1.ผู้ติดเชื้อโควิดพุ่ง! ศบค.ยกระดับคุมพื้นที่สีแดงเข้ม ล็อกดาวน์-เคอร์ฟิว 14 วัน ด้าน “บิ๊กตู่” สละเงินเดือน 3 เดือนแก้โควิด!
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันเฉียดหมื่นเข้าไปทุกที โดยเมื่อวันที่ 8 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7,058 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 75 ราย, วันที่ 9 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,276 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 72 ราย, วันที่ 10 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,326 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 91 ราย ล่าสุด 11 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,539 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 86 ราย
หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดพุ่งไม่หยุด ปรากฏว่า ที่ประชุม ศบค. เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ได้เห็นชอบให้มีการล็อกดาวน์ 14 วัน ใน 6 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และยกระดับมาตรการควบคุมโรครวม 10 จังหวัดที่มีการระบาดรุนแรงของโควิด คือ กรุงเทพฯ ปริมณฑล 6 จังหวัด และสงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส โดยให้มีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.รวมทั้งมีมติเห็นชอบให้ขยายการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 2 เดือน จนถึงวันที่ 30 ก.ย.2564
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศไม่รับเงินเดือนเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์สำหรับการแก้สถานการณ์ โควิด-19
สำหรับอัตราเงินเดือนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ที่ 75,590 บาท/เดือน, เงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท/เดือน รวม 125,590 บาท เมื่อรวม 3 เดือนเป็นเงิน 376,770 บาท
สำหรับมาตรการการยกระดับเพื่อควบคุมโควิด-19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด มีดังนี้ 1.จำกัดการเคลื่อนย้ายและการดำเนินกิจกรรมของบุคคลให้มากที่สุด (เฉพาะกรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล) ประกอบด้วย กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนใช้การปฏิบัติงานในลักษณะ Work From Home ให้มากที่สุด โดยไม่กระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญ และการบริการประชาชน, ระบบขนส่งสาธารณะ ปิดให้บริการตั้งแต่ 21.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น, ร้านสะดวกซื้อ ตลาดโต้รุ่ง ปิดเวลา 20.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น
ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เปิดได้เฉพาะซูเปอร์มาเก็ต ร้านอาหารเครื่องดื่ม ธนาคารและสถาบันการเงิน ร้านขายยา และเวชภัณฑ์ ร้านอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสาร รวมถึงสถานที่ฉีดวัคซีน โดยเปิดได้ถึงเวลา 20.00 น., ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ห้ามบริโภคอาหารหรือสุราหรือเครื่องดื่มในร้าน โดยเปิดได้ถึงเวลา 20.00 น., ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการติดโรค ได้แก่ นวดเพื่อสุขภาพ สปา สถานที่เสริมความงาม, สวนสาธารณะ สามารถเปิดให้บริการสำหรับออกกำลังกายได้ถึงเวลา 20.00 น., ห้ามการรวมกลุ่มทำกิจกรรมทางสังคม ที่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ การประกอบอาชีพ กิจกรรมทางศาสนาหรือกิจกรรมตามประเพณี ที่มีการรวมตัวกันของบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
2.ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงหรือชะลอการเดินทางข้ามพื้นที่จังหวัดในช่วงระยะเวลานี้โดยไม่มีเหตุจำเป็น และห้ามออกนอกเคหะสถานระหว่างเวลา 21.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เว้นแต่มีความจำเป็นยิ่ง หรือได้รับอนุญาตเป็นรายกรณี 3.การควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้างยังเป็นไปตามข้อกำหนดของ ศบค. ที่ได้มีประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ศบค.ตั้งเป้าว่า มาตรการยกระดับดังกล่าว จะช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดลงได้ภายใน 2-4 สัปดาห์
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเดินทางข้ามจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดว่า เป็นเพียงการขอความร่วมมือ ไม่ถึงขั้นห้าม แต่การเดินทางเข้าหรือออกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดต้องแสดงหลักฐานความจำเป็นและมีด่านตรวจ หากแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน 2 เข็ม ก็จะช่วยได้มาก โดยในข้อกำหนดระบุไว้ว่าอาจทำให้การเดินทางจะไม่ได้รับความสะดวกเหมือนที่ผ่านมา จะใช้เวลาเดินทางมากขึ้นกว่าเดิม และการตั้งด่านเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. เนื่องจากกลัวการอพยพ ส่วนพื้นที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่จังหวัดในพื้นที่ดังกล่าวยังสามารถเดินทางได้ปกติ
2.ครม.ไฟเขียวจัดซื้อวัคซีน “ไฟเซอร์” 20 ล้านโดส ฉีดให้คนไทยฟรี ซื้อ “ซิโนแวค” เพิ่มอีก 10.9 ล้านโดส!
เมื่อวันที่ 6 ก.ค. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุขจัดหาวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์เบื้องต้น 20 ล้านโดส โดยมอบให้อธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นผู้ลงนามในสัญญา โดยให้เป็นไปตามข้อสังเกตของอัยการสูงสุด ในการไปเจรจากับบริษัทผู้ผลิตวัคซีน และไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของสัญญาได้ เนื่องจากเป็นข้อตกลงระหว่างกรมควบคุมโรคที่จะไปหารือกับบริษัทผู้ผลิตอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังเห็นชอบข้อตกลงกับทางสหรัฐอเมริกาที่จะมอบวัคซีนไฟเซอร์ช่วยเหลือประเทศไทยอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งเห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ดำเนินการจัดหาวัคซีนโมเดอร์นา เป็นวัคซีนทางเลือกที่ประชาชนจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเอง ต่างจากวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ ที่เป็นวัคซีนหลักที่รัฐต้องจัดหาและฉีดให้ประชาชนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
นายอนุชา เผยอีกว่า ครม.ยังได้อนุมัติโครงการจัดหาวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติม 10.9 ล้านโดส กรอบวงเงิน 6,111 ล้านบาท และจะจัดหาวัคซีนป้องกันโควิดที่ใช้เทคโนโลยีอื่น และสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์สูงกว่าควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ประชาชนตามแผนการจัดหาวัคซีนในส่วนที่เหลือ เพื่อให้สามารถจัดหาวัคซีนให้ประชาชนให้ครบ 150 ล้านโดส ภายในไม่เกินไตรมาสที่ 2 ของปี 2565
ด้านโลกโซเชียลได้พากันแชร์เรื่องราวสุดเศร้าของบุคลากรทางการแพทย์ หลังพบพยาบาลหอผู้ป่วยรวมรายหนึ่ง อายุ 30 ปี ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้ว แต่ติดเชื้อโควิด-19 และเสียชีวิตในที่สุด จึงเกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวคอีกครั้งว่า ช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิตหากติดโควิดจริงหรือ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะนี้การระบาดของโควิดใน กทม. พบสายพันธุ์อินเดียมากกว่าสายพันธุ์อังกฤษแล้ว โดย นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงเมื่อวันที่ 6 ก.ค. ว่า ข้อมูลวันที่ 1 เม.ย.-2 ก.ค.64 พบการระบาดของสายพันธุ์อินเดียใน กทม.52% ขณะที่สายพันธุ์อังกฤษพบอยู่ที่ 47% จากจำนวน 936 ตัวอย่าง
ขณะที่สื่อต่างประเทศรายงานว่า ขณะนี้บรรดานักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาของหลายประเทศต่างแสดงความกังวลต่อการแพร่ของเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ “แลมบ์ด้า” (Lambda variant) หรือเชื้อ ซี.37 (C.37) และหวั่นว่า สายพันธุ์แลมบ์ด้าอาจจะต้านทานวัคซีนป้องกันโควิดทั้งหมด
ด้านกระทรวงสาธารณสุขของมาเลเซียได้ออกมาเตือนว่า สายพันธุ์แลมบ์ด้าอันตรายกว่าสายพันธุ์อินเดียหรือเดลต้า โดยมีการตรวจพบเชื้อแลมบ์ด้าแล้วในกว่า 30 ประเทศในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
3. เกิดเหตุเพลิงไหม้-ระเบิดโรงงานหมิงตี้ฯ อพยพชาวบ้านวุ่น ใช้เวลากว่า 24 ชม.กว่าจะคุมเพลิงได้ “น้องพอส” อาสากู้ภัยดับ!
เมื่อวันที่ 5 ก.ค.เวลาประมาณ 03.00 น. ได้เกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ภายในโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด เลขที่ 87 ซอยกิ่งแก้ว 21 หมู่ 15 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งโรงงานดังกล่าวมีทั้งหมด 5-6 โกดัง โกดังแรกเก็บสารเคมีกว่า 50 ตัน ระเบิดไปแล้ว 20 ตัน และยังเหลือสารเคมีอีก 30 ตัน เจ้าหน้าที่ต้องเร่งควบคุมเพลิง
ทั้งนี้ แรงระเบิดส่งผลให้โรงงานที่อยู่ใกล้เคียงในรัศมี 500 เมตร ได้รับความเสียนับสิบโรงงาน นอกจากนี้ยังส่งผลให้บ้านเรือนและหมู่บ้านที่อยู่ในรัศมีได้รับความเสียหายจำนวนมาก ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ประกาศให้อพยพชาวบ้านที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ออกจากพื้นที่ไปยังศูนย์อพยพที่จัดไว้เพื่อความปลอดภัย
เหตุเพลิงไหม้โรงงานดังกล่าว ไม่เพียงเพลิงลุกไหม้รุนแรง จนยากต่อการดับ แต่ควันดำที่ลอยสู่ท้องฟ้าและไปได้ไกล ยังเป็นสารอันตรายต่อร่างกายอีกด้วย โดยนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า สารสไตรีนโมโนเมอร์ ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตโฟม มีคุณสมบัติติดไฟได้ง่าย ส่วนสารพอลิสไตรีนนั้น เมื่อถูกความร้อนสูง จะให้สาร 2 ชนิด คือ สไตรีน และเบนซีน โดยเบนซีนเป็นสารพิษอันตราย มีความเป็นพิษสูงและเป็นสารก่อมะเร็ง เมื่อสูดดมเป็นเวลานาน จะทำให้เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดได้
เป็นที่น่าสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาในการดับเพลิงที่ไหม้รุนแรงครั้งนี้นานมาก โดยใช้ทั้งน้ำและ ฮ.โปรยน้ำยาโฟมเพื่อดับไฟ ช่วงแรกเหมือนเจ้าหน้าที่จะเริ่มควบคุมเพลิงได้ช่วงกลางดึกวันเดียวกัน แต่ไม่นานเกิดเพลิงปะทุขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงระเบิด สุดท้ายควบคุมเพลิงได้เวลาประมาณ 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น (6 ก.ค.) แต่ให้หลัง 3 ชั่วโมง ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นอีก 3 ครั้ง พร้อมกลุ่มควันจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังฉีดโฟม ใช้เวลา 20 นาทีจึงควบคุมเพลิงไว้ได้ ก่อนที่ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ ปภ.จะนำ ฮ.2 ลำ ขึ้นบินเพื่อโปรยสารเคมีเพื่อป้องกันเพลิงปะทุขึ้นมาอีก หลังจากนั้นยังมีเสียงระเบิดดังอีกครั้งในเวลา 17.00 น. พร้อมเปลวเพลิง เจ้าหน้าที่ต้องใช้โฟมฉีดสกัด ก่อนที่ฝนจะตกลงมาเล็กน้อย กระทั่งเกือบ 18.00 น. เพลิงจึงสงบลงอีกครั้ง
ทั้งนี้ เหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานหมิงตี้ครั้งนี้ ส่งผลให้มีอาสาสมัครดับเพลิงบาดเจ็บหลายราย และเสียชีวิต 1 ราย คือ นายกรสิทธิ์ ลาวพันธ์ หรือพอส อายุ 19 ปี อาสาสมัครดับเพลิง หน่วย ธน 28-๐๐
ด้าน ดร.ไจตนย์ ศรีวังพล ผู้อำนวยการรายการสถานีวิทยุ สวพ. FM 91 ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เพื่อร่วมแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียน้องพอสว่า ได้มีโอกาสคุยกับคุณปอง พงศภัทร กตคุณวิสิทธิ์ หัวหน้าอาสาสมัครดับเพลิงสมเด็จเจ้าพระยา (ธน 28) ทำให้ทราบว่า น้องพอสมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักดับเพลิงมานานแล้ว และด้วยความที่เรียนหนังสือไม่เก่ง ทำให้น้องพอสเอาตัวเองออกมาจากระบบการศึกษา เรียนจบเพียงแค่ ม.3 เพื่อให้พี่เพชร พี่ชายของน้องพอส ได้มีโอกาสเรียนมหาวิทยาลัย ทาง สวพ. 91 จึงขอเป็นกำลังใจให้น้องพอส และมอบทุนการศึกษาจำนวน 100,000 บาท จากกองทุนเหรียญสลึงเพื่อน้องผู้ด้อยโอกาส เพื่อร่วมสานฝันน้องพอส ให้พี่ชายของน้องได้เรียนต่อจนจบ อย่างที่น้องพอสตั้งใจ
มีรายงานว่า เหตุผลที่น้องพอสอยากเป็นนักดับเพลิง ซึ่งน้องพอสเคยตอบกับผู้บังคับบัญชาตอนมาสมัครเป็นหน่วยกู้ภัยก็คือ “นี่คือความฝัน ถ้าผมเอาเวลาไปทิ้งเปล่า ก็คงไม่เกิดอะไร ผมอยากเอาเวลาที่เหลือมาทำงานเพื่อช่วยเหลือคน และเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ความสูญเสียมันเยอะ จึงอยากเป็นนักดับเพลิง”
สำหรับเหตุเพลิงไหม้โรงงานหมิงตี้ ทำให้ผู้ได้รับความเสียหายเข้าแจ้งความที่ สภ.บางแก้วแล้วไม่ต่ำกว่า 300 ราย ด้านนายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เผยว่า ได้มอบหมายให้ประกันสังคมจังหวัดสมุทรปราการลงพื้นที่ช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทนแก่ลูกจ้าง/ผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากเหตุระเบิดดังกล่าว เบื้องต้นมีผู้ประกันตนได้รับบาดเจ็บ 14 ราย และเสียชีวิต 1 ราย
ขณะที่นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เผยว่า กรอ.ได้สั่งปิดโรงงานหมิงตี้แล้ว หลังจากนี้จะตรวจสอบรายละเอียดถึงสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ โดยทาง กรอ.จะเร่งแก้ปัญหาและดำเนินการตามกฎหมายกับบริษัทหมิงตี้ฯ ต่อไป
ด้านบริษัท หมิงตี้ฯ ได้ออกจดหมายแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งสำหรับอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้น "ขอแสดงความเสียใจต่อโรงงานผู้ผลิตที่อยู่ใกล้เคียง บ้านเรือนที่อยู่อาศัย และบุคลากรที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุของเราในครั้งนี้ บริษัทขอแสดงความจริงใจอย่างเต็มที่ในการชดเชย"
"บริษัทฯ ขอแสดงความนับถือและขอบคุณรัฐบาลไทยและทุกภาคส่วนที่ร่วมกู้ภัย รวมถึงหน่วยงานกู้ภัยที่เกี่ยวข้อง อาสาสมัครและประชาชนใจบุญทุกท่านที่ให้ความช่วยเหลือ บริษัทฯ ขออภัยอีกครั้งต่อการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ และการสร้างความไม่สบายใจให้กับสังคม หลังจากตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว บริษัทฯ จะรับผิดชอบและชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องในครั้งนี้"
4. "จตุพร" นอนคุกอีกรอบ ศาลฎีกาพิพากษายืน ให้นับโทษขังต่อคดีหมิ่น "อภิสิทธิ์" ด้านเจ้าตัวฝาก "บ.ก.ลายจุด" ไล่ "พล.อ.ประยุทธ์" ต่อ!
เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ศาลอาญาได้อ่านคำสั่งฎีกาในคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 9 ส.ค.2561 ขอให้ยกเลิกหมายจำคุกคดีถึงที่สุด ซึ่งออกโดยศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 12 ก.พ.2561 ในคดีที่นายอภิสิทธิ์เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 กรณีกล่าวหานายอภิสิทธิ์ประวิงเวลาในการทำความเห็นเสนอต่อสำนักราชเลขาธิการ เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2560 ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ให้จำคุกนายจตุพร 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้นับโทษคดีจำคุกนายจตุพรต่อจากคดีกล่าวหานายอภิสิทธิ์เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดฆ่าประชาชน
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายจตุพร ให้สัมภาษณ์หลังฟังคำสั่งศาลฎีกาว่า ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้นับโทษคดีที่สองต่อจากคดีเเรกเมื่อคดีเเรกถึงที่สุด โดยระหว่างนี้ศาลอาญาอยู่ระหว่างตรวจสอบว่า โทษต่อจากคดีเเรกที่ให้นับต่ออีก 12 เดือน จะนับอีกเท่าไหร่
นายวิญญัติกล่าวด้วยว่า การที่จำเลยเข้าใจว่า การที่มีหมายปล่อยเมื่อรับโทษครบเเล้ว เป็นเรื่องที่ศาลดำเนินการปล่อยตัวตามหมายปล่อย เเต่ถ้าหากตอนนั้นยังไม่ปล่อย จำเลยย่อมได้สิทธินักโทษชั้นดีเเละได้รับสิทธิประโยชน์ตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ ที่ศาลฎีกาวินิจฉัยให้รับโทษต่อเนื่องจากการรับโทษไม่ครบ จำเลยจึงเห็นว่า ไม่ใช่ความผิดของจำเลย เเล้วใครจะรับผิดชอบ
มีรายงานว่า เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้นับโทษต่อคดีหมิ่นประมาทนายอภิสิทธิ์ ที่ศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุก 2 กระทง กระทงละ 6 เดือน รวม 12 เดือน ก่อนหน้านี้นายจตุพร เคยถูกจำคุกคดีนี้แล้ว 14 วัน จึงต้องนำมาหักจากโทษจำคุก 12 เดือน รวมต้องจำคุกนายจตุพร อีก 11 เดือน 16 วัน
ทั้งนี้ หลังศาลมีคำสั่งคดีนายจตุพร นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด นักกิจกรรมทางการเมือง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า นายจตุพรโทรหาหลังรู้คำพิพากษา โดยฝากภารกิจไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีด้วย โดยระบุว่า “ไม่ว่าคุณจะคิดยังไงกับ จตุพร พรหมพันธุ์ เมื่อสักครู่เมื่อศาลตัดสินจำคุกคดีหมิ่นฯนายอภิสิทธิ์ เขาโทรมาหาผมและพูดว่า “พี่จำเป็นต้องเข้าคุกอีกรอบ ฝากภารกิจ (ไล่ประยุทธ์) ให้น้องดำเนินการต่อ ขอให้ประสบความสำเร็จ”
5. จับอดีตทหารราดน้ำมันเตรียมเผาประตูทำเนียบประท้วงนายกฯ หลังไม่พอใจพ่อติดโควิด หาเตียงไม่ได้!
มีรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา ฝ่ายสืบสวน สน.ดุสิต และ กก.สืบสวน.บก.น.1 ได้นำกำลังเข้าจับกุมนายณัฐวุฒิ เทียมศักดิ์ อายุ 28 ปี ตามหมายจับของศาลอาญา ฐานเทหรือทิ้งสิ่งปฏิกูล มูลฝอย น้ำโสโครกหรือสิ่งอื่นใดลงบนถนน และตระเตรียมเพื่อกระทำความผิด วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น สามารถจับกุมได้ที่ บริเวณท้ายซอยลาดพร้าว 96 หน้าอาคาร 96 แมนชั่น
โดยเหตุเกิดเมื่อกลางดึกวันที่ 5 ก.ค. ทางพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ได้รับแจ้งเหตุมีบุคคลต้องสงสัยแต่งกายคล้ายทหารมาจอดรถจักรยานยนต์ บริเวณประตู 3 ทำเนียบรัฐบาล และเมื่อเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบ ได้ขับรถ จักรยานยนต์หลบหนีไป
จากการตรวจสอบบริเวณดังกล่าว พบถังสแตนเลสขนาดเล็กวางอยู่ ซึ่งผู้ต้องสงสัยได้เทราดของเหลว ไว้บริเวณพื้นหน้าประตู 3 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งของเหลวดังกล่าวเป็นน้ำมัน น่าเชื่อได้ว่า มีการเตรียมเพื่อกระทำผิดกฎหมาย พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานพิสูจน์ทราบตัวผู้กระทำความผิด และขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับ
ต่อมา เมื่อวันที่ 10 ก.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้พบชายมีลักษณะคล้ายกับบุคคลในภาพตามหมายจับ บริเวณซอยลาดพร้าว 96 จึงได้แสดงตัว พร้อมแจ้งข้อหาตามหมายจับนายณัฐวุฒิฯ ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ดุสิตดำเนินคดี
จากการสอบสวนเบื้องต้น นายณัฐวุฒิฯ ยอมรับว่า เคยเป็นทหารเกณฑ์ แต่ปัจจุบันปลดประจำการแล้ว ไม่ได้รับราชการหรือเกี่ยวข้องกับกองทัพแต่อย่างใด ส่วนสาเหตุที่กระทำผิด เนื่องจากพ่อติดโควิด หาเตียงเข้า รพ. ไม่ได้ จึงตัดสินใจจะจุดเผาประท้วงนายก แต่มีเจ้าหน้าที่มาตรวจพบก่อน จึงหลบหนี