“รสนา” จี้ประมูล ATK Lepu ใหม่ เพื่อให้ได้ราคาถูกลง พร้อมจับตาจัดซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ เตือน “องค์การเภสัชกรรม” อย่าตกเป็นเครื่องมือนักการเมืองขี้ฉ้อ แนะผู้บริหารประเทศควรมีสำนึก ระวังเจอมาตรา 157 เหมือนในอดีต ที่ รมว.สธ. ต้องถูกจำคุก-ยึดทรัพย์
วันที่ 24 ส.ค. 2564 น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และผู้ประกาศตัวลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก แฟนเพจ “รสนา โตสิตระกูล” ระบุว่า ...
จับตานายกฯ และ รมต.สธ เรื่องจัดซื้อ ยาฟาวิฯ และ ATK โปร่งใสหรือไม่ !?
ดิฉันได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2564 หาก ครม.จะยอมรับมาตรฐานของ ATK Lepu ก็ขอให้นายกฯสั่งการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ให้มีการประมูลราคา Antigen Test Kit (ATK ) Lepu ใหม่ เพราะการตั้งราคากลางในการประมูล ATK ไว้ที่ 120 บาทนั้น เป็นราคากลางสำหรับ ATK ที่เป็น Professional Grade ไม่ใช่ราคา ATK แบบ home use อุปมาเหมือนการตั้งราคากลางสำหรับประมูลซื้อรถยุโรป แต่ดันไปซื้อรถเอเชีย แล้วอ้างว่าที่ประมูลมีราคาถูกกว่าที่ตั้งไว้ตั้ง 40% มันจะถูกต้องหรือไม่
ขอให้ดูตัวอย่างการโฆษณาขายของในปัจจุบันทั้งหม้อไหกระทะ ที่ตั้งราคาให้สูงลิบลิ่วเกินความเป็นจริง แล้วก็ลดราคาหลอกผู้บริโภคว่าขายในราคาถูก
องค์การเภสัชกรรมเป็นรัฐวิสาหกิจที่เคยมีบทบาททำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ประชาชนในการกำหนดราคายาและเวชภัณฑ์ที่เหมาะสม ทั้งเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกซื้อยาและเวชภัณฑ์คุณภาพในราคาถูก และอีกด้านหนึ่งเป็นการป้องกันเอกชนตั้งราคายาเอาเปรียบประชาชนที่ไม่มีทางเลือก องค์การเภสัชฯมาทำหน้าที่ประมูล ATK ให้ประชาชน จึงต้องมีหูตากว้างไกลในการตรวจสอบราคา ATK ที่เหมาะสม เป็นการรักษาผลประโยชน์ชาติ ไม่ให้ประชาชนถูกต้มซื้อของถูกในราคาแพง ไม่ควรทำตัวซื่อบื้อ พิจารณาแค่ระเบียบราคากลาง 120 บาท เพียงอย่างเดียว แล้วอ้างว่า ATK Lepu ประมูลได้ต่ำกว่าราคากลางถึง 40% ทั้งที่ราคา ATK Lepu ในท้องตลาดมีราคาเพียง 1 ดอลลาร์ หรือ 33 บาทเท่านั้น อาลีบาบายังระบุว่าถ้าซื้อตั้งแต่ 5 หมื่นชิ้นขึ้นไปสามารถต่อรองราคาให้ต่ำลงได้อีกด้วย
ถ้าองค์การเภสัชฯ ยอมทำสัญญาจัดซื้อ ATK 8.5 ล้านชิ้น ในราคาชิ้นละ 70 บาท แพงกว่าราคาตลาดถึงเท่าตัว ไม่ใช่ถูกกว่าราคากลาง 40% ถ้าทำหน้าที่ได้เพียงแค่นี้ ควรพิจารณาตัวเองว่ายังสมควรมาทำหน้าที่ต่อรองราคารักษาผลประโยชน์ของชาติต่อไปอีกหรือไม่
อย่างไรก็ตาม อภ.ก็เคยถูกนักการเมืองใช้เป็นเครื่องมือในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ราคาแพงกว่าท้องตลาดมาแล้วในสมัยทุจริตจัดซื้อยาเเละเวชภัณฑ์ 1,400 ล้าน ในยุคต้มยำกุ้งเมื่อปี 2542 เพราะสถานะความเป็นราชการขององค์การเภสัชกรรมเคยถูกใช้เป็นเสื้อคลุมปกป้องพวกนักการเมืองและข้าราชการขี้ฉ้อมาแล้ว ต้องรอดูต่อไปว่า ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกหรือไม่ !?
ก่อนหน้านี้ ดิฉันดูการสัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรี สธ.ต่างสวนกันคนละหมัดระหว่างการจัดซื้อ ATK Lepu และการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ 424 ล้านเม็ด โดยในวันที่ 7 สิงหาคม ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จะมีการสำรองฟาวิพิราเวียร์เพิ่ม 420 ล้านเม็ด เพราะคนติดเชื้อโควิดเพิ่มมากขึ้น วันเดียวกัน รมต.สธ.ให้สัมภาษณ์ ว่า ฟาวิพิราเวียร์มีสำรองในระดับจังหวัดและเขตสุขภาพเพียงพอแล้ว ขอเพิ่มได้ตลอด ที่ผ่านมา ยังไม่พบปัญหาการขาดแคลนยาฟาวิพิราเวียร์เลย
ต่อมาวันที่ 12 สิงหาคม รัฐบาลยืนยันมีนโยบายให้ประชาชนที่ติดเชื้อโควิดเข้าถึงยาฟาวิพิราเวียร์อย่างรวดเร็ว และวันเดียวกันปลัด สธ.ในฐานะประธานบอร์ดองค์การเภสัชฯ สั่งชะลอการทำสัญญา ATK ของ Lepu
ต่อมาวันที่ 13 สิงหาคม นายกฯตั้งคณะกรรมการฟ้าทะลายโจรแห่งชาติ โดยมี พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานแทน นายอนุทิน ชาญวีรกุล และในวันเดียวกันปลัด สธ.ลงนามในหนังสือสั่งการให้จัดหาฟาวิพิราเวียร์ 424 ล้านเม็ด ตั้งแต่สิงหาคม-ธันวาคม
วันที่ 14 สิงหาคม นายกฯ สั่งย้ำจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ให้เพียงพอ ตามนโยบายผู้ป่วยต้องเข้าถึงยา โดยที่ ต.ค.- ธ.ค. ส่งมอบยาเดือนละ 100 ล้านเม็ด
ต่อมาวันที่ 17 สิงหาคม นายกฯ สั่งให้จัดหา ATK ต้องมีมาตรฐานที่ WHO รับรอง 22 สิงหาคม รมต.สธ. ยืนยันฟาวิพิราเวียร์มีผลการรักษาดี และ ATK ไม่มีการล็อกสเปก และวันนี้ 24 สิงหาคม นายกฯกลับลำ ไม่ต้องใช้ ATK ที่ WHO รับรอง
การที่ดิฉันเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี วันที่ 18 สิงหาคม ขอให้ท่านนายกฯบัญชาสั่งให้ อภ.ประมูล ATK Lepu ใหม่ให้ราคาถูกลงตามราคาจริงในท้องตลาด หลังจากนายกฯประกาศว่า ATK ที่จะจัดซื้อต้องมีมาตรฐาน WHO รับรอง ดิฉันคาดเดาไว้แล้วว่าในที่สุดการเบรกกันไปมา ระหว่างเรื่อง ATK Lepu และการสำรองฟาวิพิราเวียร์ 424 ล้านเม็ด ก็คงเหมือนละครไทยประเภทตบ-จูบ ตบ-จูบ ที่ในที่สุดลงท้ายด้วยประชาชนโดนตบทั้งซ้าย ทั้งขวา ส่วนนักการเมืองเขาก็ตกลงกันได้ ก็เท่านั้นเอง
สิ่งที่ประชาชนจะได้คือประโยชน์แบบไม่คุ้มค่าเม็ดเงิน ทั้งการใช้ฟาวิพิราเวียร์ แทนฟ้าทะลายโจร ในกลุ่มผู้ป่วยโควิดสีเขียวที่มีราคาแพงหลายเท่าตัว และ ATK Lepu ที่มีราคาแพงกว่าท้องตลาดเท่าตัว ที่อาศัยองค์การเภสัชฯจัดซื้อนั้น ประชาชนจะถูกหลอกให้หลงไปดูที่ราคากลาง 120 บาทหรือไม่ และหลงไปว่าได้ซื้อของราคาถูกกว่าราคากลางตั้ง 40% หรือไม่ ประชาชนจะถูกหลอกสำเร็จหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
ส่วนองค์การเภสัชกรรมในอดีตที่เคยถูกใช้เป็นเครื่องมือทุจริตจัดซื้อยาแพงหูฉี่ และโอนส่วนต่างให้นักการเมืองตามหลักฐานในบันทึกอยู่ในคำให้การของ ป.ป.ช.นั้น จะเกิดซ้ำรอยอีกครั้งในวิกฤตโควิด ปี 2564 หรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไปอีกเช่นกัน
ดิฉันหวังให้วิกฤตของบ้านเมืองในครั้งนี้ ผู้บริหารจะมีสำนึกและทำให้มีการบริหารจัดการที่ดี มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว โดยไม่มีค่าหัวคิวในการจัดซื้อ! และก็ได้แต่ภาวนาให้พวกท่านทั้งหลายจะไม่ต้องประสบชะตากรรมถูกดำเนินคดีตามมาตรา 157 เหมือนพวกฉ้อราษฎร์บังหลวงในอดีตที่ดิฉันเกาะติดตรวจสอบอยู่ 6 ปี จนอดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขได้รับวิบากกรรมถูกจำคุกและถูกยึดทรัพย์ในคดีทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ราคาแพง รวมทั้งอดีตข้าราชการในระดับบริหารอีกหลายคนที่ได้รับวิบากกรรมตามโทษานุโทษ