1.“กระติก” ร่วมพิธีอาลัย เขียนข้อความถึง “แตงโม” เสียใจดูแลไม่ดีพอ ด้าน “แม่” ขออายัดศพเพื่อพิสูจน์ซ้ำ!
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ซึ่งเป็นวันแรกที่ได้มีการจัดพิธีไว้อาลัย "แตงโม" นิดา พัชรวีระพงษ์ ดารานักแสดงชื่อดัง ที่คริสตจักรเสรีภาพกรุงเทพ ปรากฏว่า งานได้ถูกเนรมิตขึ้นอย่างสวยงามดุจสรวงสวรรค์ เพื่อส่งแตงโมกลับสู่อ้อมกอดของพระเจ้า ท่ามกลางเพื่อนดาราและบุคคลจากหลายวงการมาร่วมงาน
เป็นที่น่าสังเกตว่า “กระติก" อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ ผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ผู้ที่อยู่บนเรือสปีดโบ๊ทวันเกิดเหตุ ได้เดินทางมาร่วมงานด้วยพร้อมช่อดอกไม้และกระดาษเขียนข้อความว่า "โม...กูคิดถึงมึงนะ คิดถึงมากๆ ด้วย ...เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ที่เราเป็นเพื่อนกัน และอยู่ด้วยกันมา ...กูดีใจนะที่กูอยู่ในทุกช่วงชีวิตของมึง และมึงก็ได้อยู่ในทุกช่วงชีวิตของกูเช่นกัน ...กับมึงมันคือมากกว่าเพื่อน มันคือครอบครัว ...กูเสียใจที่กูดูแลมึงได้ไม่ดีพอ"
ทั้งนี้ กระติกเดินทางมาร่วมงานเพียงไม่นานก็เดินทางกลับ ขณะที่อีก 3 คนที่อยู่บนเรือสปีดโบ๊ทก็เดินทางร่วมงานเช่นกัน คือ นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือปอ นายไพบูลย์ ตรีกาญจนานันท์ หรือโรเบิร์ต และนายนิทัศน์ กีรติสุทธิสาธร หรือจ๊อบ เมื่อเดินทางมาถึง ทั้งสามคนได้มีการเดินเข้าไปพบนางภนิดา และนายดายศ แม่ และพี่ชายของแตงโมด้วย ด้าน "แซน" น.ส.วิศาพัช มโนมัยรัตน์ ซึ่งอยู่บนเรือสปีดโบ๊ทเช่นกัน เดินทางมาร่วมงานในวันนี้ (12 มี.ค.)
สำหรับกระติก ได้โพสต์อินสตาแกรมถึงแตงโมอีกครั้งหลังเดินทางกลับจากพิธีไว้อาลัยว่า "โม กูคิดถึงมึงนะ คิดถึงมากๆ ด้วย ขอบคุณพระเจ้านำพาเรามาพบกัน เป็นเวลาเกือบ 20 ปีที่เราเป็นเพื่อนกันอยู่ด้วยกันมา สนุกด้วยกัน ทุกข์ไปด้วยกัน ผ่านอะไรกันมาเยอะมากๆ กูดีใจนะที่กูได้อยู่ในทุกช่วงชีวิตของมึง และมึงก็ได้อยู่ในทุกช่วงชีวิตของกูเช่นกัน แบ่งปัน น้ำตา รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ กูกับมึงมันมากกว่าเพื่อน มันคือครอบครัว ความทรงจำเหล่านี้มันมีค่ามากๆ
วันนี้มึงไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในดินแดนสวรรค์ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของมึงจะอยู่ในใจกูเสมอ กูเสียใจที่กูดูแลมึงได้ไม่ดีพอ กูอยากให้มึงได้เห็นมากๆ เลยนะว่าทุกคนเค้ารักและคิดถึงมึงกันมากขนาดไหน แต่มึงคงรับรู้ได้แหละเนอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องอีสเตอร์นะ กูจะดูแลนางอย่างดีที่สุด จะดุนางให้น้อยลงตามที่มี้โมบอก ลูกสาวฝากบอกนะว่า “ขอให้มี้มีความสุข หลับให้สบายนะคะ” หลับให้สบายนะโม มึงสู้มามากแล้ว กู & อีสเตอร์ รักมึงมากนะ"
ด้าน "โม” อมีนา พินิจ นักแสดงมากฝีมือ รุ่นน้องคนสนิทของแตงโม เผยว่า "เบิร์ด" แฟนของแตงโมได้นำแหวนแต่งงานมามอบให้ "แตงโม" ในพิธีไว้อาลัยด้วย "พี่โมเคยบอกพี่เบิร์ดว่าอยากได้แหวน แล้วพี่เบิร์ดมีเพื่อนทำจิวเวอรี่ พี่เบิร์ดเลยแอบสั่งทำให้ แล้ววันนี้ร้านเอามาให้โม แต่โมบอกให้เอาให้พี่เบิร์ดเอง พี่เบิร์ดเลยเอามาวางไว้ให้ที่หน้าลูกโป่งที่พี่เบิร์ดทำให้พี่โม แล้วบอกว่า เธอ…เราให้นะ แต่งงานกันนะ ก็มีวงเดียวค่ะ โมเลยแนะนำว่า เสร็จจากงานให้เอารูปพี่โมตั้งแล้วเอาแหวนวางไว้หน้ารูป แต่พี่เบิร์ดเขาตั้งใจจะเอาไปใส่ให้เอง เดี๋ยววันไปรับร่างก็จะให้เจ้าหน้าที่เป็นคนใส่แหวนให้พี่โม คิดว่าอย่างงั้นนะคะ หรือไม่ก็พี่เบิร์ดอาจจะเก็บไว้ที่บ้าน แต่ความตั้งใจเขาคืออยากเอาไปใส่ให้พี่โมด้วยตัวเอง เพราะพี่เบิร์ดรักพี่โมมากจริงๆ นะ เขารักพี่โมมาตั้งกี่ปี เพิ่งจะได้มาคบกัน 2 ปีเอง"
ล่าสุด (12 มี.ค.) นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน มารดาของแตงโม ได้ให้ทนายความ นายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย ไปแจ้งตำรวจขออายัดศพแตงโม เพื่อส่งตรวจอีกครั้งที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เพราะครอบครัวยังคาใจร่องรอยบาดแผลที่ปรากฎบนร่างกายแตงโต และข้อสงสัยเกี่ยวกับการเสียชีวิต
โดยการอายัดศพครั้งนี้จะทำให้กำหนดการประกอบพิธีฌาปนกิจศพแตงโมในวันที่ 14 มี.ค.นี้ ต้องเลื่อนออกไปก่อน
2.หลายฝ่ายเชื่อ “แตงโม” ถูกฆาตกรรม หลังดูคลิปเหตุการณ์ทำร้ายที่หน้าเรือ ด้าน “ไทด์” คาใจ ศพแตงโมฟันหัก-ตาปิดบวมช้ำ 1 ข้าง!
ขณะที่ตำรวจยังให้น้ำหนักคดี "แตงโม" นิดา พัชรวีระพงษ์ ดารานักแสดงชื่อดัง ตกจากเรือสปีดโบ๊ทว่าเกิดจากความประมาทของคนขับเรือและเจ้าของเรือ คือ นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือปอ นายไพบูลย์ ตรีกาญจนานันท์ หรือโรเบิร์ต ซึ่งค้านสายตาของหลายภาคส่วนในสังคมที่มองว่า คดีนี้น่าจะเป็นการฆาตกรรมมากกว่าอุบัติเหตุ เพราะหลายข้อสงสัยไม่ได้รับการไขให้กระจ่าง
ล่าสุด ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความชื่อดัง ได้โพสต์คลิปวิดีโอบนเฟซบุ๊ก "ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ" เมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมระบุข้อความว่า "หลักฐานสำคัญชิ้นใหม่ ช่วยกันพิจารณาหน่อยครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเรือลำนี้ #แตงโมต้องไม่ตายฟรี" (https://www.facebook.com/396732480397137/videos/659225472070075)
ซึ่งมีผู้เข้ามาดูคลิปดังกล่าวกว่า 2.7 ล้านครั้ง และแชร์ต่อจำนวนมาก และคนดูส่วนใหญ่ต่างเห็นเช่นเดียวกันว่า มีการทำร้ายกันที่บริเวณหน้าเรือ ทำให้หลายฝ่ายคาดว่า คลิปนี้อาจเป็นเหตุการณ์ก่อนที่แตงโมจะตกเรือ แม้จะมีบางคนอ้างว่า นี่เป็นคลิปหลังจากแตงโมตกเรือแล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น คนบนเรือต้องมี 5 คน แต่ในคลิปชัดเจนว่า คนบนเรือมี 6 คน
โดยคลิปดังกล่าว ได้มีผู้เชี่ยวชาญหลายเพจ เช่น เพจ โปรดิวเซอร์ ยุง ได้โพสต์คลิปดังกล่าวเพื่อซูมภาพและวิเคราะห์เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ความยาว 7 นาทีกว่า (https://web.facebook.com/produceryoong/videos/690473965720737) ซึ่งมีคนชมคลิปนี้แล้ว 3.2 ล้านครั้ง โดยเพจดังกล่าวใส่แคปชั่นว่า "จับตาดูให้ดี นี่อาจจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ผมกับทีมงานในบ้านช่วยกันวิเคราะห์คลิปที่มีการทำร้ายกันหน้าเรือ โปรดใช้วิจารณญานในการรับชมครับ เพราะนี่เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลครับ"
โดยเพจดังกล่าวได้ทำการซูมภาพและทำให้ภาพเคลื่อนไหวช้าลง เพื่อนับจำนวนคนบนเรือ ปรากฏว่า นับได้ 6 คน พร้อมวิเคราะห์จากภาพว่า มีการทำร้ายกันบนเรือ โดยในคลิปดังกล่าว จะเห็นผู้ชายยืนท้ายเรือ 1 คน ถัดมาข้างหน้า เป็นผู้หญิงนั่งอยู่ 1 คน ถัดจากผู้หญิงดังกล่าว เป็นผู้ชายขับเรือ ด้านหน้าผู้ชายขับเรือ มีผู้หญิงนั่งอยู่ 1 คน ส่วนหน้าสุดของเรือมีผู้ชายกับผู้หญิง ซึ่งตามคลิป จะเห็นว่า คนหนึ่งมีการเงื้อมมือที่มีบางสิ่งบางอย่างในมือฟาดไปที่หัวของอีกคน และคนที่ถูกฟาดเอามือจับหัว ก่อนจะมีการยื้อยุดจนล้มลงกับพื้น และดูเหมือนพยายามทำบางสิ่งบางอย่างกับอีกฝ่าย
ทั้งนี้ หลังประชาชนได้ดูคลิปเหตุการณ์ที่เหมือนการทำร้ายกันที่หน้าเรือดังกล่าว หลายคนที่ได้เห็นศพแตงโมในวันที่พบศพ ต่างอดสงสัยไม่ได้ว่า แตงโมถูกทำร้ายก่อนตกเรือหรือไม่ เพราะสภาพศพที่ประชาชนได้ทราบจากทางตำรวจตั้งแต่แรกๆ บอกเพียงว่า มีแผลบาดเป็นทางยาวที่ต้นขาเท่านั้น ซึ่งล่าสุด (10 มี.ค.) ไทด์ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ซึ่งนำทีมกู้ภัยค้นหาแตงโมวันเกิดเหตุ ได้ออกมาเผยสภาพศพแตงโมที่ไม่เหมือนคนจมน้ำปกติว่า "วันนั้นไม่ได้พูด เพราะให้เกียรติทางพิสูจน์หลักฐานที่ให้เขาถ่ายอะไรต่างๆ บาดแผลบนใบหน้า แต่ไม่ได้พูดเรื่องใบหน้า ในเชิงนิติวิทยาศาสตาร์ เขาก็คงว่าใบหน้าน้องเกิดโดนกระทำอะไรบ้าง
คือวันนั้นได้เห็นหน้าน้อง แล้วก็มีความรู้สึกว่าธรรมชาติของศพที่จมน้ำลงไป สมมติเอาประมาณเกือบๆ 2 วันที่ขึ้นมาตอนนั้นที่พลิกหน้าน้องให้เขาถ่ายรูป มีตาข้างนึงน่าจะเป็นข้างซ้ายที่ถลนออกมา ข้างขวาปิดบวมช้ำ ช้ำเลือดช้ำหนอง ช้ำเลย ไม่ปูดออกมา แต่โดยปกติธรรมดาโดยที่ไม่โดนอะไรตี ของแข็งกระแทกใบหน้า ตา 2 ข้างจะเท่ากัน ปูดออมาเท่ากันทั้ง 2 ข้าง อีกอย่างคือฟันของน้อง ตอนที่อยู่ในรถตู้ด้วยกัน ผมนั่งอยู่ทางด้านขา น้องอีกคนอยู่ทางหัว แล้วเจ้าหน้าที่จะเอาเนื้อเยื่อในกระพุ้งแก้มหา DNA แล้วน้องก็บีบปากน้อง แล้วก็เห็นฟันหักด้วย ฟันหลอเลย ประมาณนั้น แต่ไม่ได้พูดเพราะคิดว่าในกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์ผ่าพิสูจน์น่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ในวันนี้ยังไม่ได้ยินหรือเห็นคำพูดนั้นออกมาเลย เลยขอพูด"
เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากอดีตตำรวจบางคน เช่น นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ที่เชื่อว่า คดีแตงโมเป็นคดีฆาตกรรม และตนเองมีหลักฐานแล้ว แม้แต่อดีตผู้พิพากษาบางคน ก็ได้ออกมายืนยันว่า คดีนี้เป็นคดีฆาตกรรมแน่นอน โดยเมื่อวันที่ 9 มี.ค. นายชนบท ศุภศรี อดีตผู้พิพากษา ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก "กฎหมายชนบท" ถึงการเสียชีวิตของแตงโมว่า "อายุผม 73 ปีแล้ว จะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้ แต่อยากสร้างความดีไว้บ้าง เมื่อดูคลิปแล้ว ไม่ใช่อุบัติเหตุแน่นอน แต่เป็นคดีฆาตกรรม และในคลิปมีผู้รู้เห็นเหตุการณ์ถึง 3 คน ยังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือครับ (กูละเชื่อ) เอา 4 กฎ 6 หลัก มาจับ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าใคร "โกหก" สวรรค์มีตาครับ น้องแตงโมต้องไม่ตายฟรี"
ทั้งนี้ วันต่อมา (10 มี.ค.) เพจของอดีตผู้พิพากษาดังกล่าว ยังได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติมอีกว่า "ถ้าอนุญาตให้ผมช่วย ผมมีทนายอาสาระดับพระกาฬอีก 10 คน ครับคุณแม่"
3. “ศรีสุวรรณ”ยื่น ป.ป.ช.เอาผิด ส.ส.เพื่อไทย บินไปกินข้าวกับ “ทักษิณ” ที่สิงคโปร์ ด้าน “ชลน่าน” รีบปัดไม่เกี่ยวกับพรรค!
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. มีรายงานจากพรรคเพื่อไทย ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาจำคุก 5 ปี คดีทุจริตจำนำข้าว เดินทางมาพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปีที่ประเทศสิงคโปร์ว่า นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางมาถึงประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีแกนนำ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางจากประเทศไทยไปพบ แต่ไม่คึกคักเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากติดมาตรการการเดินทางในช่วงโควิด ที่ต้องใช้เอกสาร และเวลาเตรียมการค่อนข้างนาน
โดยในส่วนของกลุ่ม ส.ส. ที่ไปพบและร่วมรับประทานอาหารกับนายทักษิณ มีประมาณ 6-7 คนในพื้นที่ภาคอีสาน นำโดย นายเกรียง กัลป์ตินันท์ แกนนำภาคอีสาน, นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี และประธาน ส.ส.ภาคอีสาน และนางสมหญิง บัวบุตร ส.ส.อำนาจเจริญ เป็นต้น
2 วันต่อมา (11 มี.ค.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ไต่สวน และมีความเห็นกรณี ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่ง เดินทางไปพบนายทักษิณ ซึ่งถือเป็นผู้ต้องหาหรือนักโทษหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ ที่ประเทศสิงคโปร์ ถือว่าจงใจฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่
นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังมีชี้มูลความผิดอีก 2 เรื่อง คือ กรณีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ล็อตสอง 8 สัญญา, กรณีกล่าวหาการอนุมัติสั่งซื้อเครื่องบินแบบ A 340-500 และ A340-600 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ระหว่างปี 2545-2547 ทำให้การบินไทยมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น จึงถือว่านายทักษิณ เป็นผู้ต้องหาหรือนักโทษหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ จึงชอบที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องรีบนำตัวมาลงโทษตามกฎหมายบ้านเมืองโดยเร็ว
นายศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า การที่ ส.ส ซึ่งถือเป็นตัวแทนด้านนิติบัญญัติ เดินทางไปพบปะหรือคบค้าสมาคมด้วยนั้น อาจถือได้ว่า ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ เนื่องจากคบหาสมาคมกับผู้ประพฤติผิดกฎหมาย ผู้มีอิทธิพล หรือผู้มีความประพฤติ หรือผู้มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย อาจกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน และก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่งได้ จึงขอให้ ป.ป.ช. ไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิด ส.ส.ทั้งหมดที่เดินทางไปพบปะนายทักษิณ ตามครรลองของกฎหมาย
วันเดียวกัน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีมีภาพ ส.ส. ของพรรคเดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร ที่ประเทศสิงคโปร์ จนเป็นที่วิพากวิจารณ์ว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย เป็นเรื่องส่วนบุคคล แม้จะเป็น ส.ส. ของพรรค แต่หากใครไปพบคนลักษณะดังกล่าว คนๆ นั้นก็ต้องรับผิดชอบ ถ้ามีใครไปร้องเรียนก็ต้องร้อง ส.ส. คนที่ไปพบ ไม่เกี่ยวกับพรรค
ส่วนการที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย รวมทั้งนายสนธิญา สวัสดี ได้ไปร้องต่อ ป.ป.ช.ให้เอาผิดฐานฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงนั้น มองว่าเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และขอไม่ให้ความเห็น
ล่าสุด (12 มี.ค.) นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคราม พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งร่วมรับประทานอาหารกับนายทักษิณ ที่สิงคโปร์ จนมีการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ว่า ตนไม่ได้ไปเดินทางไป เพราะติดภารกิจที่ประเทศไทย ส่วนใครเดินทางไปเป็นเรื่องส่วนตัวที่มีความรักความผูกพัน ไปเยี่ยมนายทักษิณ พร้อมยืนยัน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย ไม่มีเหตุให้ต้องยุบพรรค และพรรคไม่กังวลในเรื่องนี้ เพราะอธิบายได้ชัดเจนอยู่แล้ว
4. ศาล พิพากษาจำคุก 8 จนท. คดี 2 นรต.โดดร่มไม่กาง คนละ 4 ปี ไม่รอลงอาญา ด้านพ่อผู้เสียชีวิต ลั่นสู้มา 8 ปี ต้องไม่มีใครตายอีก!
เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 จ.สมุทรสงคราม ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 7 โจทก์ และนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ นายสาธร พุทธชัยยงค์ บิดาของนักเรียนนายร้อยตำรวจชยากร พุทธชัยยงค์ หรือ โยโย่ เป็นโจทก์ร่วม ฟ้องร้อยเอกกณพ อยู่สุข จำเลยที่ 1 กับพวก รวม 9 ราย เป็นจำเลย ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 157, 291, 300 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 3, 11
จากกรณีที่มีการฝึกหลักสูตรพลร่มนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน รุ่นที่ 69 ที่ค่ายนเรศวร จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 31 มี.ค.57 แล้วเกิดอุบัติเหตุร่มไม่กาง ส่งผลให้ นรต.ชยากร พุทธชัยยงค์ หรือ โยโย่ และ นรต.ณัฐวุฒิ ติรสุวรรณสุข หรือ ฟิว เสียชีวิต
สำหรับจำเลยทั้ง 9 คน ประกอบด้วย ร้อยเอกกณพ อยู่สุข จำเลยที่ 1 นายสมชาย อำภา จำเลยที่ 2 จ่าเอก กีรดิต สุริโย จำเลยที่ 3 นายรัชเดช เถาว์เพ็ง จำเลยที่ 4 นายวัชรพงษ์ วงษ์สุวรรณ จำเลยที่ 5 พ.ต.อ.อโนทัย ศาสตร์สง่า จำเลยที่ 6 พ.ต.อ.ประพงษ์ ภูฮง จำเลยที่ 7 ร.ต.อ.พิพัฒน์ เยาวเรศ จำเลยที่ 8 และนายสุพร ธนบดี จำเลยที่ 9
ทั้งนี้ ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 พิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 มีความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 (เดิม) 300 (เดิม) เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 4 ปี ไม่รอลงอาญา และยกฟ้องจำเลยที่ 1 ร้อยเอกกณพ อยู่สุข เนื่องจากศาลเห็นว่า ไม่มีหน้าที่กำกับดูแล ควบคุมการติดตั้งและไม่ได้อยู่ในขณะติดตั้ง จึงไม่มีความผิด
หลังฟังคำพิพากษา นายสาธร พุทธชัยยงค์ บิดาน้องโยโย่ เผยความรู้สึกว่า "ผลของคำพิพากษาวันนี้ จากที่ผมต่อสู้มาเป็นเวลา 8 ปี พบเจออุปสรรคมากมาย วันนี้หลังจากที่ได้ฟังคำพิพากษา ทำให้ผมเห็นแสงสว่างในกระบวนการยุติธรรม และท้ายที่สุด ผมขอยกความดีความชอบให้ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ที่ท่านได้ช่วยเข้ามาทำคดีนี้ และทำด้วยหัวใจของคนเป็นพ่ออย่างแท้จริง"
นายสาธร กล่าวอีกว่า ตนมีลูกชายคนเดียวคือ น้องโยโย่ และเลี้ยงดูอย่างดี ที่ผ่านมาต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส การที่ตนดำเนินคดีครั้งนี้ เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้หน่วยงานต่างๆ ต้องระมัดระวังในความปลอดภัย จะต้องไม่มีใครเสียชีวิตเป็นรายต่อไป และว่า หลังจากนี้ หากจำเลยขออุทธรณ์ ตนก็จำเป็นต้องอุทธรณ์ด้วย
5. อัยการส่งฟ้อง "ช่อ พรรณิการ์" ต่อศาลอาญา คดีผิด พ.ร.บ.คอมฯ โพสต์โยงสถาบัน ทำ ปชช.ไม่สบายใจ!
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ที่สำนักงานอัยการ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ได้เดินทางพร้อมทนายความ คือ นายกฤษฎางค์ นุตจรัส เข้าพบอัยการที่นัดส่งฟ้องต่อศาลอาญาในคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากกรณีโพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อปลายปี 2556-ต้นปี 2557 โดยอัยการเห็นว่า เนื้อหาในโพสต์ สร้างความไม่สบายใจและตื่นตระหนกให้แก่ประชาชน ส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ เนื่องจากเกี่ยวโยงกับสถาบันกษัตริย์
ทั้งนี้ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวหลังได้ประกันตัวว่า คดีนี้แม้มีการแจ้งข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่จากคำฟ้องของอัยการระบุชัดว่า ได้ตีความว่าการโพสต์เฟซบุ๊กของตนสร้างความไม่สบายใจและตื่นตระหนกให้แก่ประชาชน เนื่องจากเกี่ยวโยงกับสถาบันกษัตริย์
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวด้วยว่า “ในความเป็นจริง ทั้งสองโพสต์เกิดขึ้นในช่วง กปปส. โพสต์หนึ่งเป็นการยกเอาเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยามาทั้งท่อน ซึ่งเพลงยาวนี้เผยแพร่ทั่วไป มีแม้แต่ในหนังสือเรียน อีกโพสต์เป็นการวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ ว่าใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทำลายล้างศัตรูทางการเมือง ซึ่งขณะนั้นแกนนำพรรคหลายคนออกมาเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
จึงเป็นเรื่องประหลาดมากที่ทั้งสองโพสต์ถูกหาว่าส ร้างความตื่นตระหนกและเป็นภัยต่อความมั่นคง เพียงเพราะมีคำว่า พระมหากษัตริย์ อยู่ในโพสต์ แถมยังเป็นโพสต์เก่าเกือบ 10 ปีมาแล้ว นี่เป็นการสะท้อนว่าการนำสถาบันมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างกันทางการเมืองยังคงมีอยู่ และเพดานเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในสังคมไทยกำลังถูกกระบวนการยุติธรรมกดให้ต่ำลงอย่างน่าตกใจ”
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวอีกว่า คดีของตนเองเป็นเพียงหนึ่งในกว่า 100 คดีที่สะท้อนปัญหาการนำกฎหมายมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง และคนที่โดนไม่ได้มีแต่นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล แต่ยังรวมถึงประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนคนหนุ่มสาว ซึ่งในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา มีผู้ถูกดำเนินคดี มาตรา 112 จากการเคลื่อนไหวทางการเมืองแล้วกว่า 173 คน และคดี 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อีกจำนวนมาก
ด้านนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความของ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า วันนี้อัยการยื่นฟ้องต่อศาล ด้านศาลรับคำฟ้องเอาไว้ โดย น.ส.พรรณิการ์ ในฐานะจำเลยได้ขอยื่นประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์ในวงเงิน 30,000 บาท ซึ่งศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยศาลนัดสอบคำให้การเเละตรวจพยานหลักฐานประชุมคดีสืบพยาน โจทก์ จำเลย ในวันที่ 25 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น.