เพจ “ชมรม STRONG ต้านทุจริตภาคใต้” โพสต์ข้อความเปิดเผย และเป็นการตอบคำถามว่าทำไม ผู้กำกับโจ้ ถึงรวยถึงขนาดครอบครองรถหรูเกือบ 30 คัน มูลค่าหลายร้อยล้านบาท ที่แท้ลักลอบนำเข้ารถจากมาเลเซียและปั้นคดีว่าจับรถ ก่อนกรมศุลกากรนำไปขายทอดตลาดจนได้เงินรางวัลนำจับ พบทำมาตั้งแต่ยศ ร.ต.ท. จนถึงปัจจุบัน
จากกรณี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ถูกร้องเรียนว่าเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยในพื้นที่เป็นเงินจำนวน 2 ล้านบาท แต่ผู้ต้องหายาเสพติดชื่อว่า นายจิระพงศ์ อายุ 24 ปี ไม่ยินยอมเพราะจ่ายได้แค่ 1 ล้านเท่านั้น จึงถูก ผกก.นายดังกล่าวใช้ถุงดำคลุมศีรษะจนเป็นเหตุให้ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตในที่สุด ภายหลังเกิดเหตุ ผกก.ก็ได้มีการบังคับให้ลูกน้องทำสำนวนในเชิงผู้ตายเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ ตามที่ได้รายงานข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมาเช้าวันที่ 25 ส.ค. ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 6 ลงพื้นที่ไปที่บ้านเลขที่ 79/898 ของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ภายในหมู่บ้านปัญญาอินทรา P1 ถนนปัญญาอินทรา เขตคลองสามวา พบพื้นที่ด้านในมีเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ บ้าน 2 หลัง รถหรูจำนวน 29 คัน มูลค่ารวมกันนับร้อยล้าน โดยรถดังกล่าวผู้ครอบครองเป็นชื่อ ผกก.โจ้ หลังจากนี้จะนำเอกสารทั้งหมดมาตรวจสอบหาที่ไปที่มาของรถหรูทั้ง 29 คัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 ส.ค. เพจ “ชมรม STRONG ต้านทุจริตภาคใต้” ได้ออกมาโพสต์ข้อความ โดยได้มีการระบุหัวข้อว่า “เล่านิทานให้ฟัง” เกี่ยวกับที่มาของเงินของ ผกก.โจ้ มาจากไหน ทำไมจึงมีเงินมากมายซื้อรถหรูได้มากมาย โดยทางเพจได้ระบุข้อความว่า
“เล่านิทานให้ฟัง..
อดีตของนายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งที่หลายคนถามไถ่สงสัยกัน ว่าเขาร่ำรวยมาได้อย่างไร?? ทำธุรกิจอะไรมา ก็มีข้อมูลวงในเปิดเผยว่า เดิมพื้นฐานทางบ้าน พ.ต.อ.ธ.. ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมาแต่ต้น แต่เป็นเพราะเขาเองที่ “หาเงินเก่ง” มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ และที่ทำให้ชีวิตพลิกผันเข้าขั้น “เศรษฐี” ขณะดำรงตำแหน่ง พ.ต.ท.ธ.. ตำแหน่ง รอง ผกก.กก.1 บก.ปส.... ดูแลพื้นที่ภาคใต้ นอกจากทำคดียาเสพติดรายใหญ่จนสร้างชื่อให้ตัวเองเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติดมือฉมังแล้ว ก็ยังทำให้ได้คลุกคลีตีโมงกับผู้ต้องหายาเสพติดรายใหญ่ๆ ในวงการธุรกิจ “สีดำ” รวมไปถึงเปิดทางให้เข้าสู่วงการธุรกิจ “รังนก” ที่เป็นธุรกิจ “สีเทา” เกี่ยวกับอิทธิพลมาเฟียอีกด้วย
ว่ากันว่า จากคอนเนกชันธุรกิจสีเทา ทำให้เขาเห็นโอกาสทำมาหากินกับ “รถหรู และซูเปอร์คาร์” แบบชนิดที่คาดกันไม่ถึง
“ผู้กำกับ จ.. เริ่มจากเลือกรถหรูที่ฝั่งมาเลเซีย เพราะราคาถูกกว่าไทยเยอะ ยกตัวอย่าง BMW ราคาอยู่ที่ประมาณ 4 แสน ลงทุนซื้อที่มาเลย์แล้วลักลอบเอาเข้าไทย จากนั้นทำทีปั้นคดีว่า “จับรถ” โดยไม่มีคนเกี่ยวข้อง ทำนองเจอรถต้องสงสัยนำเข้าผิดกฎหมาย
คดีแบบนี้ปลายทางจะทำให้รถถูกส่งให้ศุลกากร แล้วเมื่อคดีเสร็จสรรพ ศุลกากรก็จะนำออกขายทอดตลาดด้วยวิธีประมูล สมมติว่า BMW คันดังกล่าวประมูลได้ในราคา 2 ล้าน สิ่งที่ผู้กำกับ จ.จะได้ตามมา คือ 1. รางวัลนำจับ และ 2. ค่าสายข่าว ทั้งสองส่วนนี้คิดเป็น 45% ของราคา 2 ล้าน หรือ 900,000 ทันที
เท่ากับว่า รถ BMW คันนี้ หักทุน 400,000 บาทแล้ว ผู้กำกับ จ.จะได้กำไร 500,000 บาท
ว่ากันว่านายตำรวจหนุ่มทำลักษณะนี้หลายครั้ง มีรถหรู-สปอร์ตคาร์หลายยี่ห้อที่นำเข้าจากมาเลย์ด้วยวิธีลงทุนเอง จับเอง ส่งศุลกากร บางคันจะเก็บไว้ใช้เอง ก็อาจจะฮั้วกับเจ้าหน้าที่กรมศุลฯ ปล่อยราคาถูกๆ หรือถอดอะไหล่ ถอดอุปกรณ์บางอย่างออกให้ราคาตก
ช่วงพีกๆ กรมศุลฯ จัดประมูลรถลักษณะอย่างนี้ทุกเดือน เดือนหนึ่งก็ราวๆ 400 คัน ว่ากันว่าเป็นรถในเครือข่ายของผู้กำกับ จ.. เสีย 50% คำนวณดูเอาว่าแต่ละเดือนจะมีรายได้เท่าไหร่ ? แถมเป็นเงินที่ถูกกฎหมาย เพราะเป็นรางวัลนำจับ และค่าสายข่าวที่ศุลกากรต้องจ่ายตามกฎ ตอนหลังถูกจับตา ศุลกากรจึงต้องยกเลิกประมูลรถที่มีที่มาจากฝั่งมาเลย์ แต่ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันถึงทุกวันนี้ ว่าเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องใช้สำนักงานในศุลกากรเป็นผู้กำกับ จ.อภินันทนาการไว้ให้ราชการใช้จำนวนมาก นี่เป็นเรื่องราวที่เล่าขานในแวดวงตำรวจ ถึงเส้นทางร่ำรวย ไฮโซ มีเงินมีทอง เป็นเจ้าของซูเปอร์คาร์ ทั้งลัมโบร์กินี ปอร์เช่ เฟอร์รารี่ BMW และยี่ห้อดังอื่นๆ ของผู้กำกับ จ.ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ เพราะ กรรมตามทัน จึงต้องหนีจากทุกอย่างที่เคยสร้างมา...”