สงครามข่าวรัสเซีย-ยูเครน “เจ๊ปอง” เคลื่อนไหว หลังถูกตัดสัญญาณ ย้อนถามเจ็บ “เป็นคุณจะทำงานกับคนเหล่านี้ต่อไปมั้ย?” จับโป๊ะ “ผอ.ททบ.5” อยากเป็นกลาง อ้างข่าวผลกระทบเศรษฐกิจ สำคัญกว่าใครจะ “แพ้-ชนะ”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (29 มี.ค.) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “เจ๊ปอง” เคลื่อนไหว แจงชัดหลัง ททบ.5 ตัดสัญญาณ ย้อนถามเจ็บ เป็นคุณจะทำงานกับคนเหล่านี้ต่อไปมั้ย?
โดยระบุว่า จากกรณีที่รายการข่าว “เที่ยง ททบ.5” ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) ดำเนินรายการโดย น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก และ น.ส.กิตติมา ธารารัตนกุล พบว่า เมื่อเวลา 12.51 น. ขณะที่ น.ส.อัญชะลี กำลังนำเสนอข่าวเกี่ยวกับสงครามระหว่างรัสเซีย กับยูเครน ปรากฏว่า ถูกตัดสัญญาณเข้าโฆษณา โปรโมตรายการของทางสถานีแบบกะทันหัน ประมาณ 8 นาที ก่อนจะตัดเข้ามายังรายการปกติเวลา 12.59 น. จนกลายเป็นประเด็นที่สังคมตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น
ต่อมาเฟซบุ๊ก น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก โพสต์ข้อความระบุว่า “กราบสวัสดีค่ะ หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัยนะคะ ท็อปนิวส์ 77 บ้านเราแซ่บกว่า สบายใจกว่า”
ท่ามกลางกระแสข่าวที่รายงานด้วยว่า บริษัท กาแลคซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น แจ้งมาทางผู้อำนวยการฝ่ายข่าว ททบ.5 ว่า ขอถอนตัวจากการร่วมผลิตข่าวทั้งหมด โดยมีผลสิ้นเดือนนี้ (31 มี.ค.)
ล่าสุด นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “ถ้าคุณถูกสั่งห้ามเสนอข่าว ยูเครน กับรัสเซีย คุณจะทำงานกับคนเหล่านี้ต่อไป ไหม ?”
ส่วน นายสันติสุข มะโรงศรี พิธีกรช่องท็อปนิวส์ เปิดเผยด้วยว่า มีการระงับการเสนอข่าวรัสเซีย และต้องรอท็อปนิวส์แถลงอย่างเป็นการทางอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น จับโป๊ะ “ผอ.ททบ.5” อยากเป็นกลาง ชนวนเหตุตัดสัญญาณท็อปนิวส์? ใครใคร่กลัว (ความ) เอียง
เนื้อหาระบุว่า จากกรณีที่มีรายงานข่าวแจ้งว่า รายการข่าว “เที่ยง ททบ.5” ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) ถูกตัดสัญญาณเข้าโฆษณา โปรโมตรายการของทางสถานีแบบกะทันหัน กลายเป็นที่งุนงงแก่คนดูเป็นจำนวนมาก
และมีกระแสข่าว บริษัท กาแลคซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น ขอถอนตัวจากการร่วมผลิตข่าวทั้งหมด โดยมีผลสิ้นเดือนนี้ (31 มี.ค.) จากที่ก่อนหน้านี้ เคยเซ็นสัญญาร่วมผลิตรายการข่าวกับ ททบ.5 เป็นเวลา 7 ชั่วโมงต่อวัน โดยเบื้องต้นมีอายุสัญญา 1 ปี
ต่อมา นายสุวิพันธุ์ ภรณวลัย โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว ว่า “ท็อปนิวส์ ทำสัญญากับช่อง ททบ.5 ผูกกัน 1 ปี โดย ท็อปนิวส์ ได้เวลาในช่อง ททบ.5 ในช่วงข่าว และรายการ ประมาณ 7 ชม.ต่อวัน
เมื่อวาน ขณะท็อปนิวส์ #กำลังอ่านข่าวรัสเซีย_ยูเครน ที่ห้องส่งของตนเอง ที่บางนา-ตราด และเกี่ยวสัญญาณ กับ ททบ.5 จู่ๆ ท็อปนิวส์ โดน ททบ.5 ตัดสัญญาณ หายไป 8 นาที! คนดู ก็งง? ทำไมมีแต่โฆษณา ข่าวหายไปแบบกะทันหัน!
จนลือสะพัด! ว่า กลุ่มท็อปนิวส์ ไม่พอใจ ช่อง 5 อย่างมาก! และเตรียมจะมูฟ ออกจาก ททบ.5 ในสิ้นเดือนนี้!
คงเกี่ยวกับเรื่องการเสนอข่าวรัสเซีย-ยูเครน ที่แตกต่าง จากสื่ออื่น อย่างมีนัยยะ! และก่อนหน้านี้ ผู้บริหาร ททบ.5 ยังเตรียมจะแถลงข่าว อ้างว่าจะเป็นความร่วมมือ จากรัสเซีย จีน อิหร่าน ในการนำเสนอข่าวนี้ ที่เป็นกลาง!
และ ททบ.5 ยกเลิกการแถลงข่าวกะทันหัน จนต่อมา ทูตยูเครน เข้าพบด่วน! กับ ผอ.ททบ.ช่อง 5
จนวันนี้เกิดเหตุแบบนี้
#ช่อง5เรตติ้งก็ไม่ดีอยู่แล้ว_อยู่เกือบรั้งบ๊วย “เราทำอะไร คนก็หาว่าโง่” คือประโยคบ่น! ของพลเอก ประยุทธ์ สัปดาห์ที่แล้ว555
อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายเยฟกินี โทมิคิน เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ให้การต้อนรับ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ที่นำคณะผู้บริหาร เข้าพบปะและสนทนา หารือในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกันกับสำนักข่าวของรัสเซีย และ ททบ.5 ตามข้อเท็จจริงในทุกด้านที่จะเป็นประโยชน์ต่อการบริโภคข่าวสารของประชาชน โดยตรงรอบด้าน อย่างถูกต้อง แม่นยำ ทันสถานการณ์
โดยเฉพาะปัจจุบันที่มีการสร้างข่าวปลอม หรือเฟกนิวส์ ที่แพร่หลายในขณะนี้ โดยมีการนำมาเป็นสงครามข่าวปลอม จนนำไปสู่ความสับสนของประชาชน และยังมีผลกระทบต่อประชากรโลกในวงกว้างหากไม่มีการรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้องอย่างจริงแท้
ทีมผู้บริหาร ททบ. พร้อมให้ความร่วมมือและความเท่าเทียมกับรัสเซีย ในการเสนอข่าวตามข้อเท็จจริง นอกเหนือจากที่ทาง ททบ.5 รับข่าวสารสถานการณ์ต่างประเทศจากสำนักข่าวต่างประเทศอย่างรอยเตอร์เพียงฝ่ายเดียว โดยให้ความเท่าเทียมกับรัสเซียด้วย เพื่อให้ประชาชนคนไทยทราบข่าวที่ถูกต้องครบทุกด้าน ทั้งมิติด้านประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งจะร่วมมือกันส่งเสริมแลกเปลี่ยน นำเสนอข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวและการเกษตร ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้อย่างถูกต้อง
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2565 สถานีโทรทัศน์กองทัพบก หรือ ททบ.5 แจ้งสื่อมวลชนขอยกเลิกการแถลงข่าวของ พลเอก รังษี ที่เดิมจะชี้แจงกรณีการลงนามความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารของสำนักข่าว จาก 3 ประเทศ คือ รัสเซีย, จีน และอิหร่าน เวลา 14.00 น.
ทั้งนี้ ไม่ได้ให้เหตุผล ว่า ทำไมจึงยกเลิกการแถลงข่าวดังกล่าว แต่มีรายงานข่าวว่า พล.อ.รังษี มีกำหนดที่จะไปพบหารือกับเอกอัครราชทูตยูเครน ประจำประเทศไทย
โดยมีรายงานว่า นายโอเลกซานเดอร์ ดีซัก อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย ยืนยันว่า มีผู้บริหารระดับสูงจากสถานีโทรทัศน์ ททบ.5 ได้มาพบและหารือถึงการแลกเปลี่ยนข่าวสารกับสื่อมวลชนยูเครน ประเด็นที่ยูเครนถูกรุกราน
“เราตกลงที่จะเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความก้าวร้าวของรัสเซีย และทางช่อง 5 จะเผยแพร่ในทันที เราหวังว่า พวกเขาจะเห็นถึงจุดยืนและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยูเครน และทางช่อง 5 สัญญาว่าจะรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสงครามในยูเครน”
อย่างไรก็ตาม วันที่ 28 มี.ค. 65 พลเอก รังษี ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว ว่า การตัดสัญญาณรายการเที่ยง ททบ.5 กลางอากาศนั้น เนื่องจากยังคุยกันไม่ลงตัว เพราะยังมีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทั้งที่มีคำสั่งให้งดการนำเสนอข่าวไว้ก่อน
โดยมองว่า ตอนนี้ข่าวสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ในแง่ปฏิบัติการทางทหารไม่น่าสนใจแล้ว ไม่ได้สนใจว่าใครจะแพ้หรือชนะ แต่สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ จึงได้มีการหารือกันว่าจะนำเสนอข่าวในแง่ของผลกระทบจากสงครามเท่านั้น
เมื่อถามว่า คำสั่งให้ ททบ.5 งดการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนนั้น เป็นคำสั่งจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หรือไม่ พล.อ.รังษี เลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ ระบุว่า “เอาเป็นว่าเราได้รับทราบว่ามีข้อห่วงใยว่าเรื่องนี้มันละเอียดอ่อน จึงได้งดการนำเสนอข่าวไปก่อน คนเรานั้น คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ แล้วพอเราล้ม ก็มีคนคอยเหยียบซ้ำ เรื่องธรรมดา แต่เราต้องทำหน้าที่ของเราต่อไปให้ดีที่สุด”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ททบ.5 เสมือนยืนอยู่ระหว่างเขาควายที่มีการสู้รบกันของ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ที่สำคัญ รัสเซีย-ยูเครน ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกัน และเรียกร้องการนำเสนอข่าวที่เท่าเทียม เป็นกลาง ของ ททบ.5
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น คนที่รู้ดีที่สุดว่า ใครผิดใครถูก ก็คือ ททบ.5 กับ “ท็อปนิวส์” นั่นเอง
และถ้าเป็นเรื่อง นโยบายกับจุดยืนของการนำเสนอข่าวขัดแย้งกัน ดีที่สุดก็คือ ทำให้กระจ่างต่อสายตาประชาชน ว่า เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นมาอย่างไร คนจะได้ไม่คลางแคลงใจอีกต่อไป
หาไม่ ความเสียหายและผลกระทบที่เกิดขึ้น อาจไม่หยุดอยู่แค่ความขัดแย้งระหว่างนโยบายกับการนำเสนอข่าว หากแต่อาจขยายไปสู่วงกว้างที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอีกมากมาย รวมทั้งความขัดแย้งทางการเมืองด้วย
เหนืออื่นใด งานนี้คนที่สะใจที่สุด ก็เห็นจะเป็นฝ่าย “สามนิ้ว” เพราะพวกเขาเฝ้าจับตามองและจ้องโจมตี ททบ.5 อยู่แล้ว ที่นำ “ท็อปนิวส์” เข้ามาผลิตข่าวและนำเสนอข่าว เพราะเชื่อว่าจะต้องเอียงข้างทางการเมือง และคนที่ช่วยตอกย้ำว่าสิ่งที่พวกเขาคิดเป็นจริง ก็คือ ผู้บริหาร ททบ.5 นั่นเอง ใช่ใครอื่นเลย หรือไม่จริง