกับวัตถุต่างๆ ส่วนการตรวจสอบเรื่องแอลกอฮอล์นั้น ปกติแล้วหากเสียชีวิตร่างกายจะไม่ขับแอลกอฮอล์ เพราะต้องขับออกจากลมหายใจ ดังนั้นการตรวจสอบจากศพจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย “สำหรับสารยูเรียถือเป็นองค์ประกอบในปัสสาวะ หากมีน้ำปัสสาวะในแผ่นอนามัยก็จะตรวจเจอ แต่ที่ตรวจไม่พบ เพราะอาจไม่มีปัสสาวะหรือแผ่นอนามัยแช่น้ำนาน สารยูเรียจึงอาจจะถูกชะล้างไป”

ขณะที่ทนายเดชา กล่าวว่า จะนำผลชันสูตรไปปรึกษากับตำรวจ ซึ่งผลตรวจส่วนใหญ่ตรงกับครั้งแรกและต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติมก่อน แต่ถือว่าเป็นประโยชน์กับการแจ้งข้อหาเพิ่มว่า เกิดจากเจตนาหรือความประมาท สำหรับสภาพศพถือเป็นวัตถุพยานและต้องดูว่ามีร่องรอยการทำร้ายหรือไม่ หากมีก็ต้องเทียบกับพยานแวดล้อม จีพีเอส เพื่อประกอบการแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่น

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 เม.ย. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมได้นำหลักฐานทั้งคลิปวิดีโอ ภาพนิ่ง และพยานผู้เชี่ยวชาญด้านแสงเงา เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ภูมิรพี สังข์ทอง ผกก.สอบสวน บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินกับ แซน วิศาพัช มโนมัยรัตน์ ข้อหาให้การเท็จต่อคณะพนักงานสอบสวนและสืบสวนภาค 1 และ สภ.นนทบุรี ในคดี “แตงโม” ตกจากเรือเสียชีวิต พร้อมทั้งนำคลิปหลักฐานจากกล้องวงจรปิดของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งย่านพระราม 7 ที่ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ มามอบให้กองปราบปราม เพื่อนำไปมอบต่อคณะพนักงานสอบสวนและสืบสวนภาค 1 ต่อไป

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า มาวันนี้เพื่อนำหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่ได้ให้นายวัชระไกรศร เกตุจรัส ผู้เชี่ยวชาญการใช้เทคนิคด้านแสง เงา และการวาดภาพวิเคราะห์ โดยพบว่า ตอนเกิดเหตุจากการตรวจสอบแสงและเงาในคลิปอย่างละเอียด พบว่า แซนไม่ได้นั่งท้ายเรือตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงตอนเกิดเหตุแตงโมตกเรือ ซึ่งจากหลักฐานที่เราได้ไม่ตรงกับคำให้การของแซน ที่ระบุว่า แตงโมมาเกาะขาแล้วนั่งถ่ายปัสสาวะท้ายเรือ จึงมาแจ้งความดำเนินกับแซนและนำหลักฐานมาให้กองปราบปราม เพื่อส่งมอบให้ภาค 1 ต่อไป

ด้านพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องไว้ ก่อนสอบปากคำรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนนำเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาส่งต่อให้ตำรวจภาค 1 ต่อไป

วันเดียวกัน (1 เม.ย.) ที่ สภ.เมืองนนทบุรี นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ พร้อมกับนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน มารดาของแตงโม ได้แถลงข่าวหลังนำผลชันสูตรศพแตงโมรอบ 2 ไปมอบให้กับ พ.ต.อ.จาตุรนต์ อนุรักษ์บัณฑิต ผู้กำกับการ สภ.เมืองนนทบุรี เพื่อประกอบสำนวน พร้อมสอบถามความคืบหน้าของคดี ขณะที่ตำรวจได้สอบปากคำมารดาแตงโมเพิ่มเติมประมาณ 2 ชั่วโมง

โดยทนายเดชา กล่าวว่า คาดว่าเร็วๆ นี้ไม่เกิน 15 วันจะมีข่าวดีที่สังคมรอเกิดขึ้น คนที่อยู่บนเรือจะถูกดำเนินคดีทั้งหมด ส่วนกุนซือคือคนที่ไม่ได้อยู่บนเรือ ส่วนข้อหาจะมีหลายอย่าง ประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แจ้งความเท็จ ซึ่งหลายอย่างมาก ส่วนเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่พูดคือต้องการสับขาหลอก วันนี้ได้ข้อสรุปแล้วว่า ไม่ผิดหวังแน่นอน ตนมองว่าคดีไม่นานเพราะทำงานกันทุกวัน ซึ่งคดีนี้ไม่เหมือนคนดีอื่น เพราะคนบนเรือมีการโกหก และมีคนอยู่เบื้องหลังตลอดทุกอย่าง คาดว่าคดีจะจบแล้วไม่เกินวันสงกรานต์นี้

ทนายเดชา ยังฝากถึง "กระติก" อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ ผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม ที่อยู่บนเรือสปีดโบ๊ทตอนเกิดเหตุด้วยว่า "อยากฝากถึงกระติกว่า รอยสักบนมือซ้ายของแตงโมที่สักชื่อ อีสเตอร์ ลูกกระติก อยากให้กระติกพูดความจริงให้หมด เพราะแตงโมรักกระติกมาก ซึ่งกระติกมีประโยชน์ต่อรูปคดีมาก คดีนี้ทุกคนบนเรือมีความเสี่ยงทุกคน ผมไม่ได้ออกมาขู่ แต่เป็นการแจ้งสิทธิ์เพื่อหาพยาน ซึ่งคนบนเรือไม่สามารถโยนความผิดให้แซนคนเดียวได้"

ทนายเดชากล่าวอีกว่า วันนี้มาบอกว่าทุกคนไม่ผิดหวังแน่นอน ซึ่งการกระทำเป็นการกระทำโดยเจตนา ซึ่งมีเจตนาหลายอย่างในการทำลายหลักฐาน และประมาทก็มีร่วมด้วย ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต ตอนนี้แม่ไม่อยากพูดเรื่องคดี ซึ่งตนติดตามคดีทุกวันอยู่แล้ว และทางตำรวจรายงานตนทุกวันแต่ไม่มาออกสื่อ เพราะเป็นสำนวนที่สำคัญ และว่า ตอนนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้าดูแลตรงนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แต่ถ้าใครมีพยานหลักฐานก็เอามาให้ที่ผู้กำกับได้ หรือติดต่อมาที่ตนได้เลย เพราะตนจะดำเนินต่อเองได้

ล่าสุด (2 เม.ย.) นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือไฮโซปอ เจ้าของเรือสปีดโบ๊ท และนายไพบูลย์ ตรีกาญจนานันท์ หรือโรเบิร์ต 2 ผู้ต้องหา ซึ่งสึกจากโยคีพราหมณ์ที่ธรรมสถานวิโมกสิวาลัยแล้วเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ซึ่งเป็นการสึกก่อนกำหนด 1 วัน ได้เดินทางเข้ารายงานตัวต่อตำรวจที่ สภ.เมืองนนทบุรี ตามกำหนดนัด

ต่อมา พ.ต.อ.จาตุรนต์ อนุรักษ์บัณฑิต ผกก.สภ.เมืองนนทบุรีให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า วันนี้เรียกนายปอและโรเบิร์ต มา 2 เรื่อง เรื่องแรกมาตามเรื่องการนัดหมายตามเงื่อนไขการประกันตัว โดยจะมีการนัดหมายครั้งต่อไปเป็นวันเสาร์หน้า โดยขยับระยะเวลาเป็น 7 วัน เพราะทั้งคู่สึกมาแล้วและอยู่ใกล้ ไม่มีพฤติกรรมหลบหนี ส่วนเรื่องที่ 2 วันนี้ได้มีการแจ้งข้อหาผู้ต้องหาทั้ง 2 คนเพิ่มเติมอีก 2 ข้อหา 1.ให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน 2.ทำลายพยานหลักฐาน ซึ่งในส่วนข้อหาการให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานนั้น โดยเฉพาะเรื่องสุรามีการสอบสวนพบว่า มีการดื่มสุรา 3 ขวด ซึ่งนำไปสู่การทำลายพยานหลักฐาน ในข้อหาต่อมา คือการทิ้งขวดสุราและแก้วหรือพยานหลักฐานต่างๆ

วันเดียวกัน (2 เม.ย.) มีรายงานว่า ศาลจังหวัดนนทบุรี ได้อนุมัติหมายจับตามคำร้องของพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี ให้จับกุมนายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือ แซน 1 ใน 5 คนที่อยู่บนเรือสปีดโบ๊ท ข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งแซนคือคนที่อ้างว่า นั่งเล่นโทรศัพท์ที่ท้ายเรือ แล้วแตงโมไปจับขาเพื่อปัสสาวะก่อนตกจากเรือ


2.กรมที่ดินสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก. ของ “แม่ธนาธร” 59 ฉบับ ชี้รุกป่า-ออกโดยไม่ชอบ ด้านเจ้าตัวลั่น ถ้าผิดยินดีคืน แต่อย่ากล่าวหาโกงบ้านโกงเมือง!


เมื่อวันที่ 29 มี.ค. นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน (ทด.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้มอบหมายให้นายสมเกียรติ ถนอมกิตติ รองอธิบดีกรมที่ดิน ลงนามในคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 747/2565 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2565 เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) มีเนื้อหาระบุว่า ด้วยความปรากฏว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังต่อไปนี้

1. น.ส.3 ก. เลขที่ 153-159 ตำบลด่านทับตะโก อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี จำนวน 7 ฉบับ ออกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2521 ตามโครงการเดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศ มิได้แจ้งการครอบครองที่ดิน ตามมาตรา 58, 58 ทวิ วรรคสอง (2) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน

2. น.ส.3 ก. เลขที่ 704-707, 709, 711-729, 761, 1121-1133, 1135,1137-1144, 1158, 1159 และ 1161-1163 ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี จำนวน 52 ฉบับ ออกเมื่อปี พ.ศ. 2521 ตามโครงการเดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศ มิได้แจ้งการครอบครองที่ดินและไม่มีหลักฐานสำหรับที่ดิน ตามมาตรา 58, 58 ทวิ วรรคสอง (2) และ (3) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน (รายละเอียดปรากฏตามบัญชีแนบท้าย)

น.ส.3 ก.จำนวน 59 ฉบับ ตามข้อ 1 และ 2 ได้ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏจากการตรวจสอบของกรมพัฒนาที่ดินว่า ตำแหน่งที่ดินของ น.ส.3 ก. พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี (หมายเลข 85)” ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 58 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ห้ามดำเนินการในเขตป่าไม้ถาวรและเป็นที่ดินต้องห้ามมิให้ออก น.ส.3 ก. ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2497) ข้อ 3 ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2497) ข้อ 8 (2) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น และรองอธิบดีซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมายได้มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 557-558/2564 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว

คณะกรรมการสอบสวนฯ พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 153-159 ตำบลด่านทับตะโก อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี และ น.ส.3 ก. เลขที่ 704-707, 709, 711-729, 761, 1121-1133, 1135,1137-1144, 1158, 1159 และ 1161-1163 ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เป็น น.ส.3ก. ที่ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจริง สมควรเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) จำนวน 59 ฉบับนี้

ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 ประกอบกับกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการสอบสวน และการพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หรือการจดแจ้งเอกสารรายการจดทะเบียนโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ศ. 2553 และคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 498/2565 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เรื่อง มอบหมายให้รองอธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจหน้าที่พิจารณาและมีคำสั่งตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน แทนอธิบดีกรมที่ดิน จึงมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) จำนวน 59 ฉบับดังกล่าว ตลอดจนเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องเสียทั้งหมด ทั้งนี้ ให้หมายเหตุการเพิกถอนไว้ให้ทราบตามระเบียบและวิธีการด้วย

คำสั่งเพิกถอนดังกล่าว ระบุด้วยว่า คำสั่งนี้เป็นคำสั่งทางปกครองอันอาจอุทธรณ์ต่อไปได้ หากผู้มีส่วนได้เสียประสงค์จะอุทธรณ์หรือโต้แย้งคำสั่งนี้ ให้ยื่นอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมที่ดิน ณ กรมที่ดินภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งตามนัยมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

ในกรณีที่มีการอุทธรณ์ หากครบกำหนดระยะเวลาในการพิจารณาของผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว ไม่ว่าจะมีคำวินิจฉัยของผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ก็ตาม ผู้มีส่วนได้เสียสามารถที่จะยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นที่ผู้ฟ้องคดีมีภูมิลำเนา หรือศาลปกครองเพชรบุรีที่มูลคดีเกิดขึ้น หรือส่งคำฟ้องทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครองดังกล่าวภายในระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี ตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

3 วันต่อมา (1 เม.ย.) นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ออกมาชี้แจงหลังถูกกรมที่ดินสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก.รวม 59 ฉบับว่า รู้สึกเสียใจอย่างมากที่สังคมและสื่อต่างๆ ไปพาดหัวว่าตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจรุกที่ป่า กินป่า เพราะนี่เป็นข้อหาที่ร้ายแรงสำหรับตนเองและครอบครัวที่ทำมาหากินสุจริตและตั้งใจช่วยเหลือสังคมอย่างเต็มกำลังมาโดยตลอด และขอโอกาสชี้แจง เพื่อให้สังคมให้ความเป็นธรรม

นางสมพร กล่าวอีกว่า ตนไม่ใช่ผู้ซื้อมือแรก โดยเอกสารสิทธิ์ที่ดินออกตั้งแต่ปี 2521 โดยกรมที่ดิน มีเจ้าหน้าที่เซ็นรับรองถูกต้องทุกอย่าง ต่อมาในปี 2533 ตนได้รับการแนะนำจากนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งในสมัยนั้นเป็นนักการเมืองสำคัญในบ้านเมือง ให้มาซื้อที่ดินจากบริษัทมิตรผล ที่เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งนายกมล ว่องกุศลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัทมิตรผล ก็เป็นนักธุรกิจใหญ่ รู้จักกันดี เมื่อทั้งเจ้าของและผู้แนะนำให้ซื้อเป็นคนที่น่าเชื่อถือ จึงไม่คิดเลยว่าที่ดังกล่าวจะผิดกฎหมาย

ตนเป็นเจ้าของมา 30 ปี ไม่เคยมีปัญหา จนกระทั่งลูกชายมาทำงานการเมือง ลูกก็โดนยัดคดีร้ายแรงให้สารพัด ส่วนตนเองก็โดนร้องเรียนว่ารุกป่า เป็นเรื่องใหญ่โต ตนเองขอยืนยันตรงนี้ว่า ที่ผืนนี้ ถึงจะซื้อมาถูกกฎหมายทุกประการ มีเอกสารสิทธิ์เรียบร้อย แต่อยู่มาวันหนึ่งรัฐบอกว่าผิด จะเพิกถอน ก็ไม่มีปัญหา แต่ต้องไปพิสูจน์ถูกผิดกันตามกฎหมาย ถ้าออกมาว่าเป็นป่าจริง ยินดีคืนที่ให้ แต่อย่ามากล่าวหาว่าครอบครัวโกงบ้านโกงเมืองเด็ดขาด

3. สมัครผู้ว่าฯ กทม.คึกคัก “วิโรจน์” คว้าเบอร์ 1 “ดร.เอ้” เบอร์ 4 “อัศวิน” เบอร์ 6 “รสนา” เบอร์ 7 “ชัชชาติ” เบอร์ 8 !



เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสถานที่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ใช้เปิดรับสมัครผู้ว่าฯ กทม. และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เป็นวันแรก บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก เพราะผู้สมัครชื่อดังหลายคนต่างทยอยเดินทางมาสมัคร

ทั้งนี้ กกต.ประจำท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร ได้เริ่มกระบวนการจับสลากหมายเลขผู้สมัคร โดยมีผู้สมัคร 14 ราย มาถึงก่อนเวลารับสมัครในเวลา 08.30 น ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำของกรุงเทพฯ จึงได้มีการจับสลากรายชื่อผู้สมัคร เพื่อให้ได้ลำดับผู้สมัครที่จะจับสลากหมายเลขในการยื่นใบสมัคร และเมื่อผู้สมัครจับสลากหมายเลขในการยื่นสมัครแล้ว หมายเลขดังกล่าวจะถือเป็นหมายเลขประจำตัวในการหาเสียง ซึ่งผลการจับสลากหมายเลข ปรากฏว่า

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครพรรคก้าวไกล ได้หมายเลข 1 พ.ท.หญิง ฐิฏา รังสิตพล มานิตกุล ได้หมายเลข 2 นายสกลธี ภัททิยกุล ได้หมายเลข 3 นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ได้หมายเลข 4 นายวีระชัย เหล่าเรืองวัฒนะ ได้หมายเลข 5 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ได้หมายเลข 6

น.ส.รสนา โตสิตระกูล ได้หมายเลข 7 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้หมายเลข 8 นางสาววัชรี วรรณศรี ได้หมายเลข 9 นายศุภชัย ตันติคมน์ ได้หมายเลข 10 น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครพรรคไทยสร้างไทย ได้หมายเลข 11 นายประยูร ครองยศ ได้หมายเลข 12 นายพิศาล กิตติเยาวมาลย์ ได้หมายเลข 13 และ นายธเนตร วงษา ได้หมายเลข 14 พล.อ.ต.ทูตปรีชา เลิศสันทัดวาที ได้หมายเลข 15 น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ ได้หมายเลข 16 นายอุเทน ชาติภิญโญ ได้หมายเลข 17


สำหรับการจับสลากหมายเลขของ พ.ท.หญิง ฐิฏา รังสิตพล มานิตกุล ซึ่งเป็นบุตรสาวของ นายสุขวิช รังสิตพล อดีต รมว.ศธ. ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ต้องนำอุปกรณ์จับสลากลงมาให้ พ.ท.หญิง ฐิฎา จับด้านล่างเวที เนื่องจาก พ.ท.หญิง ฐิฎา นั่งวีลแชร์ ไม่สามารถขึ้นไปบนเวทีเช่นเดียวกับผู้สมัครคนอื่นได้

หลังจากผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ได้รับหมายเลขและยื่นใบสมัครเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ได้จับสลากหมายเลขผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานครต่อเนื่องครบทั้ง 50 เขต

และทันทีที่ผู้สมัครได้รับหมายเลขเรียบร้อยแล้ว กลุ่มผู้สนับสนุนที่อยู่บริเวณลานพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ก็ติดหมายเลขผู้สมัครของตนที่ป้ายหาเสียงทันที พร้อมกับส่งเสียงแสดงความยินดี

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวหลังจับสลากได้เบอร์ 1 ว่า เลข 1 เป็นเลขที่นำเมืองที่เป็นธรรมให้กับคนกรุงเทพฯ ได้เวลาที่ชาวกรุงเทพฯ จะเป็น 1 เสียที และว่า จากนี้ก็จะหาเสียงตามแผนพบปะประชาชน นำเสนอนโยบายจุดยืนในการคืนเมืองที่เป็นธรรม เมืองที่คนเท่ากันให้กับชาวกรุงเทพฯ เพื่อที่จะบริหารงบประมาณและทรัพยากรเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวกรุงเทพฯ ให้สมกับที่เราเป็นผู้เสียภาษี

ด้าน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง กล่าวหลังจับสลากได้หมายเลข 6 ว่า ตนคิดว่า ประชาชนจะชอบหมายเลขนี้ เป็นเลขนำโชคอยู่แล้ว และว่า จากนี้จะลงพื้นที่หาเสียงทันที ฝากถึงประชาชน หากอยากให้กลับมาใหม่ เลือกเบอร์ 6 ต้องทำความเข้าใจชี้แจงประชาชนว่าสิ่งที่เราทำไปแล้วคืออะไร อยากให้เขารู้ว่าเราทำงานมากว่า 5 ปีนั้น ทำอะไรบ้าง ซึ่งจริงๆ เราทำไปเยอะแล้ว

ขณะที่นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ กล่าวหลังจับสลากได้หมายเลข 4 กล่าวว่า ตนเกิดเดือนสี่ และความหมายของเลขสี่ คือ หนทางของการดับทุกข์ เป็นอริยสัจ 4 และตนยังจบมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เลข 4 เป็นเลขมงคลมาก ดีใจสุดๆ ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อได้เห็นหน้าตาของผู้สมัครแต่ละคนแล้ว มีความมั่นใจแค่ไหน นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า มาถึงตรงนี้ก็ต้องมีความมั่นใจเต็มที่ และจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวัง

ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 7 ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “รสนา โตสิตระกูล” หัวข้อ ต้องหยุดโกง กรุงเทพเปลี่ยนแน่ โดยระบุว่า "หยุดโกงแล้วได้อะไร 1) บำนาญประชาชน 3,000 บาท เริ่มได้ก่อนที่ กทม. 2) ไม่ต่อสัมปทานบีทีเอส ลดค่าตั๋วเหลือ 20 บาทตลอดสาย 3) ฟ้าทะลายโจรและยาไทยฟรีทุกบ้าน อยู่กับโควิดได้ กลับมาทำมาหากินอย่างมั่นใจ 4) กระจายงบ 50 ล้านต่อเขตให้คนพื้นที่ตัดสินใจแก้ปัญหา 5) ระบายน้ำท่วม จ้างงานขุดลอก 1,600 คลอง ฟื้นวิถีท่องเที่ยวเวนิสตะวันออก 6) ตั้งกองทุนหลังคาบ้านโซลาร์เซลล์ประหยัดค่าไฟ 500 บาททุกเดือน 7) ติดกล้อง CCTV 500,000 ตัว กทม.ต้องปลอดภัยทั้งทางบกและทางน้ำ 8) "เลิกรอคิวนาน" ยกระดับ 69 ศูนย์อนามัย กทม.เป็น รพ.24 ชม. โปรดเลือก “รสนา” เป็นผู้ว่าฯ กทม. ..."

4. ศิษย์คนสนิทลักเงินในบัญชีสมเด็จพระวันรัต 200 ล้านบาท ตำรวจกองปราบฯ รวบตัวได้แล้ว!



หลังจากสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พรหมคุตโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ได้ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ปรากฏว่า ได้เกิดปัญหาในวัดบวรนิเวศวิหารขึ้น หลังจากมีการตรวจสอบพบว่า มีคนฉกเงินของสมเด็จพระวันรัต ซึ่งเป็นสมบัติของวัดบวรนิเวศวิหาร ไปใช้ส่วนตัวเป็นเงินมากกว่า 200 ล้านบาท

ล่าสุด (2 เม.ย.) มีรายงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้กองบังคับการปราบปรามเข้าตรวจสอบคนสนิทของสมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร จนทราบว่า ลูกศิษย์คนสนิทรายหนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับสมเด็จพระวันรัต มีการยักยอกเงินของสมเด็จพระวันรัต ในส่วนของการบูรณะวัดบวรนิเวศฯ และวัดสาขา ตามที่คณะกรรมการวัดได้ประสานให้ดำเนินการตรวจสอบในทางลับ จึงติดตามจับกุมตัวมาได้เมื่อช่วงวันที่ 23-25 มี.ค.ที่ผ่านมา เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหาฉ้อโกง และข้อหาปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม

สำหรับพฤติกรรมการกระทำผิดคือ ปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์เพื่อลักเงินจากบัญชีเงินฝาก จากการตรวจสอบขณะนี้ พบบัญชีแรกมีการลักเงินออกไปประมาณ 80 กว่าล้าน ส่วนอีกบัญชีลักไป 120 กว่าล้าน รวมเงินที่สูญหายไปเท่าที่ตรวจสอบพบในขณะนี้ประมาณ 200 ล้านบาท แต่การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดยังไม่เสร็จสิ้น

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สามารถติดตามกลับคืนมาได้แล้วจำนวนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นการอายัดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด รวมถึงทรัพย์สินที่ต้องสงสัย มีการอายัดเอาไว้ตรวจสอบว่า ได้มาจากเงินที่ลักไปหรือไม่ด้วย ซึ่งขณะนี้มีของกลางที่ยึดและอายัดเอาไว้ตรวจสอบหลายร้อยรายการ

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาไม่ได้กระทำการในครั้งเดียว แต่อาศัยความใกล้ชิดเขาถึงข้อมูล เอกสารสิทธิต่างๆ และปลอมแปลงเอกสารสิทธิ ทำธุรกรรมการเงิน ลักเงินออกไปหลายครั้ง ขณะนี้ ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลว่า มีผู้อื่นให้ความช่วยเหลือ หรือร่วมกระทำความผิดด้วยหรือไม่

เบื้องต้นตรวจสอบพบว่า ทรัพย์สินของสมเด็จพระวันรัตไม่มีการทำพินัยกรรมไว้ ซึ่งตามกฎหมายทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างที่ครองสมณเพศ เมื่อมรณภาพไปโดยไม่มีการจำหน่ายจ่ายโอนเอาไว้ ทรัพย์สินทั้งหมดก็จะตกเป็นของวัด

5. “ท็อปนิวส์” ดีใจ ขอบคุณ “ผบ.ทบ.” ให้โอกาสร่วมงานช่อง 5 ต่อ ด้าน “พล.อ.รังษี” ยันไม่ได้ถูกปลด ขอพ้นหน้าที่เอง!



เมื่อวันที่ 28 มี.ค. รายการข่าว "เที่ยง ททบ.5" ซึ่งผลิตโดยบริษัท กาแลคซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ GMC กลุ่มที่มาจากสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท็อปนิวส์ (TOP NEWS) ของสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม อดีตแกนนำ กปปส. ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5) ได้ถูกตัดสัญญาณเข้าโฆษณาโปรโมตรายการของสถานีแบบกะทันหัน ขณะที่ผู้ดำเนินรายการกำลังนำเสนอข่าวเกี่ยวกับสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ก่อนจะตัดเข้ามายังรายการปกติอีกครั้ง รวมเวลาที่ถูกตัดสัญญาณเข้าโฆษณาประมาณ 8 นาที

มีรายงานว่า ครั้งแรกทีมงานท็อปนิวส์ไม่ทราบว่าถูกตัดสัญญาณ เข้าใจว่าสัญญาณขัดข้อง จึงได้เกี่ยวสัญญาณใหม่อีกครั้ง แต่เมื่อนำเสนอข่าวเกี่ยวกับสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทาง ททบ.5 ได้ตัดภาพไปที่โฆษณารายการอีก ท็อปนิวส์จึงรู้ว่าถูกตัดสัญญาณ

หลังจากนั้น ช่วงเย็น มีกระแสข่าวว่า บริษัท กาแลคซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่นฯ แจ้งมาทางผู้อำนวยการฝ่ายข่าว ททบ.5 ว่า ขอถอนตัวจากการร่วมผลิตข่าวทั้งหมด โดยมีผลสิ้นเดือนนี้ (31 มี.ค. 2565) จากที่ก่อนหน้านี้เคยเซ็นสัญญาร่วมผลิตรายการข่าวกับ ททบ.5 เป็นเวลา 7 ชั่วโมงต่อวัน โดยเบื้องต้นมีอายุสัญญา 1 ปี ด้าน ผอ.ฝ่ายข่าวจึงได้เรียกผู้บริหาร ททบ.5 มาประชุมเพื่อหารือว่าจะนำเนื้อหารายการใดมาออกอากาศแทน เพราะเหลือเวลาแค่ 4 วันเท่านั้นจะถึงสิ้นเดือน

ทั้งนี้ มีบางฝ่ายวิเคราะห์ว่า กรณีดังกล่าวอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ ต้องยื่นใบลาออกตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 อย่างไรก็ตาม พล.อ.รังษี ได้ให้สัมภาษณ์สื่อแห่งหนึ่ง โดยปฏิเสธข่าวการลาออกจากตำแหน่ง หรือมีการเปลี่ยนแปลงทีมข่าว พร้อมระบุว่า การตัดสัญญาณรายการ "เที่ยง ททบ.5" กลางอากาศ เนื่องจากยังคุยกันไม่ลงตัว เพราะยังมีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทั้งที่มีคำสั่งให้งดการนำเสนอข่าวไว้ก่อน โดยมองว่า ตอนนี้ข่าวสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ในแง่ปฏิบัติการทางทหารไม่น่าสนใจแล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ จึงได้มีการหารือกันว่าจะนำเสนอข่าวในแง่ของผลกระทบจากสงครามเท่านั้น

วันต่อมา (29 มี.ค.) มีรายงานว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะประธานบอร์ดสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) ได้มีคำสั่งให้ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ พ้นจากหน้าที่ในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 โดยให้ พล.ท.วิสันติ สระศรีดา เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ทำหน้าที่แทน ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. เป็นต้นไป

ด้าน พล.อ.รังษี ให้สัมภาษณ์สื่อแห่งหนึ่งว่า คำสั่งให้พ้นหน้าที่ หรือให้ออกจากการปฏิบัติหน้าที่ตามที่มีกระแสข่าวนั้น ตนเป็นผู้ยื่นเรื่องขอพ้นหน้าที่เองด้วยเหตุผลส่วนตัว พร้อมยืนยันว่าไม่ใช่การปลดจากตำแหน่ง แต่เป็นการออกจากตำแหน่งด้วยความสมัครใจ ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า การขอพ้นจากหน้าที่ของ พล.อ.รังษี เกี่ยวข้องกับการตัดสัญญาณรายการข่าวเที่ยง ททบ.5 ซึ่งดำเนินการผลิตโดยท็ปนิวส์นั้น พล.อ.รังษี ตอบว่า ตนไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไร อยากให้สื่อมวลชนไปวิเคราะห์กันเอง ตนไม่อยากจะกวนน้ำให้ขุ่น และไม่เป็นธรรมกับบุคคลที่ถูกพาดพิง

ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ ในฐานะประธานบอร์ด ททบ.5 มีคำสั่งให้ พล.อ.รังษี พ้นจากหน้าที่ สืบเนื่องจากกรณีที่ พล.อ.รังษี ได้เข้าพบทูตรัสเซีย-ยูเครน โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 มี.ค. พล.อ.รังษี ในฐานะ ผอ.ช่อง 5 ได้เข้าหารือกับเยฟกินี โทมิคิน เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย เพื่อสร้างความร่วมมือด้านข้อมูลข่าวสารกับสำนักข่าวรัสเซีย ให้การนำเสนอข่าวเป็นไปอย่างรอบด้าน ซึ่งสถานทูตรัสเซียกล่าวย้ำว่า เคารพจุดยืนไทยในเวทีโลก พร้อมสนับสนุนด้านข้อมูลที่ถูกต้อง มีแหล่งข่าว และหลักฐานชัดเจนให้การรับรองก่อนเผยแพร่สู่สาธารณะ ต่อมา ช่อง 5 แจ้งว่า สถานทูตยูเครนประจำประเทศไทยติดต่อขอเข้าพบเพื่อหารือด้านข้อมูลข่าวสาร และช่อง 5 จะจัดงานแถลงข่าวในวันที่ 24 มี.ค. แต่สุดท้ายได้ประกาศยกเลิกการแถลงข่าวกะทันหันในคืนวันก่อนหน้า (23 มี.ค.)

วันเดียวกัน (29 มี.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีที่มีข่าวว่า ผบ.ทบ. มีคำสั่งให้ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 พ้นจากหน้าที่ สืบเนื่องจากข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยยืนยันว่า ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาภายในช่อง 5 ซึ่งรวมถึงสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง พร้อมระบุว่า การนำเสนอข่าวหรือการวิเคราะห์มากเกินไป อาจจะทำให้เกิดปัญหาในภาพรวมของประเทศได้ ดังนั้นขอให้นำเสนอข่าวตามปกติ และเป็นข้อเท็จจริง เพราะแม้จะอยู่คนละภูมิภาค แต่เป็นสมาชิกองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติและกลุ่มองค์กรต่างๆ จึงต้องระมัดระวังและไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประเทศไทย

ด้าน น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท็อปนิวส์ และอดีตผู้ดำเนินรายการเที่ยง ททบ.5 กล่าวในรายการ TOP บ่ายสาม ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท็อปนิวส์ว่า ทางทีมงานของท็อปนิวส์จะไม่ได้ทำรายการที่ช่อง 5 แล้วตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.เป็นต้นไป ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ทำหน้าที่ของเรา ตามหน้าที่ที่เราต้องทำ เราก็ทำข่าว เล่าข่าวตรงไปตรงมา เรื่องราวมันเป็นอย่างไรเราเล่าอย่างนั้น เราไม่เคยบิดเบือน

ล่าสุด (1 เม.ย.) เฟซบุ๊กเพจ TOP News ได้โพสต์ข้อความว่า ขอขอบคุณ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ที่ให้โอกาส TOP NEWS ได้ทำงานร่วมกับ ช่อง 5 ต่อไป ทั้งนี้ หลังโพสต์ข้อความดังกล่าว ได้มีกลุ่มแฟนคลับของท็อปนิวส์ เข้ามาแสดงความยินดีเป็นจำนวนมาก


กำลังโหลดความคิดเห็น