“ธงทอง จันทรางศุ” ชี้ปรากฏการณ์ “ผู้กำกับโจ้” อาจเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง เพราะมีตำรวจบางนายทำผิดกฎหมายเสียเอง แต่แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน ขณะที่อดีตรอง หน.ปชป.เตือนอย่าทำตามกระแสเพราะจะทำงานยาก ถึงผิดแน่นอนแต่การสอบสวนให้ลงโทษตามข้อหาไม่ใช่เรื่องง่าย มีจุดหักเหจากการทำ CPR อาจไม่ใช่เจตนาฆ่า ถ้ารีดเอาทรัพย์ผิดจะเหลือแค่ข้อหาทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่ฆ่าโดยเจตนา
วันนี้ (25 ส.ค.) จากกรณีที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ให้ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และถูกร้องเรียนว่าได้ทำร้ายร่างกายโดยการทรมาน นายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหาคดียาเสพติด เพื่อเรียกเงินจำนวน 2 ล้านบาท จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต และถูกดำเนินคดีอาญาโดยกล่าวหาว่าร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
เฟซบุ๊ก Tongthong Chandransu ของ ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความระบุว่า “ปรากฏการณ์ครั้งนี้บางทีอาจเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง ที่มีส่วนล่างขนาดใหญ่มหึมาหลบซ่อนอยู่ใต้น้ำ ไม่ว่าจะเป็นขบวนการทำงานที่ไม่เคารพกฎหมาย การข่มขู่ทรมานผู้ต้องหาที่ทำเป็นขบวนการและทำเป็นอาจิณ การแสวงหาผลประโยชน์จากขบวนการผิดกฎหมายเพื่อช่วยเหลือให้พ้นผิดหรือผ่อนหนักเป็นเบา
การส่งส่วยเป็นลำดับชั้น การพิจารณาความดีความชอบและแต่งตั้งเข้าสู่ตำแหน่งด้วยหลักเกณฑ์ที่น่าเคลือบแคลงสงสัยและอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ ขบวนการปกป้องสมัครพรรคพวกจนถึงที่สุดถ้าไม่จนแต้มจริงๆ การใช้อำนาจเงินปิดบังความผิดที่ตำรวจเป็นผู้กระทำ ความวางใจ เกรงใจและให้เครดิตกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมจนกระทั่งละเลยมองไม่เห็นจุดบกพร่องและไม่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบ
การมองว่าผู้กระทำผิด (หรือสงสัยว่ากระทำผิด) หมดสิ้นความเป็นมนุษย์และใครจะทำอะไรกับเขาก็ได้ แถมยังเป็นบ่อเงินบ่อทองให้ตักตวงได้ด้วย ครั้นตักตวงได้มาแล้วก็นำไปส่งส่วยวิ่งเต้น เรียกว่าครบวงจรซ้ำแล้วซ้ำเล่า ค่านิยมหรือการฝึกสอนการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่แยกแยะไม่ได้เสียแล้วว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ
ตำรวจบางนายจึงเป็นผู้กระทำความผิดกฎหมายเสียเองเพราะหวังลาภผลจากการทำความผิดเช่นนั้น หรืออย่างเบาะๆ ก็เรียกค่าคุ้มครองจากผู้กระทำความผิด ลักษณะองค์กรที่เป็นองค์กรปิด ขาดระบบการตรวจสอบที่มีคุณภาพและเพียงพอจากภายนอก ทำให้มีสภาพแมลงวันไม่ตอมแมลงวันเกิดขึ้น (เว้นแต่จำเป็นถึงที่สุด) ฯลฯ ใครช่วยบอกผมทีว่า ผมคิดผิด และคิดมากเกินไป”
ด้านเฟซบุ๊ก “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความหัวข้อ “คดีคลุมถุงดำ กับ การซ้อมผู้ต้องหา” ระบุว่า “ตำรวจกับคดีคลุมถุงดำซ้อมผู้ต้องหามิใช่ของใหม่ แต่มีมานานแล้ว สมัยผมยังว่าความอยู่ ตอนนั้นผมยังห้าวอยู่ ก็แบบนี้แหละเหมือนกันเป๊ะ!! หนักกว่านี้เสียอีก คดีนั้นใส่กุญแจมือ ใช้น้ำราดพื้นให้ผู้ต้องหานั่งแล้วใช้ไฟช็อตที่พื้น จนผู้ต้องหารับสารภาพ แต่ผมก็สู้คดีหลุดเพราะการสอบสวนไม่ชอบ ทั้งที่มียาเสพติดในครอบครองจริง
กลับมาคดีที่นครสวรรค์ ผมอยากเตือนตำรวจว่า อย่าทำตามกระแส เพราะจะทำงานยาก คดีนี้ “ผิดแน่นอน” (แต่ใครผิดบ้างไม่รู้) มีการทำร้ายผู้ต้องหาจนตาย แต่การสอบสวนเพื่อให้สามารถลงโทษผู้ต้องหาได้ตามข้อหาที่เป็นจริงไม่ใช่เรื่องง่าย นักกฎหมายลองตอบคำถามผมดู
1. คดีนี้ เป็นการฆ่าโดยเจตนาเล็งเห็นผลหรือไม่ ถ้าจะตอบแบบไม่คิดอะไร ตอบแบบสูตรสำเร็จ ตอบแบบพวกขี้เกียจอ่านตำรา ยกกาแฟขึ้นดื่ม ค่อยๆ วางแก้วลงวางมาดนิดหน่อย ก็ตอบตามแนวฎีกาที่ 5332/2560 ว่า เป็นการฆ่าโดยเจตนา โดยเล็งเห็นผล
2. งั้นผมจะถามต่อไปว่า ถ้าเจตนาฆ่า แล้วทำไมต้องกู้ชีพด้วยการทำ CPR เพราะตามคลิปเห็นชัดว่ามีการกดกระตุ้นหัวใจหลายครั้ง แต่ไม่สามารถกู้ชีพคืนได้ ถ้าเจตนาฆ่า เมื่อตายแล้วก็จบสิ สมเจตนาที่ทำแล้ว จะไปกู้ชีพทำไม
3. หรือคดีนี้เป็นเพียง “รีดเอาทรัพย์” เพราะถ้าเป็นการรีดเอาทรัพย์ ก็ต้องเริ่มด้วยการตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มิใช่ เริ่มด้วยฆ่าด้วยเจตนา
ทั้งหมดเป็นเรื่องยากที่คนไม่เรียนกฎหมายจะเข้าใจ ผมเขียนเรื่องนี้เพียงเตือนด้วยความรู้น้อย ไม่อยากให้ผิดพลาด แต่คิดว่ามือสอบสวนของ สตช.ก็คงระดับมือพระกาฬ ประการสำคัญ ตำรวจ และอัยการ ต้องไม่ทำตามกระแส มิฉะนั้น การลงโทษก็ไม่เป็นไปตามสัดส่วนแห่งการกระทำความผิด
เรื่องนี้ ประชาชนต้องการเห็นการดำเนินคดีที่รวดเร็ว เป็นธรรม และผู้กระทำผิดต้องถูกลงโทษ ไม่ยากหรอก พยานหลักฐานชัด ยากที่การตั้งข้อหาว่าเจตนาฆ่าโดยการเล็งเห็นผล หรือรีดเอาทรัพย์+ทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย??? มีคนถามผมเยอะว่าความเห็นผมเป็นอย่างไร ผมได้แต่ตอบว่า ผมเป็นนักกฎหมายบ้านนอก บำเพ็ญพรต บำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ตามป่าเขา เรื่องอย่างนี้อย่ามาถามผมเลย”