xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 26 ก.ย.-2 ต.ค.2564

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.สะพัด "บิ๊กป้อม" ยันกลางวง พปชร. เสนอชื่อ "บิ๊กตู่" เป็นนายกฯ สมัยหน้า ย้ำ "ลุงตู่อยู่กับเรา จนตายจากกันไปข้าง"!

ความเคลื่อนไหวทางการเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 26 ก.ย. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ได้แถลงถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ประกาศเตรียมเลือกตั้ง ส.ส.ต้นปี 2565 ว่า “ทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ เดินสายถี่ยิบในช่วงนี้ จึงอยากให้จับตาดูพรรคการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเห็นได้ชัดว่า พรรค พปชร.เป็นของ พล.อ.ประวิตร และกลุ่มกบฏที่เหนียวแน่น และไม่มีทีท่าสมานฉันท์กับ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าลุงตู่จะเล่นการเมืองต่อ ซึ่งเล่นแน่ ไม่หยุดหรอก ก็ต้องเป็นพรรคลุงฉิ่ง (นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย) อยากให้จับตาดูว่า ลุงตู่กับลุงป๊อก (พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) จะเป็นสัญญาณของพรรคลุงฉิ่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่บอกว่า รักกันมาก ดีกันมากระหว่าง 3 ป. ผมไม่เชื่อ”

หลังนายยุทธพงศ์เปิดประเด็นพรรคใหม่ของนายฉัตรชัย พร้อมอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ จะไปอยู่พรรคใหม่กับนายฉัตรชัย ปรากฏว่า 3 วันต่อมา (29 ก.ย.) พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และผู้ร่วมก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ออกมาเผยเมื่อวันที่ 29 ก.ย.ว่า ตนเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรค พปชร.คนสุดท้ายที่ประกาศชัดเจนแบบลูกทุ่งว่า จะไม่อยู่กับพรรค พปชร.และได้พูดคุยกับผู้บริหารการเลือกตั้งปี 2562 ในส่วนของภาคใต้ในเรื่องนี้ เบื้องต้นประมาณ 9 คน ที่จะไปร่วมงานด้วยกันในพรรคใหม่กับปลัดฉิ่ง หรือนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย หลังเกษียณอายุราชการในเดือน ก.ย.นี้ โดยผู้ที่จะไปร่วมงานกัน ได้แก่ นายทวี สุระบาล อดีต ส.ส.ตรัง อดีตนายก อบจ.พัทลุง ส่วนบางคนเป็น ส.ว. และมีตำแหน่งทางการเมือง ยังไม่ขอเปิดเผย และว่า พรรคใหม่ที่จะไปสังกัดนั้นเป็นไปตามที่มีข่าวที่มีนายฉัตรชัยเป็นผู้ดำเนินการด้านธุรการให้เกิดขึ้น คาดว่าจะมีความชัดเจนในเดือน ต.ค.นี้ ส่วนชื่อพรรคใหม่เบื้องต้น คือ เศรษฐกิจไทย แต่ยังไม่ทราบชัดเจนว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

พ.อ.สุชาติ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ส.ส.พปชร.สามารถเอาชนะในพื้นที่ภาคใต้ได้ถึง 13 คน มาจาก 2 สาเหตุ คือ กระแสของ พล.อ.ประยุทธ์ และเกิดจากการบริหารจัดการเลือกตั้งที่ดูกระความต้องการในพื้นที่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับนายกฯ ในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 หรือไม่ พ.อ.สุชาติ กล่าวว่า เคยคุยกันเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยตนระบุว่า จะไม่ขออยู่กับ พปชร.แล้ว และได้รับคำตอบกลับมาว่า ถ้าไม่อยู่ ก็หาพรรคใหม่สังกัด

พ.อ.สุชาติ กล่าวด้วยว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์อยู่พรรคไหน พรรคนั้นไปได้ คนส่วนใหญ่ยังเคารพนายกฯ และยังมีแฟนคลับที่คอยสนับสนุนอยู่ ขณะเดียวกันตนมองว่า การเลือกตั้งคราวหน้าของ พปชร.ก็เป็นเรื่องยากเช่นเดียวกัน และเวลานี้คนมองที่ตัวของนายกฯ ไม่ใช่ที่พรรค

อย่างไรก็ตาม วันต่อมา (30 ก.ย.) ส.ส.ภาคใต้ของพรรค พปชร.หลายคน ได้ออกมายืนยันว่า ไม่เคยได้รับการชักชวนจาก พ.อ.สุชาติ ให้ไปอยู่พรรคใหม่ โดยนายรงค์ บุญสวย ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค พปชร. ยืนยันว่า วันนี้ยังมีความสุขดีกับพรรค พปชร.กับ พล.อ.ประวิตร กับ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมเชื่อมั่นว่า ในอนาคต พรรค พปชร.จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อ

ด้านนายสายัณห์ ยุติธรรม ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค พปชร. ยืนยันเช่นกันว่า ตอนนี้ยังมั่นคงกับพรรค พปชร.และนายกฯ ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกปีครึ่งจึงครบวาระ และว่า ถ้าครั้งต่อไป พรรคยืนยันเสนอ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ และ พล.อ.ประยุทธ์ ยินยอม ตนก็อยู่กับพรรคนี้ไม่ไปไหน ถ้าพรรคไม่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ไปเสนอคนอื่น ก็พร้อมไปกับ พล.อ.ประยุทธ์ และว่า ส.ส.ภาคใต้ของพรรค คิดไปแนวทางนี้หมด เพราะบารมี พล.อ.ประยุทธ์ทำให้ได้เป็น ส.ส. ตอนนี้ประชาชนภาคใต้ยังนิยม พล.อ.ประยุทธ์อยู่

เป็นที่น่าสังเกตว่า ส.ส.พรรค พปชร.หลายคนต่างไม่พอใจกรณีที่ พ.อ.สุชาติ ออกมาพูดถึงการจะทิ้งพรรค พปชร.ไปอยู่พรรคใหม่กับนายฉัตรชัย โดยจะมี ส.ส.ภาคใต้ไปด้วยหลายคน โดยนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรค พปชร. เผยว่า ได้พูดคุยกับ ส.ส.ภาคใต้ทั้ง 13 คน ทุกคนปฏิเสธการกล่าวอ้างของ พ.อ.สุชาติ พร้อมชี้ว่า การพูดของ พ.อ.สุชาติเป็นการสร้างราคาสร้างเครดิตให้ตัวเอง หวังตำแหน่งอะไรด้วยหรือไม่ และว่า การพูดของ พ.อ.สุชาติ จงใจให้เกิดแรงกระเพื่อมใต้น้ำ ทำให้พรรคและ ส.ส.ที่ถูกอ้างเสียหาย ขอให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดี อย่าให้เด็กเมื่อวานซืนต้องออกมาถอนหงอก และหยุดพฤติกรรมเช่นนี้ได้แล้ว

มีรายงานว่า วันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร ได้เรียกประชุมแกนนำพรรค พปชร.ที่เป็นหัวหน้าภาคทั้ง 9 ภาค เพื่อหารือถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นและวางกลยุทธ์รับเลือกตั้งใหญ่ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ โดยมีแกนนำอย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค เข้าร่วมด้วย โดยมีรายงานว่า ช่วงหนึ่งที่ประชุมได้หารือถึงบุคคลที่พรรคจะเสนอชื่อเป็นนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พรรคจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ในนามพรรค พปชร. ซึ่งที่ประชุมเห็นตรงกัน ยืนยันสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ และสนับสนุน พล.อ.ประวิตรเป็นหัวหน้าพรรคเช่นเดิม พล.อ.ประวิตร จึงกล่าวย้ำกลางที่ประชุมว่า “ผมยังเป็นหัวหน้าพรรค ส่วนนายกฯ เป็น พล.อ.ประยุทธ์ ลุงตู่อยู่กับเรา จะไปไหน ต้องตายจากกันไปข้างหนึ่ง ไปไหนกันไม่ได้ ไม่มีแตกแยก ไม่ขัดแย้ง”

2.ศบค.คลายล็อก 9 กิจการ รวมโรงหนัง-ดนตรีสด เริ่ม 1 ต.ค. ขยับเวลาเคอร์ฟิว เริ่ม 4 ทุ่มถึงตี 4 !


สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขมีแนวโน้มลดลง โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 12,353 ราย มีผู้เสียชีวิต 125 ราย, 27 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,288 ราย มีผู้เสียชีวิต 101 ราย, 28 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,489 ราย มีผู้เสียชีวิต 129 ราย, 29 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,414 ราย มีผู้เสียชีวิต 122 ราย, 30 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,646 ราย มีผู้เสียชีวิต 107 ราย, 1 ต.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,754 ราย มีผู้เสียชีวิต 123 ราย ล่าสุด 2 ต.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,375 ราย มีผู้เสียชีวิต 87 ราย

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.แถลงว่า ที่ประชุม ศบค.ได้เห็นชอบให้ขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเป็นครั้งที่ 14 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ถึง 30 พ.ย. โดยจำเป็นต้องเข้มข้นมาตรการส่วนบุคคลมากขึ้น ส่วนมาตรการทางสังคมยังคงเดิม

ทั้งนี้ ได้มีการปรับมาตรการสำหรับกิจการและกิจกรรมที่ถูกปิดไปในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จำนวน 10 กิจการ/กิจกรรม ประกอบด้วย 1.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและวัยก่อนเรียน ให้เปิดดำเนินการได้ 2.ห้องสมุดสาธารณะ ห้องสมุดเอกชน ห้องสมุดชุมชนและบ้านหนังสือ 3.พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถาน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมถึงพิพิธภัณฑ์ในลักษณะเดียวกัน แหล่งประวัติศาสตร์ และโบราณสถาน 4.ศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม และหอศิลป์ ให้เปิดได้ แต่จำกัดจำนวนผู้เข้มชมไม่เกิน 75% 5.ร้านทำเล็บ เปิดโดยนัดหมายลูกค้าล่วงหน้า

6.ร้านสัก เปิดโดยนัดหมายล่วงหน้า ลูกค้าได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ หรือตรวจ ATK หรือ RT-PCR ผลเป็นลบภายใน 72 ชั่วโมง 7.สถานประกอบเพื่อสุขภาพ นวดสปา เปิดโดยนัดหมายล่วงหน้า จำกัดไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อคน ลูกค้าต้องได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ หรือตรวจ ATK หรือ RT-PCR ผลเป็นลบภายใน 72 ชั่วโมง แต่ยังไม่เปิดบริการอบไอน้ำ 8.ธุรกิจโรงภาพยนตร์ ฉายภาพยนตร์ เปิดได้ถึง 21.00 น. จำกัดผู้เข้าชม 50% และนั่งที่เว้นที่ ถ้ามาด้วยกันให้นั่งด้วยกันได้ ห้ามรับประทานอาหาร 9.การเล่นดนตรีในร้านอาหาร ให้เปิดได้ จำกัดนักดนตรีไม่เกิน 5 คน และต้องสวมหน้ากากอนามัย นักร้องถอดหน้ากากอนามัยเฉพาะเวลาร้องเพลง
และ 10.ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือสถานที่จัดนิทรรศการ ยังไม่เปิดดำเนินการ

สำหรับกิจการ/กิจกรมในพื้นที่สีแดงเข้ม ได้แก่ 1.ห้ามออกนอกเคหสถานจากเดิมเวลา 21.00-04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น ปรับลดลงเป็นเวลา 22.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น อย่างน้อย 15 วัน 2.ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า จากเดิมเปิดถึงเวลา 20.00 น. ปรับให้เปิดได้ถึง 21.00 น. โดยให้เปิดสถาบันกวดวิชา โรงภาพยนตร์ สปา ห้องออกกำลังกาย ฟิตเนส สระว่ายน้ำ แต่ยังไม่เปิดในส่วนของตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกม สวนสนุก สวนน้ำ และห้องประชุมจัดเลี้ยง 3.ร้านสะดวกซื้อ ตลาดสด ตลาดนัด เฉพาะจำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภค จากเดิมเปิดถึง 20.00 น. ปรับเปิดได้ถึง 21.00 น. และ 4.กีฬากลางแจ้ง เปิดได้ทุกประเภทกีฬาไม่เกิน 21.00 น. กรณีกีฬาในร่ม จัดการแข่งขันได้ โดยไม่มีผู้ชม กีฬากลางแจ้งจัดการแข่งขันได้ โดยมีผู้ชมไม่เกิน 25% และผู้ชมต้องได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ หรือตรวจโควิด-19 แล้ว ผลเป็นลบภายใน 72 ชั่วโมง นอกจากนี้ที่ประชุม ศบค.ยังเห็นชอบให้คงระดับพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด และพื้นที่สีอื่นๆ เหมือนเดิม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2564

ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์โรคโควิด-19 ในไทยว่า สถานการณ์ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการล็อกดาวน์ก่อนหน้านี้ ทำให้สัดส่วนผู้ห่วยหนัก และผู้ต้องใส่ท่อช่วยหายใจลดลงตามลำดับ หลังตัวเลขก่อนหน้านี้อยู่ที่ 4-5 พันรายต่อวัน และล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 3 พันรายต่อวัน

นพ.เกียรติภูมิ เผยด้วยว่า มีการประมาณการว่า จะมีผู้ติดเชื้อราวๆ 5 พันรายต่อวัน ก่อนสิ้น ต.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการประเมินตามหลักคณิตศาสตร์ แต่ยังมีหลายปัจจัยอื่นๆ ที่จะทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้ คือการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน (คลัสเตอร์) และเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ และมีการประเมินฉากทัศน์ว่า จะกระดกขึ้นหลังเดือน ต.ค. เพราะหมดแรงเหวี่ยงของช่วงล็อกดาวน์ ดังนั้น เราต้องทำให้การพยากรณ์นี้ไม่เป็นจริง การติดเชื้อไม่เหวี่ยงขึ้น คาดว่าเราจะสามารถทรงระบบอย่างนี้ไปได้ จึงคาดว่าต้นปีหน้า ราวๆ เดือน มี.ค.2565 โรคน่าจะสงบพอสมควร ใกล้ภาวะปกติ แต่ประชาชนจะต้องสวมหน้ากากอนามัยต่อไปอีกระยะ

3. บิ๊กตู่” ชวนสวดมนต์ไม่ให้พายุเข้าไทยอีก ลูกเดียวพอแล้ว ด้านวาฟ-รอม จับตาพายุลูกใหม่อาจกระทบไทย!



อิทธิพลจากพายุ “เตี้ยนหมู่” ยังคงส่งผลให้หลายจังหวัดในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางของไทยประสบภาวะน้ำท่วม ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมน้ำท่วมเพื่อให้กำลังใจผู้ประสบภัยในหลายจังหวัด เช่น สุโขทัย, ชัยภูมิ นอกจากนี้ยังมีกำหนดการลงพื้นที่อีกบางจังหวัดในระยะต่อไป

เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างลงพื้นที่ จ.สุโขทัย เมื่อวันที่ 26 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวช่วงหนึ่งว่า ปัญหาบ้านเมืองไม่ใช่มีเพียงแค่ตรงนี้ มีหลายพื้นที่ด้วยกัน ในปี 2563 มีพายุเข้ามา 5 ลูก ปีนี้ยังมีเพียงลูกเดียว จึงขอให้ช่วยกันสวดมนต์ อย่าให้พายุเข้ามาอีก พายุลูกเดียวพอแล้ว อย่างไรก็ตาม ขอช่วยกันคิดใหม่ว่า วันข้างหน้าจะอยู่กันอย่างไร จะต้องปลูกบ้านอย่างไร จะต้องปลูกบ้าน 2 ชั้น หรือขยับขยายไปอยู่ในที่สูงขึ้น ซึ่งรู้ว่ายาก แต่ถ้าตั้งใจฟังรัฐบาลพูดบ้าง ก็น่าจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ ประเด็นที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้ช่วยกันสวดมนต์เพื่อไม่ให้พายุเข้าไทย ได้ถูกหลายฝ่ายนำไปล้อเลียนอและเหน็บแนมอย่างกว้างขวาง

สำหรับจังหวัดที่ถูกน้ำท่วมหนักมีหลายจังหวัด ได้แก่ จ.ชัยภูมิ ซึ่งมีพื้นที่ถูกน้ำท่วมได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง ถือว่าท่วมหนักสุดในรอบกว่า 50 ปี โดย รพ.บำเหน็จณรงค์ เป็นจุดหนึ่งที่ถูกน้ำทะลักเข้าท่วม สร้างความเสียหายทั้งต่ออุปกรณ์การแพทย์และยาต่างๆ รวมทั้งต้องอพยพผู้ป่วยเพื่อหนีน้ำ ไปยังที่ปลอดภัย ส่วนที่ อ.อุ้มผาง จ.ตาก ได้เกิดน้ำท่วมหนักสุดในรอบ 60 ปี ทำให้สถานที่ราชการ ร้านค้า และบ้านเรือนประชาชนหลายหลังจมอยู่ใต้น้ำ ขณะที่ไฟฟ้าในพื้นที่ก็ดับตลอดทั้งวัน เนื่องจากเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องตัดกระแสไฟฟ้า เพื่อความปลอดภัยจากน้ำท่วมที่ท่วมสูง

หลังจากหลายจังหวัดประสบปัญหาน้ำท่วม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยราษฎรที่ประสบอุทกภัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้องคมนตรี ร่วมกับมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เชิญถุงพระราชทานและเครื่องอุปโภคบริโภคไปมอบแก่ผู้ประสบอุทกภัยและผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมทั้งเชิญพระบราโชบายในการป้องกันและแก้ไขการเกิดภัยธรรมชาติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปกล่าวในที่ประชุม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปเป็นแนวทางในการแก้ไขสถานการณ์

สำหรับสถานการณ์ปริมาณฝนในปีนี้ นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวเมื่อ 28 ก.ย.ว่า ปริมาณฝนปีนี้จะมากกว่าปีที่แล้วและมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ 5-10% ส่วนน้ำจะท่วมหรือไม่ กรมอุตุนิยมวิทยาไม่สามารถบอกได้ ทำได้เพียงแจ้งเตือนพยากรณ์อากาศ และประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และวางแผนในการบริหารจัดการ และว่า ปัญหาอุทกภัยขณะนี้เกิดจากการเร่งระบายน้ำจากบริเวณตอนบนของประเทศ จึงอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณแนวแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก รวมถึงแม่น้ำท่าจีน ก่อนที่จะระบายลงสู่ทะเล

นายณัฐพล กล่าวด้วยว่า ช่วงสัปดาห์นี้ประเทศไทยมีฝนลดลง จึงเหมาะแก่การเร่งระบายน้ำ โดยคาดว่า จะมีร่องมรสุมเกิดขึ้นอีกครั้งช่วงวันที่ 1-3 ต.ค. จากนั้นต้องติดตามว่า ช่วงวันที่ 5-6 ต.ค. จะมีพายุเข้ามาอีกหรือไม่ ขณะนี้กรมอุตุนิยมวิทยาอยู่ระหว่างเฝ้าติดตามพัฒนาการของพายุบริเวณทะเลจีนใต้ หากเกิดการก่อตัวเป็นพายุจริง ต้องติดตามว่า จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณตอนบนหรือตอนกลางของประเทศเวียดนาม หากเคลื่อนขึ้นบริเวณตอนกลาง จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย แต่เบื้องต้นขณะนี้ยังไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน จึงไม่สามารถประเมินได้

“ช่วงกลางเดือน ต.ค.เป็นต้นไปถึงเดือน ธ.ค. ฝนจะเริ่มตกหนักบริเวณภาคใต้ จึงต้องเฝ้าระวังปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่บริเวณตอนบนของประเทศเริ่มมีฝนลดลง จึงคาดว่า ประมาณกลางเดือน ต.ค. บริเวณภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน อุณหภูมิจะเริ่มลดลง”

ขณะที่แบบจำลองสภาพอากาศ (วาฟ-รอม) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) อยู่ระหว่างจับตาพายุลูกใหม่ 1 ลูก ที่คาดการณ์ว่า จะส่งผลกับประเทศไทยอีกครั้งต่อจากพายุเตี้ยนหมู่ โดยพบว่า พายุลูกดังกล่าวกำลังประชิดชายฝั่งประเทศเวียดนามประมาณวันที่ 8 ต.ค. อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้นก็มีความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ลงมาด้วยพอดี ซึ่งจะทำให้เกิดการดูดกลืนความชื้นในตัวพายุออกไป ส่งผลให้พายุสูญเสียกำลัง ซึ่งต้องจับตาดูและเฝ้าระวังกันต่อไป ทั้งนี้ ต้องดูองค์ประกอบอื่นๆ โดยเฉพาะความกดอากาศสูงที่จะแผ่ลงมาด้วย เพราะกลางเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้ ประเทศไทยก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว พายุลูกดังกล่าวอาจจะอ่อนกำลังลงไปมากก็ได้ ซึ่งยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ขอยืนยันว่า ที่จะมีพายุเข้ามาอีก 3 ลูกนั้น ยังไม่มีข้อมูลแต่อย่างใด มีแค่ 1 ลูกที่กำลังจับตาในช่วงต้นเดือน ต.ค.

ขณะที่กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้เผยแพร่ประกาศให้ 9 จังหวัดเฝ้าระวังปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะเพิ่มสูงขึ้นระหว่างวันที่ 1-5 ต.ค.นี้ ประกอบด้วย ชัยนาท, สิงห์บุรี, อ่างทอง, ลพบุรี, พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี, ปทุมธานี, นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร

ด้านกรุงเทพมหานครได้ขอให้หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน ที่ประกอบกิจการในแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะประชาชนที่มีบ้านเรือนอาศัยอยู่นอกแนวคันป้องกันน้ำท่วม 11 ชุมชน จำนวน 239 ครัวเรือน ในพื้นที่ 7 เขต ได้แก่ ดุสิต พระนคร สัมพันธวงศ์ บางคอแหลม ยานนาวา บางกอกน้อย และคลองสาน ขอให้เตรียมขนย้ายสิ่งของให้อยู่ในที่สูง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนหากเกิดปัญหาระดับน้ำขึ้นสูงระหว่างวันที่ 1-5 ต.ค.

4. ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด "อนุรักษ์" ส.ส.เพื่อไทย เรียกรับเงินอธิบดีกรมฯ น้ำบาดาล 5 ล้าน แลกผ่านงบปี 64 ด้านเจ้าตัวปฏิเสธ ท้าเปิดคลิปหลักฐาน!



เมื่อวันที่ 1 ต.ค. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงความคืบหน้ากรณีข้อกล่าวหาที่สืบเนื่องจากนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวในที่ประชุมอนุกรรมาธิการแผนบูรณาการ 2 ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 ที่มีการประชุมพิจารณางบประมาณแผนบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2 กรม คือ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมทรัพยากรน้ำว่า มีอนุกรรมาธิการบางคนโทรศัพท์เรียกเงิน 5 ล้านบาท แลกกับการผ่านงบประมาณ

โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้สั่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนนายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ ส.ส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย ได้เรียกรับเงินจำนวน 5 ล้านบาท จากนายศักดิ์ดา รวมทั้งไต่สวนนางนันทนา สงฆ์ประชา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาภิวัฒน์ ในฐานะอนุกรรมาธิการบูรณาการ 2 ด้วย จากการไต่สวน นายศักดิ์ดาให้ข้อมูลว่า นายอนุรักษ์เรียกรับเงินทางโทรศัพท์จริง โดยมีนางนันทนาเป็นผู้โทรศัพท์ประสานงาน

ทั้งนี้ จากการเช็คข้อมูลโทรศัพท์ ช่วงระยะเวลาที่มีการโทร เจือสมพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า นายอนุรักษ์เรียกรับเงินจากนายศักดิ์ดาจริง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 123/5 ฐานเรียกรับ ยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อตัวเองโดยไม่ชอบ และยังเป็นการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ

สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ ในส่วนของความผิดวินัย ป.ป.ช.จะยื่นคำร้องไปยังศาลฎีกาโดยตรง ส่วนคดีอาญาจะยื่นคำร้องไปยังอัยการสูงสุด เพื่อฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป

วันเดียวกัน นายอนุรักษ์ กล่าวถึงกรณีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดตนว่า เพิ่งทราบข่าวจากสื่อมวลชน ถือเป็นเรื่องที่เร็วมาก ซึ่งเรื่องนี้ตนได้ยื่นแก้ข้อกล่าวหาไปแล้วและมีพยานบุคคล แต่ ป.ป.ช.กลับไม่เรียกสอบพยานที่เกี่ยวข้อง เหมือนเป็นการฟังความฝ่ายเดียวแล้วชี้มูล ดังนั้นตนจะนำประเด็นนี้ไปร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการไต่สวน ของ ป.ป.ช.

นายอนุรักษ์ กล่าวอีกว่า “ยืนยันว่าผมไม่ได้เรียกรับเงินตามที่ ป.ป.ช. กล่าวหา แต่ยอมรับว่าเบอร์โทรศัพท์ ที่ถูกใช้เป็นหลักฐานว่านำไปโทรหาอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลนั้น เป็นเบอร์ของผมจริง แต่ไม่ใช่เสียงของผม ผมไม่ได้เรียกเงินเขาอยู่แล้ว เพราะมี ส.ส. คนหนึ่งนำโทรศัพท์ไปใช้โทรพูดคุยกับอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลต่อ หลังจากที่ผมได้คุยเรื่องเอกสาร ดังนั้นถ้ามีหลักฐานว่าผมเรียกรับเงินจริง ก็ควรเอาคลิปเสียงมาเปิดว่า มีการเรียกรับเงินอย่างไร ตอนนี้ผมยังไม่เคยเห็นคลิปเสียงที่มีการกล่าวอ้างด้วยซ้ำ จู่ๆ ก็มาชี้มูลผม และถ้าไม่มีหลักฐานจริงแล้ว ป.ป.ช. ชี้มูลก็ถือว่าไม่เป็นธรรม”

ส่วนประเด็นที่ว่า เรียกรับเงินแลกกับการผ่านงบประมาณนั้น นายอนุรักษ์ ถามกลับว่า ตนมีอำนาจตัดงบประมาณได้อย่างไร เพราะการพิจารณางบประมาณเป็นอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร ต้องใช้มติในสภาฯ ไม่ใช่อำนาจของอนุกรรมาธิการฯ ดังนั้นเมื่อตนไม่มีอำนาจ จะอ้างว่าตนไปเรียกรับเงินเพื่อแลกกับการผ่านงบประมาณได้อย่างไร ถือว่าไม่มีเหตุผล

5. ฝากขัง “พิยดา” คดีโกงเงินค่ามือถือ “น้องก้อง” ด้านเจ้าตัวยังปฏิเสธ ซัดทอดแฟนหนุ่ม!



ความคืบหน้ากรณี น.ส.พิยดา ทองคำพันธ์ อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีหลอกขายโทรศัพท์มือถือ เป็นเหตุให้น้องก้อง นักเรียนชายชั้น ม.2 อายุ 14 ปี ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิต และพบว่า มีผู้เสียหายถูกหลอกเช่นเดียวกันอีกจำนวนมาก

เมื่อวันที่ 28 ก.ย. น.ส.พิยดา พร้อมทนายความ ได้เดินทางเข้ามอบตัวที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอมฯ หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน

หลังเข้ามอบตัว น.ส.พิยดา ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ ขณะที่ทนายความระบุว่า น.ส.พิยดาได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และจากการสอบปากคำเบื้องต้น น.ส.พิยดายืนยันไม่ได้เป็นคนกระทำผิด ไม่เคยคุยและไม่เคยหลอกเด็กชายวัย 14 ปี รวมทั้งไม่รู้จักกับผู้ต้องหาที่เป็นหญิง 2 คน ที่ถุกจับกุมก่อนหน้านี้ และไม่ได้จ้างให้ผู้ต้องหาดังกล่าวเปิดบัญชีด้วย แต่ยอมรับว่า เป็นแม่ค้าออนไลน์ เคยขายโทรศัพท์มือสองมาก่อน แต่หยุดขายไปแล้วตั้งแต่ปีก่อน ทรัพย์สินทุกอย่างได้มาจากการขายออนไลน์ทั้งสิ้น

ด้าน พล.ต.ต.พิเชษฐ จีรนันตสิน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า คดีนี้ นายกรัฐมนตรีและผู้บังคับบัญชาให้ความสนใจ เพราะเป็นเรื่องที่มีผลกระทบกับความรู้สึกของประชาชน ขณะที่การตรวจสอบเพิ่มเติมทราบว่า น.ส.พิยดายังมีหมายจับอีกหลายคดี

ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้คุมตัว น.ส.พิยดา ไปสอบปากคำเพิ่มที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 หลังสอบปากคำ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม น.ส.พิยดา อีกครั้ง แต่เจ้าตัวกล่าวเพียงว่า ทำอาชีพเป็นแม่ค้าออนไลน์เท่านั้น

ขณะที่ พ.ต.อ.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รองผู้บังคับการสืบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 กล่าวว่า เบื้องต้น น.ส.พิยดายอมรับว่า เป็นแม่ค้าขายของออนไลน์ และยืนยันไม่ได้ขายโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งไม่รู้จักกักบผู้ต้องหาสองรายก่อนหน้าที่ที่อ้างว่าเธอว่าจ้างให้เปิดบัญชีให้ แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การ ผู้ต้องหาจะให้การอย่างไรก็ได้ แต่เชื่อมั่นในพยานหลักฐานที่มีและสืบสวนมาอย่างรอบคอบ จนกระทั่งนำไปสู่การออกหมายจับได้

พ.ต.อ.ธวัชชัย เผยด้วยว่า จากการตรวจสอบประวัติ พบว่า น.ส.พิยดา เคยก่อเหตุลักษณะนี้มาแล้วตั้งแต่เป็นเยาวชน อายุประมาณ 14 ปี จากการซักถามผู้ต้องหา อ้างว่าขายของออนไลน์และรับเงินมา แต่เพจที่เป็นเจ้าของสินค้าไม่ยอมส่งสินค้าไปให้ลูกค้าเอง

วันต่อมา (29 ก.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือตำรวจไซเบอร์ ได้นำหมายค้นไปเชิญตัวพ่อกับแม่เลี้ยงของ น.ส.พิยดา จากรีสอร์ตหรูแห่งหนึ่งใกล้ สภ.นาหวาย มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมยึดรถบีเอ็มดับเบิลยู และเงินสดกว่า 7 แสนบาท โทรศัพท์มือถือ และเอกสารทั้งหมดมาตรวจสอบ

ทั้งนี้ นายกลยุทธ ทองคำพันธ์ พ่อของ น.ส.พิยดา และแม่เลี้ยง ได้วอนตำรวจให้ความเป็นธรรมกับลูกสาว มั่นใจว่าลูกสาวไม่ได้เป็นคนโกงผู้เสียหาย และว่า ได้คุยกับลูกสาวที่หน้าห้องขัง สภ.นาหวาย ลูกสาวยืนยันว่า ไม่ได้เป็นคนทำ และซัดทอดว่า คนโกงผู้เสียหายจริงๆ แล้ว เป็นฝ่ายครอบครัวแฟนของ น.ส.พิยดา

วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาหวาย ได้นำตัว น.ส.พิยดา ขอศาลจังหวัดเชียงใหม่ฝากขังผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ พร้อมคัดค้านการประกันตัว ซึ่งศาลอนุญาตให้ฝากขัง และไม่ให้ประกันตัว หวั่นหลบหนี จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้คุมตัว น.ส.พิยดา ไปส่งทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ เพื่อฝากขังในเรือนจำ โดย น.ส.พิยดา มีสีหน้าเศร้าน้ำตาไหลตลอดเวลา และกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “รู้สึกเสียใจที่ทางบ้านโน้นซัดหนูเต็มที่ โดยว่าหนูใช้เขาเป็นเครื่องมือ แต่ไม่เป็นไรค่ะ หนูยืนยันว่าไม่ได้ทำค่ะ ส่วนเรื่องน้องก้องที่เสียชีวิต ตอนนี้มีชื่อของหนูอยู่ในคดี ก็ต้องขอโทษครอบครัวน้องที่เสียชีวิตด้วย ยืนยันจะต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด”

ด้านแฟนหนุ่มของ น.ส.พิยดา ได้ให้สัมภาษณ์สื่อโดยยืนยันว่า ตนไม่เกี่ยวกับการหลอกขายไอโฟน และว่า พิยดาเคยทำลักษณะนี้มาแล้ว แต่สัญญาจะไม่ทำเช่นนี้อีก กระทั่งมาก่อเหตุซ้ำอีกครั้ง ทำให้ตนและครอบครัวเครียดมาก ถูกสังคมพิพากษาไปแล้วว่าโกงทั้งครอบครัว ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้อง

ขณะที่พ่อของแฟนหนุ่มของ น.ส.พิยดา เผยว่า เครียดมาก ยืนยันคนในครอบครัวไม่เกี่ยวข้อง ไม่เช่นนั้นตำรวจออกหมายจับไปแล้ว ตอนนี้เร่งประสานกับ ป.ป.ง. เพื่อนำเอกสารไปยืนยันรายได้ และเงินในบัญชีหลักแสนบาท เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของคนในครอบครัว


กำลังโหลดความคิดเห็น