1.“เนตร นาคสุข” เมินมัวหมองสั่งไม่ฟ้อง “บอส วรยุทธ”-ถูกสอบวินัยร้ายแรง สมัครเป็น ป.ป.ช.!
จากกรณีที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 1 คน ตามมาตรา 9, 10 และ 11 แห่ง พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 โดยเปิดรับสมัคระหว่างวันที่ 31 ม.ค.-21 ก.พ.2565
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งเป็นวันที่สี่ของการเปิดรับสมัคร ได้มีผู้มาสมัครเป็นคนแรกและคนเดียวในรอบ 3 วัน คือ นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด อายุ 67 ปี
สำหรับนายเนตร มีผลงานอื้อฉาวที่ถูกกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางก่อนหน้านี้ 2 กรณี กรณีแรก นายเนตรสั่งไม่ฟ้อง “บอส" วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง คดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ซึ่งนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดีดังกล่าว ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีสั่งไม่ฟ้องคดี "บอส วรยุทธ"
ต่อมานายเนตร ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการต่ออัยการสูงสุด อ้างว่าเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการสั่งสำนวนคดีบอส วรยุทธ ท่ามกลางกระแสสังคมที่มองว่า ต้องการลาออกเพื่อหนีความผิด ต่อมา 21 ก.ย. 2564 คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่อัยการสูงสุดตั้ง ได้ชงความเห็นต่อที่ประชุมคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ว่า นายเนตรมีความผิดวินัยไม่ร้ายแรง เพราะไม่พบการทุจริต แต่เป็นความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ อาจพิจารณางดบำเหน็จหรือไม่เลื่อนขั้นเป็นระยะเวลา 2 ปี และไม่เสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นอัยการอาวุโส
หลังจากนั้นที่ประชุม ก.อ. เสียงข้างมาก 9 ต่อ 2 เห็นควรสอบวินัยร้ายแรงนายเนตร เนื่องจากขาดความรอบคอบ ประมาทเลินเล่ออย่างค่อนข้างร้ายแรง จึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงนายเนตรเมื่อวันที่ 18 ต.ค.2564 ซึ่งความผิดวินัยร้ายแรงมีโทษสูงสุดทางราชการ คือการไล่ออก
ต่อมา 19 ม.ค. 2565 คณะกรรมการได้รวบรวมข้อมูลการสอบเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ก.อ. แต่ที่ประชุมได้เลื่อนการลงมติ พร้อมขยายกรอบการวินิจฉัยออกไปอีก 1 เดือน โดยที่ประชุม ก.อ.จะพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งในวันที่ 15 ก.พ.นี้
นอกจากคดีสั่งไม่ฟ้องบอส วรยุทธ แล้ว ก่อนหน้านี้ นายเนตร ขณะเป็นรองอัยการสูงสุด ยังถูกกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตัดตอนคดีที่อัยการฟ้องนายนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร ข้อหาร่วมกันฟอกเงินทุจริตปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย 10 ล้านบาทอีกด้วย เพราะหลังจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษายกฟ้องนายพานทองแท้ ปรากฏว่า นายเนตร ได้ใช้อำนาจขณะรักษาราชการแทนนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุดที่ไปราชการ เซ็นคำสั่งชี้ขาดไม่อุทธรณ์คดีดังกล่าว ทั้งที่ในทางปฏิบัติ ยังมีเวลาที่จะอุทธรณ์คดีได้อีก 1 เดือน และนายเนตรควรรอให้อัยการสูงสุด กลับจากราชการมาเป็นผู้ชี้ขาดคดีด้วยตนเอง ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า นายเนตรใช้อำนาจอะไรในการชี้ขาด และมีเหตุผลอะไรในการไม่อุทธรณ์คดี ทำให้คดีนายพานทองแท้ไม่ถึงมือศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา!!
ท่ามกลางความมัวหมองทั้ง 2 คดี ปรากฏว่า นายเนตร ได้ไปสมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา ส่งผลให้กระแสสังคมตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของนายเนตรในการสมัครดังกล่าว เพราะหนึ่งในคุณสมบัติของผู้สมัคร ควรจะมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
ขณะที่นายเนตร ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงเหตุผลที่สมัครเป็น ป.ป.ช.ว่า เพราะต้องการพิสูจน์ความรู้ ความสามารถที่ตัวเองมีอยู่ และจะทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมืองต่อไป นายเนตรยังอ้างด้วยว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ถูกสอบวินัยร้ายแรง จากการสั่งไม่ฟ้องคดีบอส วรยุทธ
ด้านนายเชาว์ มีขวด ทนายความอาสา และอดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก (4 ก.พ.) ถึงกรณีที่นายเนตรสมัครเป็น ป.ป.ช.ว่า "สะท้อนว่า ความละอายกำลังหายไปจากสังคมไทย ...เรามาถึงจุดที่คนถูกกล่าวหาว่าทำผิด คบคิดขบวนการค้าสำนวน ที่อยู่ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง และการสอบสวนของ ป.ป.ช.ทั้งทางวินัยและอาญา กลับอาสาตัวมาทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบ ในฐานะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องตลกร้ายแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นในสังคมอารยะ แต่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทย"
นายเชาว์ ระบุอีกว่า "ถามว่าในทางปฏิบัติ นายเนตร ลงสมัครได้หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะตามมาตรา 10 (4) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 บัญญัติคุณสมบัติไว้ว่า จะต้องเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ แต่กรณีของนายเนตร สิ่งที่เป็นที่ประจักษ์ของสังคม คงไม่ใช่เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตตามที่กฎหมายกำหนดไว้"
“ทางที่ดี ผมอยากให้นายเนตรได้ไตร่ตรองดูอีกสักครั้ง ถอนตัวไปดีกว่าจะตะแบง ท้าทายสังคมไทยไปเพื่ออะไร ผมไม่เข้าใจจริงๆ และทางคณะกรรมการอัยการ ก็ควรเร่งสรุปผลสอบวินัยร้ายแรงได้แล้ว ว่า ได้ผลเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับ ป.ป.ช.ที่ต้องเร่งมือทำความจริงให้กระจ่าง อย่าปล่อยให้คาราคาซังอยู่ อย่างนี้ เพราะเรื่องนี้นับแต่คณะกรรมการชุดอาจารย์วิชา มหาคุณ สรุปผลสอบ ก็ผ่านมาจะครบสองปีในเดือนสิงหาคมนี้แล้ว สิ่งที่ผมห่วงมากที่สุด คือ จริยธรรมที่เริ่มถดถอย ความละอายที่กำลังค่อยๆ หายไปจากสังคม จะเป็นจุดเริ่มต้นของความล่มสลายทางจริยธรรม”
2.ศาล รธน. มีมติเอกฉันท์ คำสั่งยึดทรัพย์ "ธาริต เพ็งดิษฐ์ และภรรยา" 341 ล้านตกเป็นของแผ่นดิน ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ!
จากกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ เนื่องจากมีพฤติกรรมให้ผู้อื่นถือทรัพย์สินแทนกว่า 340 ล้านบาท และ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. มาตรา 81 กำหนดให้อัยการสูงสุด หรือประธานป.ป.ช. ดำเนินการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 80 ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับเรื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช และภาระการพิสูจน์ทรัพย์สินให้เป็นหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหาที่ต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าทรัพย์สินดังกล่าวมิได้เกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ
หลังศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติของนายธาริต และนางวรรษมล ภรรยา จำนวน 49 รายการ รวมมูลค่า 341,797,811.58 บาท พร้อมดอกผลของทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน นายธาริตและนางวรรษมล ภรรยา ได้ร้องคัดค้าน โดยอ้างว่า คำสั่งยึดทรัพย์เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และเห็นว่า การตรากฎหมายจะมีผลต่อการจำกัดสิทธิเสรีภาพ หรือเป็นการเพิ่มภาระ และจำกัดสิทธิเกินกว่าเหตุไม่ได้ อีกทั้งบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน และไม่เลือกปฏิบัติ
ต่อมา ศาลอุทธรณ์ได้ส่งคำโต้แย้งของนายธาริตและนางวรรษมลให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มาตรา 212 ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 81 วรรคสอง ที่ระบุว่า การที่ขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินภายใน 90 วันหลังจากรับเรื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในคดีร่ำรวยผิดปกติ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 25, 26, 27 หรือไม่
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมปรึกษาคดีนี้เมื่อวันที่ 12 ม.ค. และเห็นว่า คดีเป็นปัญหากฎหมาย และมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวน ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง และนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติเรื่องนี้ในวันที่ 2 ก.พ. เวลา 09.30 น.
ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยว่า พ.ร.ป ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 81 วรรคสองที่บัญญัติว่า ในคดีที่ร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินให้ผู้ถูกกล่าวหามีภาระการพิสูจน์ที่ต้องแสดงให้ศาลเห็นว่า ทรัพย์สินดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 27 วรรคหนึ่ง และวรรคสามแต่อย่างใด
3. พท.สบช่องชนะเลือกตั้งซ่อม จี้ “บิ๊กตู่” ยุบสภา ด้าน “บิ๊กตู่” ยันยังไม่คิด มุ่งทำงานเพื่อประเทศ-ปชช.!
สถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 31 ม.ค. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วยแกนนำพรรค ได้ขึ้นรถแห่ขอบคุณประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 9 (เขตหลักสี่และจตุจักร) หลังนายสุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัครของพรรคชนะการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นพ.ชลน่าน ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ว่า สะท้อนการทำหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่สามารถนำพาพี่น้องออกจากวิกฤตได้เลย ซ้ำยังตอกย้ำวิกฤตอีก ทำให้พี่น้องประชาชนหมดหวัง ไร้อนาคต ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือ การคืนอำนาจให้ประชาชน ให้ประชาชนตัดสินเลือกว่า เขาจะให้ใครมาทำหน้าที่ดูแลประเทศชาติ และคุณภาพชีวิตของพวกเขา ขอฝาก พล.อ.ประยุทธ์ พิจารณาด้วย เพราะการยุบสภาไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นทางออก และทางเลือกในทางประชาธิปไตย
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า “หาก พล.อ.ประยุทธ์ยุบสภา ผมจะไปกราบขอบคุณท่านเป็นคนแรก อย่างน้อยท่านก็มีจิตใจที่รักบ้านเมือง รักพี่น้องประชาชน รักลูกหลาน หรือหากไม่ยุบสภา แต่ท่านบอกว่าจะไม่อยู่เกิน 8 ปี ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 23 ส.ค.2565 เท่านั้น ก็ไม่ใช่การเสียหน้า ท่านควรได้หน้าด้วยซ้ำไป ควรคิดเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง อย่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่อำนาจ อย่าเห็นแก่ประโยชน์ของพวกพ้อง สามารถทำได้ ถ้าเป็นฟากฝั่งของประชาธิปไตยจะพูดว่า นี่คืออาณัติสัญญาณของฝั่งประชาธิปไตย วิถีของประชาธิปไตยพูดอย่างนี้ แต่คงเอาบรรทัดฐานนี้ไปใช้กับผู้ที่ยึดอำนาจหรือสืบทอดอำนาจคงยากหน่อย ฝากท่านคิดเพื่อชาติบ้านเมือง ที่ผ่านมา 7 ปีท่านน่าจะได้เรียนรู้ ยุบสภาจะเป็นการลงจากอำนาจสวยที่สุด”
นพ.ชลน่าน ยังฝากถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งนางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ผู้สมัคร พปชร. ได้คะแนนจากการเลือกตั้งซ่อมมาเป็นลำดับ 4 ด้วยว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมา สะท้อนความคิดเห็นของประชาชนที่ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่ไม่มีแนวทางประชาธิปไตย และว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นเพียงจุดเล็ก หากพรรค พปชร.พิจารณาและปรับตัวให้ถูกต้อง อาจจะอยู่ได้ แต่ถ้ายังคงดื้อดึงต่อไป อาจจะกลายเป็นพรรคที่มี ส.ส.ต่ำกว่า 50 คนในอนาคตได้
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวระหว่างประชุม ครม.เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ว่า ทุกอย่างจบไปแล้ว ถือเป็นการตัดสินใจของประชาชน ขอร้องว่าอย่าใช้โอกาสนี้สร้างความแตกแยก ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลตั้งใจและช่วยกันทำงานต่อไป เพื่อประชาชนและประเทศ
ขณะที่นายจักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.กทม.ในฐานะประธานภาค กทม.พรรค พปชร.กล่าวถึงผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 ที่ พปชร.พ่ายให้กับผู้สมัครพรรคเพื่อไทยว่า พื้นที่ กทม.มีความอ่อนไหว บางครั้งตัดสินใจกันในช่วงโค้งสุดท้าย แต่ยังเชื่อมั่นว่า พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ ยังขายได้ การเข้ามาบริหารประเทศจะมีทั้งเรื่องบวกและลบ ยังเชื่อว่าประชาชนชาว กทม.จะยังคงสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ อยู่
ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พปชร.กล่าวถึงผลเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 ว่า เรียบร้อยดี ไม่มีอะไร เพราะการเลือกตั้งซ่อมดังกล่าวเป็นเพียง 1 เขต ใน 400 เขตเลือกตั้ง และว่า จากนี้พรรคจะต้องทำงานในการดูแลประชาชนหนักขึ้น และทำทุกอย่างเพื่อประเทศ การเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้าต้องรออีกปีกว่า ยังมีเวลาที่รัฐบาลจะได้ทำงาน เชื่อมั่นว่าจะไม่มีการยุบสภา และจะอยู่จนครบวาระ และจะมีการเลือกตั้งใหญ่เดือน มี.ค.2566 และมั่นใจว่า การเลือกตั้งครั้งใหญ่ครั้งหน้า พรรคมีความสามารถเข้าไปอยู่ในใจของประชาชนได้อย่างแน่นอน
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงแนวโน้มการยุบสภาว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไร สิ่งสำคัญที่สุดวันนี้ รัฐบาลต้องการทำงานให้ได้ไปก่อน การเมืองต้องไปว่าทางการเมืองต่อไป
เมื่อถามว่า การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 และการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา พรรค พปชร.พ่ายแพ้มาตลอด เพราะกระแสความนิยมรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นขาลง และปัญหาการเมืองภายในพรรค พปชร.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต่อไปประเทศไทยมี 400 เขตใช่หรือไม่ จะแพ้เขตสองเขตเป็นเรื่องของการแพ้ชนะ ว่ากันตามความนิยมของประชาชน ที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นเพราะกระแสความนิยมรัฐบาลและชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในช่วงขาลง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ขาลงหรือขาขึ้น ตนขึ้นลงบันไดทั้งวันนั่นแหละ ขึ้นอยู่กับการทำงานมากกว่า การเมืองคือการเมือง เรื่องพรรค พปชร.ก็ให้กำลังใจกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ตอนนี้นายกฯ มีไม้เด็ดอะไรในมือบ้างหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มีกระดาษนี่ไง ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ชูกระดาษในมือขึ้น ก่อนกล่าวว่า ไม่มีอะไรหรอก มีแต่ความมั่นใจ มีความตั้งใจจริงและทำเพื่อประชาชนประเทศชาติ และไม่มีความกังวลอะไร
เมื่อถามว่า ยังสู้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ หันมาถามผู้สื่อข่าวว่า “วันนี้วันอะไร” ผู้สื่อข่าวตอบว่า วันทหารผ่านศึก พล.อ.ประยุทธ์ จึงชูกำปั้นขวาขึ้น พร้อมบอกว่า ทหารผ่านศึก ก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า
4. “ติ๋ม ทีวีพูล” แตกหัก “สมปอง” แฉยับ “ทะเยอทะยาน-อยากรวยเร็ว-ติดหนี้ 10 ล้านเพราะซื้อที่” ด้าน “สมปอง” ยัน ไม่ใช่คนหิวเงิน!
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. นางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย หรือติ๋ม ทีวีพูล ผู้ก่อตั้งนิตยสารทีวีพูล แถลงข่าวกรณีที่นายสมปอง นครไธสง หรืออดีตพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ประกาศถอนตัวจากรายการ 3 รายการ ทั้งที่นายสมปองติดสัญญากับทีวีพูลกรุ๊ป 2 ปี ว่า เริ่มแรกนายสมปองติดต่อเข้ามาหาตนโดยที่ไม่ได้เรียกเข้ามาเอง ตนเห็นว่าเคยทำกุศลมา 30 ปี พูดธรรมะแล้วสนุก มีคนติดตาม ตอนแรกไม่ได้หวังว่าจะให้มาช่วยอะไร แต่เนื่องจากบ้านร้างมานาน และตนได้เดินสายธรรมะหลังผ่านวิกฤตทีวีดิจิทัลมานานกว่า 6 ปี เลยให้มาอยู่บ้านหลังนี้ คิดว่าจะได้เดินสายธรรมะร่วมกัน
นางพันธุ์ทิพา ยอมรับว่า ที่ผ่านมามีอดีตเพื่อนร่วมงานหลายคนเป็นห่วง กลัวว่าจะถูกหลอก แต่ก็บอกว่าไม่เป็นไร โดยได้รีโนเวทบ้านไป 7 แสนบาท นายสมปองบอกว่าไม่มีเสื้อผ้า ก็จัดหาเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้กว่า 1 แสนบาท ตนรู้สึกเสียใจ ทำไมถึงเกิดเรื่องราวแบบนี้ เชื่อว่าสิ่งที่เขาไม่พอใจมากก็คือ เขามีความทะเยอทะยาน อยากจะรวยเร็วๆ แต่ตนได้กล่าวว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะจะปลูกต้นไม้ต้องเริ่มจากเมล็ด นอกจากเป็นเงินสีเทา เงินหลอกลวง คนทำธุรกิจจะรู้ว่าต้องค่อยๆ เติบโต แต่เขาอาจจะมีคนถวายตลอดเวลาเลยไม่เข้าใจตรงนี้
“ปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือ นายสมปองมีหนี้สิน 10.9 ล้านบาท อยากจะไปทำสวนยางพาราให้ครอบครัว เพราะครอบครัวได้เงินจากเขามาตลอด และมีค่าใช้จ่ายเดือนละนับแสนบาท ตนตกใจว่าเป็นพระทำไมมีหนี้สินนับสิบล้านบาท เขาก็คิดดีอยากกตัญญูต่อครอบครัว จึงไล่ซื้อที่ดิน ส.ป.ก. กว่า 300 ไร่ ทั้งที่การปลูกยางพาราไม่ใช่เรื่องง่าย กระทั่งทำไม่ได้ พยายามขายที่ดิน ขายเท่าไหร่ยังขายไม่ได้ ตอนที่ซื้อที่ดินใช้เงินนอกระบบ ซึ่งมีดอกเบี้ยตามมา เดือนละ 3 แสนบาท ซึ่งหนักมาก บอกกับตนว่าเป็นลูกศิษย์ของเจ้าคุณอลงกต วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ซึ่งตนเคารพนับถือ จึงสงสารให้ลูกศิษย์คนสนิทปิดหนี้ให้ และผ่อนส่งกับลูกศิษย์ ปรากฏว่าส่งบ้างไม่ส่งบ้าง”
นางพันธุ์ทิพากล่าวด้วยว่า จุดแตกหักกับนายสมปองคือเรื่องเงิน ที่ผ่านมาเขาอยากได้อะไรก็ให้คำแนะนำ แต่เขาไม่อยากฟัง เหมือนเด็กคนหนึ่งที่ออกมา ทุกอย่างตนอโหสิ ไม่เสียใจ นายสมปองให้คนขนของออกจากบ้านโดยไม่บอกกล่าวและไม่ลาด้วย ยืนยันว่าไม่ได้ทะเลาะกัน แต่รู้ว่านายสมปองอยากจะรวย ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับเงินสีเทา ตนบอกว่าให้ระวัง ไม่รู้ว่าทำไมอยากรวยมากเลย เขาจะดิ้นไปเรื่อยๆ
นางพันธุ์ทิพา กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาพยายามช่วยนายสมปอง ให้สามารถหาเงินไปเคลียร์หนี้ 10.09 ล้านบาทได้ นายกันต์พงษ์ ศกุณต์ไชย ลูกชายคนเล็ก จึงเสนอทำรายการโทรทัศน์ให้นายสมปอง 3 รายการ ด้วยค่าตัวที่แพงกว่าดาราทั่วไป เซ็นสัญญา 2 ปีเพื่อให้มีรายได้มั่นคง วางแผนให้เหมือนกับลูก ให้นำเงินตัวนี้ไปจ่ายหนี้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก หลวงพ่ออลงกตก็เมตตา ให้นำเงิน 1 ล้านบาทจ่ายล่วงหน้า ซึ่งตนก็จ่ายไปแล้ว แต่นายสมปองก็ไม่เข้าใจ
นางพันธุ์ทิพา ยืนยันด้วยว่า ทีวีพูลไม่กระทบ แต่ลูกชายกระทบเพราะต้องปรับเปลี่ยนรายการใหม่หมด ส่วนเรื่องสัญญา 2 ปี และเงินที่จ่าย 1 ล้านบาทต้องให้ฝ่ายกฎหมายดูความเสียหาย ตนไม่อยากให้ฟ้องร้อง แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องฟ้องร้องเพื่อให้เป็นกรณีศึกษาแก่คนทั่วไปว่าทำแบบนี้ไม่ได้
"ตนไม่ต้องการสิ่งของคืน รักแล้วรักเลย ตอนนี้ขออโหสิดีกว่า ไม่ต้องมาเจอกัน ต่างคนต่างจากไป อวยพรให้เขาโชคดี ความฝันของเขาอยากเป็นนักร้องลูกทุ่งที่โด่งดัง ตนสร้างเขาให้เป็นนักพูดธรรมะที่ยิ่งใหญ่ แต่เขาไม่ต้องการ ก็เป็นทางเลือกของเขา ซึ่งถ้าคิดไม่ตรงกันก็คุยกันยาก เขามองเรื่องเงินเรื่องใหญ่ แต่ตนมองภาพลักษณ์เป็นเรื่องใหญ่เพราะหากินได้นาน"
นางพันธ์ทิพา ยังฝากถึงนายสมปองด้วยว่า เรื่องไวน์ แอลกอฮอล์ อย่าดื่มหนัก เพราะเสียสุขภาพ และทำลายเสียง เรื่องผู้หญิง คนเป็นพระมา 30 ปีอยากให้เกียรติผู้หญิง เขาชอบกอดผู้หญิงคนโน้นคนนี้ ซึ่งผู้หญิงบางคนเขาถือจะเป็นข่าวใหญ่
ด้านนายสมปอง ได้ออกมาไลฟ์สดชี้แจงหลังนางพันธุ์ทิพาแถลง โดยยืนยันว่า การเข้าไปอยู่ที่บ้านของนางพันธุ์ทิพา ไม่ได้เป็นฝ่ายขอไป "เป็นการมีน้ำจิตน้ำใจ เขาเสนอมา เราก็ได้ครับ ผมอาจจะมีวาสนาได้อยู่แค่เดือนเดียว ก็ขอบคุณมากๆ ครับ”
ส่วนเรื่องหนี้สิน นายสมปอง ย้ำว่า ตนทำงานใช้หนี้ อีกฝ่ายไม่ได้มาใช้หนี้ให้ตน “ทำไมถึงเน้นเรื่องของเงินเหลือเกิน ก็แน่นอนผมก็ต้องหาเงินเพื่อเอาไปใช้หนี้ ผมจะได้เงินก็ต่อเมื่อทำงาน ทำประโยชน์ให้เขาก่อนแล้วได้เงินมา"
"ส่วนเรื่องคบเพื่อน คบคน ผมขออนุญาตตัดสินใจและไตร่ตรองเองว่าจะคบใครอย่างไร ผมจะคบคนดี มีน้ำใจ รักผม หวังดีกับผมอย่างแน่นอนครับ ...เรื่องที่ผมซีเรียสและจริงจัง เรื่องคบคนสีเทา ทำธุรกิจสีเทา ผมไม่มีปัญหา ใครจะไปทำตรงนั้นแล้วแต่เลย แต่ผมไม่สูบบุหรี่ อาจจะมีการแซวเรื่องตู้ไวน์ พี่เขายังให้ผมชิม แล้วบอกว่าไวน์มันเป็นเครื่องดื่มคนชั้นสูง ผมยังสวนไปเลยว่าอร่อยตรงไหน แล้วคนจนดื่มไม่ได้เหรอครับ ก็ขำๆ กัน รู้สึกเป็นน้ำผลไม้ด้วยซ้ำ ผมไม่กินเหล้า ไม่เจ้าชู้ ผมก็ปฎิบัติตามที่ลูกเพจบอกผม"
นายสมปองยืนยันด้วยว่า ไม่ใช่คนหิวเงิน “ผมชอบทำงานครับ งานคือชีวิตของผม มีงานอะไรผมเต็มที่ครับ ที่ผมทำงานหนักไม่ใช่เพราะผมหิวเงิน ผมทำงาน ผมทำประโยชน์ให้ก่อน ให้เหมาะสมกับความเหนื่อยของผม แล้วผมก็เอาไปใช้หนี้ หรือใช้จ่ายกับทีมงานผม ผมไม่ได้ทิ้งใครเลยตั้งแต่ผมออกมา”
ส่วนประเด็นมีหนี้สินเพราะไปซื้อที่ดินให้ครอบครัวปลูกสวนยางนั้น นายสมปอง กล่าวว่า ไม่มีอะไรเป็นของตน และไม่ใช่เรื่องผิด หากจะตั้งเป้าหมายชีวิต 3 เดือนมีเงิน 100 ล้านบาท “พ่อแม่พี่ๆ คนบ้านนอกบ้านนา ก็เป็นที่ดินธรรมดา มันไม่มีอะไรที่เป็นของผมอยู่แล้ว ผมก็เป็นพระ อีกเรื่องมันก็ไม่ใช่ความผิดนะกับการอยากได้เงินเยอะๆ 3 เดือน 100 ล้าน มันไม่ใช่ว่าต้องได้ 100 ล้านจริงๆ เป็นแรงผลักดันของคนๆ นั้น ไม่ใช่ว่าคนที่ตั้งเป้าอย่างนี้แล้วเขาจะเป็นคนไม่ดี”
นายสมปอง กล่าวด้วยว่า “ผมมีความสุขในการทำงาน ไม่ใช่ว่าผมไปทำแล้วไม่มีความสุข เพียงแค่มันตะหงิดใจอะไรบางอย่างว่าเราทำเต็มที่ไหม เหมาะไหม ผมก็ยังเป็นสมปองคนเดิม เพิ่มเติมคือตั้งใจทำงานให้มากขึ้น อยู่บนพื้นฐานคุณธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรสีเทา และยาเสพติด ผมร่วมงานได้ถ้าท่านยังให้โอกาสผม”
5. “วัฒนา เมืองสุข” แถลงปิดคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร ย้ำ ไม่เคยเรียกรับเงิน ยัน ไม่หนีคดี พร้อมไปฟังคำพิพากษา 4 มี.ค.แน่นอน!
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดแถลงปิดคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และพวกรวม 14 ราย เป็นจำเลยในความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 และ 11
ทั้งนี้ นายวัฒนา จำเลย แถลงปิดคดีโดยอ้างว่า คดีบ้านเอื้ออาทรเป็นการฟ้องเกินกว่าข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ศาลไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทำความผิดอย่างไร และว่า ข้อเท็จจริงหลายเรื่องไม่เป็นความจริง เช่น การสั่งจ่ายเช็ค โดยอ้างว่านำไปให้ผู้ใหญ่ เพื่อตอบแทนการอนุมัติให้เซ็นสัญญา ไม่ได้เกิดขึ้นสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรี และนางชดช้อย พงศ์ไพโรจน์ ผู้ประกอบการบริษัทเอกชน ยืนยันการจ่ายเช็ค 40 ล้านบาท ให้นายอริสมันต์ หรือ กี้ร์ พงษ์เรืองรอง เป็นการจ่ายค่านายหน้าที่ดิน ไม่ใช่ค่าอนุมัติโครงการ ประกอบกับ ปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงินตนไม่พบความผิดปกติ
นอกจากนี้ นายวัฒนา ยังชี้ว่า พยานบุคคลที่ให้การในชั้น คตส. เป็นบุคคลที่ถูกกันไว้เป็นพยาน ถือเป็นพยานที่ถูกจูงใจ ซึ่งกฎหมายห้ามอ้างพยานเหล่านี้ และต่อมา พยานเหล่านี้ก็กลับคำให้การในชั้นศาล และไม่เกี่ยวข้องกับนายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร นักธุรกิจค้าข้าวรายใหญ่ ที่อ้างเป็นที่ปรึกษาของตน
นายวัฒนา กล่าวด้วยว่า ความผิดในคดีนี้เป็นความผิดตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ซึ่งผู้เป็นตัวการกระทำผิดตามมาตรา 5 ต้องเป็นพนักงาน การอนุมัติเป็นคู่สัญญากับบริษัท จึงไม่ใช่อำนาจของรัฐมนตรี แต่เป็นอำนาจของกรรมการ เมื่อกรรมการอนุมัติแลัว เป็นหน้าที่ผู้ว่าการการเคหะฯ จะต้องปฏิบัติตาม ยืนยันว่า ตนไม่เคยเข้าไปแทรกแซงการทำหน้าที่ของการเคหะแห่งชาติ
หลังนายวัฒนาแถลงปิดคดีเสร็จ องค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ กำชับคู่ความไม่ให้เผยแพร่ข้อความในสำนวนในสื่อทุกประเภท ยกเว้นได้รับอนุญาตจากศาล พร้อมนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 4 มี.ค. เวลา 14.00 น.
ซึ่งต่อมา นายวัฒนา ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า วันนี้ได้นำความจริงมาแถลงต่อศาล รวมถึงพยานเอกสารกว่า 20,000 แผ่น ที่ศาลอาจจะยังอ่านไม่ละเอียด เช่น เอกสารที่อ้างว่านำเช็คมาให้ตน ข้อเท็จจริงเป็นค่านายหน้าที่ดินที่ให้กับจำเลยที่ 10 ซึ่งตนชี้ให้ศาลเห็นว่า หลักฐานนี้ฟังไม่ขึ้น และที่กล่าวหาว่าตนนัดประชุมผู้ประกอบการ แล้วเรียกรับเงินกลางที่ประชุมนั้น คงไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้น ยืนยันว่า สมัยที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไม่ได้ทำอะไรที่เกิดความเสียหายกับโครงการ และไม่เคยเรียกรับเงินจากใคร ตนชี้แจงต่อศาลว่า กระบวนการไต่สวนไม่ถูกต้อง พยานหลักฐานเกิดจากความจูงใจ กฎหมายห้ามรับฟัง
นายวัฒนา ยังกล่าวด้วยว่า เป็นครั้งแรกที่ได้รับโอกาสให้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ และรู้สึกสบายใจขึ้น หมดความกังวล ตนทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว นอกจากนี้ ยังได้แถลงข้อเท็จจริงไปจนครบถ้วนแล้ว เชื่อว่า ดุลพินิจของศาลจะเปลี่ยนไป และว่า ตนถูกดำเนินคดี 12 คดี ยกฟ้องไปแล้ว 11 คดี เหลือคดีนี้เป็นคดีสุดท้าย ยืนยันว่า จะเดินทางมาฟังคำพิพากษาในวันที่ 4 มี.ค. ไม่คิดหลบหนีแน่นอน