“อ.ทวีสุข” เตือนรับมือระบบโลกโจมตีไทย ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจ-การเมือง แต่จะเปลี่ยนโครงสร้างประเทศ ด้วยการล้มสถาบันกษัตริย์เพื่อการควบคุมได้ง่ายขึ้น ชี้ การปั่นหัวคนในประเทศให้ฆ่ากันเองเป็นสงครามที่ถูกที่สุด
วันที่ 12 ม.ค. 2564 อ.ทวีสุข ธรรมศักดิ์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง “นิวส์วัน” ในหัวข้อ “เตรียมรับมือระบบโลกโจมตี ศก.ไทย ?”
โดย อ.ทวีสุข กล่าวว่า ความเสี่ยงสูงสุด คือ เราประเมินวิกฤตรอบนี้ต่ำกว่าความเป็นจริง คิดว่าสถานการณ์โควิดจะดีขึ้น จึงควักทุนที่เหลือออกมา คนตัวเล็กสภาพคล่องสู้ไม่ไหว ล้มหายตายจากชั่วข้ามคืน
ความเสี่ยงที่สอง คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย เราคงยื้ออัตราดอกเบี้ยแท้จริงในตลาดไม่ได้ ถึงแม้ว่าธนาคารกลางพยายามยื้อ มันเกิดจากสองแบบ คือว่ามิสเตอร์มาร์เก็ตไปก่อนแล้ว เราจะเห็นจากบอนด์ยีลด์ของทั่วโลก แม้กระทั่งไทยก็ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว และเกิดจากคุณภาพของบริษัทและประเทศนั้นๆ ที่ทำให้เครดิตเรตติงถูกลดลง แล้วต้นทุนทางการเงินเกิดขึ้นจากเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด จะทำให้เกิดปัญหาเงินสดตึงตัว (Cash Crunch)
สิ่งสำคัญเฟดต้องทำให้ระบบ Credit System ของตัวเองไม่ล้มละลายลง เขาถึงต้องรักษาตลาดหุ้น รักษาธนาคาร ต้องส่งสัญญาณว่าตอนนี้ระบบเศรษฐกิจอเมริกาดี ซึ่งหนี้ 80 ล้านล้าน เศรษฐกิจโตยังไงก็ไม่พอจ่ายดอกเบี้ย
อ.ทวีสุข กล่าวอีกว่า รอบนี้อเมริกาจะผ่านได้บนต้นทุนความเสียหายของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะเห็นว่าเกิดซอฟต์ เพาเวอร์ อย่างการโจมตีตุรกี ประเทศที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามตัวเอง มีการโจมตีค่าเงิน เราจะเห็นการรุกของ Global Politics ค่อนข้างสูง และตามด้วย Global Economy เมื่อพิมพ์เงินได้ เขาต้องเอาเงินที่มีอยู่ไปใส่ให้กับธนาคารกลางทั่วโลก และปล่อยการกู้ยืมผ่านธนาคารใหญ่ๆ ตรงนี้ส่วนหนึ่งว่าหากเกิดวิกฤตในการทรุดของระบบพร้อมกันลงมา เขาจะมีบทบาทอย่างยิ่งที่จะเข้าไปประคอง
กรณีตุรกี ฝากแบงก์ชาติศึกษามุมลึกเร่งด่วน ก่อนหน้านั้น ปี 2001ตุรกีมีเงินทุนสำรองอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญ กระทั่ง 2014 สูงถึง 1.2 แสนล้านเหรียญ จากนั้นได้รับคำเตือนจากปูตินว่าจะเกิดการปฏิวัติ ประธานาธิบดีตุรกีได้จับฝ่ายตรงข้ามหลายหมื่นคน และปิดฐานทัพอเมริกาที่มาตั้งฐานในตุรกี หลังจากนั้น ตุรกีเจอทุนไหลออก จาก 1.2 แสนล้านเหรียญ ลงมาเหลือแค่ 4 หมื่นล้านเหรียญ เลยมีเหตุผลว่าเงินเฟ้อตุรกีพุ่ง 20-30 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ตุรกีต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปที่ 24 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เงินไหลเข้ามาขึ้นไปที่ 7 หมื่นล้านเหรียญ แต่ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาก็ร่วงลงอีกแล้ว
กรณีคาซัคสถานก็เช่นกัน อยู่ติดจีนและอินเดียและมีน้ำมันสูงมาก แล้ววิธีทำสงครามที่ถูกที่สุด คือ ไปปั่นหัวคนในประเทศและให้ฆ่ากันเอง
สิ่งที่ต้องระวังคือ การเกิดสงครามกลางเมืองที่จะกระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่ล้อมรอบจีน เราจะเห็นโมเดลพม่า คาซัคสถาน ตุรกี เป็นเรื่องเดียวกันหมดเลย และความฮอตของมันเริ่มมาอยู่ในแถบสุวรรณภูมิในปีนี้ด้วย
ส่วนไทย Global Politics เข้ามาเล่นงานประเทศไทยประมาณปีครึ่งที่ผ่านมา ถ้ามองไม่ออกคงไร้เดียงสา ตัวละครที่ออกมา คือ กลุ่มเดียวกันหมดเลย Global Economy ก็มีกลุ่มนึงที่เคยทำเรื่องเกี่ยวกับการทุบตลาดหุ้น อย่างต้นปี 2020 เคยปล่อยข่าวลือตลาดบอนด์เพื่อให้เกิดแพนิก แต่ประเทศรอด ต้องขอบคุณผู้ว่าวิรไท ที่กล้าตัดสินใจทำสิ่งที่แบงก์ชาติไม่เคยทำมาก่อน คือ ออกกฎหมายให้แบงก์ชาติซื้อตราสารหนี้เอกชนขนาดใหญ่ จึงทำให้ผ่านไปได้
อ.ทวีสุข กล่าวว่า อยากให้จับตามองการโจมตีของศัตรูภายนอกที่เกิดจากศัตรูภายใน เพราะหลักการเหมือน Global Politics เลย คือ ปั่นหัวให้คนในประเทศเกลียดกันและฆ่ากันเอง เพื่อที่จะปูไปสู่ความขัดแย้งที่ใหญ่กว่าในอนาคต แต่โชคดีของประเทศไทย ที่ใช้คนคุณสมบัติไม่ถึงมันเลยไม่แรงพอ
เราจะเห็นว่า ความคาดหวังใหม่มาทำงานไม่ได้ผล ก็ไปขุดของเก่ามาทำ ตรงนี้เป็นการปะทะกันของฝั่งการเมืองจะให้ประเทศทรุด การโจมตีจากศัตรูภายในโดยการประสานงานจากศัตรูภายนอก
อ.ทวีสุข กล่าวด้วยว่า ต้องระวัง เราภาคภูมิใจมากที่มีเงินทุนสำรองที่สูง สิ่งสำคัญคือถ้าเกิดเงินทุนไหลออกฉับพลัน จะรับมืออย่างไร สิ่งที่ควรทำไม่ใช่มีไอเอ็มเอฟที่เดียว เรามีธนาคารกลางโลก เอไอไอบี ซึ่งจีนหนุนอยู่ เขาพยายามมาคุยกับรัฐบาลหลายรอบ แต่ยังไม่ค่อยได้คุย หากทุนไหลออกให้ระดมเงินกู้มาแทนเงินทุนสำรองที่ไหลออกไป เพื่อที่จะแก้วิกฤตในประเทศให้ได้ก่อน
เขาไม่ใช่แค่โจมตีการเมืองและเศรษฐกิจ แต่เขาต้องการเปลี่ยนโครงสร้างประเทศ วันนี้ก็เห็นได้ชัด เขาต้องการให้ประเทศไม่มีสถาบันกษัตริย์ เพื่อควบคุมได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ชัดเจนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ฝั่งเศรษฐกิจก็อย่าประมาท ตอนนี้รัฐบาลสร้างหนี้จนเกินเพดานแล้ว เรามีหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน สภาพคล่องในระบบเริ่มหาย เอ็นพีแอลปีนี้ซุกเต็มที่ให้ผ่านวิกฤตไปก่อน ตราสารหนี้จะมีผลต่อเอ็นพีแอล ทำให้เกิดการล้มของระบบธนาคาร ตรงนี้ไม่เลวร้ายถ้าไม่มีศัตรูภายในคอยปล่อยข่าว แต่ตอนนี้คุมยากในโซเชียลฯ ต้องบริหารวิกฤตตรงนี้ให้ได้ เรากำลังเผชิญศึกใหญ่ไม่ใช่แค่โจมตีเศรษฐกิจ แต่จะเปลี่ยนโครงสร้างประเทศ