ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ค้านแนวความคิดการฉีดวัคซีนไฟเซอร์แก่แพทย์ด่านหน้าเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ซัดอย่าเห็นแก่ตัว ทำชาวเน็ตเสียงแตกทั้งเห็นด้วย และวิจารณ์ยับ
เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โพสต์เฟซบุ๊ก “Nithi Mahanonda” แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นเข็มที่ 3 ให้แก่บุคลากรด่านหน้า ระบุว่า เป็นการเห็นแก่ตัวไปหรือไม่ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ฉีดเข็มแรกกันเลย ทำแพทย์เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันดุเดือด ทั้งนี้ หมอนิธิได้ระบุข้อความว่า
“ด้วยความเคารพและเห็นใจความกลัวการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว จนมีประกาศกันว่าจะให้บุคลากรด่านหน้าได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หลังจากได้วัคซีนไปครบแล้วสองโดส ผมขอให้ข้อคิดว่า
1. ต้องไม่ลืมว่าคนที่ได้รับวัคซีนครบแล้วไม่ว่าชนิดใดยังมีโอกาสติดเชื้อได้ ช่วงนี้มีรายงานว่าแพทย์พยาบาลติดเชื้อกันมากนั้นเป็นเพราะพวกเราด่านหน้าเสี่ยงได้รับเชื้อกว่าคนทั่วไปอยู่แล้วแม้จะมีอุปกรณ์ป้องกันเต็มที่อย่างดีแต่ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันทั้งโลก การที่พวกเรา (แพทย์) ตระหนกจะทำให้คนทั่วไปตื่นเต้นไปยิ่งกว่า
2. เรา (แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า และทุกคนที่แม้แต่คิด) ดูเห็นแก่ตัวไปไหมในขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่ได้วัคซีนสักเข็มเดียว ถ้าเราจะมารับการกระตุ้นด้วยเข็มที่สามกันก่อน
3. ยังไม่มีประเทศไหนในโลก ณ เวลานี้ที่แนะนำให้ฉีดกระตุ้นวัคซีนโควิด-19 ด้วยเข็มสามในตอนนี้ จะเป็นเมื่อไหร่ สามเดือน หกเดือน แต่ทั้งนี้ถ้าอยากรู้ก่อนอยากทำก่อนก็ทำได้ แต่….. ควรทำเป็นการศึกษาให้เป็นระบบ ไม่ควรทำแบบทำไปมั่วๆ เหมือนที่ผ่านมา ไม่เก็บข้อมูลมาวิเคราะห์ ไม่วางแผนให้เป็นระบบ ประเทศไทยก็จะไม่มีข้อมูลอีกเช่นเคยเหมือนในอดีต
ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่าทำเช่นนี้เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับ (บริจาค แลก ซื้อ) จำนวนพิเศษนี้หรือไม่ …..ไม่รู้จริงๆ ครับ พยายามช่วยหาเหตุผลอธิบายว่านโยบายการให้ฉีดกระตุ้นในบุคลากรการแพทย์นี้มีเหตุมีผลลึกๆ อะไร
4. หลายแสนโดสที่จะได้รับบริจาคให้พวกเราส่วนหน้ามากระตุ้นภูมิ ถ้าจะฉีดให้คนไทยที่ยังไม่เคยได้วัคซีนได้สามแสนห้าหมื่นคน จะสามารถช่วยชีวิตไว้ได้สามสี่พันคนทีเดียว ดีกว่าไปหาทางเพิ่มเตียงไหมครับ
5. ทำเช่นนี้ (ออกข่าว ปชส.ว่าแพทย์ใช้การกระตุ้นภูมิเข็มสาม) เท่ากับสร้างกระแสความเชื่อให้คนมีเงิน (ขี้อวด และขี้กลัว) แห่กันไม่ฉีดวัคซีนหลักที่มีขณะนี้ของรัฐบาลอยู่ แต่รอไปเสี่ยงติดเชื้อและแพร่เชื้อด้วยไปอีกหลายๆ เดือนเพื่อรอ mRNA vaccine ทางเลือก และนอกจากนี้จะมีคนวีไอพี (ที่คนละประเภทกับ VIP ผม) ที่ไม่มีเงิน (แต่มีเครือข่ายมีสายมีเส้น) แห่กันไปลัดคิวแย่งคิววัคซีนหลักเพื่อกระตุ้นภูมิของคนที่ยังไม่ได้วัคซีนสักเข็มเดียว สังคมเราจะยิ่งมีความเหลื่อมล้ำไปกันใหญ่ไหมครับ ถ้าประเทศเรามีวัคซีนเกินพอ ผมเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์กับนโยบายนี้
6. ผมไม่แย้งไม่เถียงว่ามีข้อมูลทางการแพทย์มากมายที่ทำให้อาจคิดและอาจทำให้เชื่อต่อได้ว่าการได้รับวัคซีนกระตุ้นนั้นจะทำให้ป้องกันสายพันธุ์ใหม่ได้ดีขึ้น แต่รู้ได้อย่างไรล่ะครับว่ากระตุ้นเร็วหรือช้าในเวลานี้จะให้ผลเสียมากหรือน้อยกว่ากัน อย่าคิดแค่มุมที่ดีมากหรือน้อยกว่ากัน อย่าหลงตามกันไป จะตอบคำถามนี้ได้ “ต้อง” วิจัยและศึกษาให้เป็นระบบ อย่าสักแต่ว่า เชื่อ ฟัง และได้ยินเขาว่า ต่อๆ กันมา
7. ผมพูดมาตลอดว่าการระบาดของโรคใดๆ นั้นเป็นเรื่องของสังคมศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์ วัคซีนไม่ใช่คำตอบเดียว ถ้าทำตามแนวทางและประชาสัมพันธ์ส่งเสริมที่จะให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเข็มที่สาม ณ เวลานี้มีแต่จะทำให้เกิดความสับสน และแตกแยก เหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้นอย่างแท้
ผมไม่รู้ความตั้งใจของที่มาของการบริจาคมีเจตนาอย่างไร เล็งเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำที่จะเกิดขึ้นไหม หรือเป็นเพียงแค่การตลาดบริษัทยา ปกติผมไม่ค่อยชอบค้านอะไรตรงๆ แบบนี้ แต่คราวนี้ขอผิดกติกาตัวเอง สงสารคนไทยอีกหลายสิบล้านคนที่ยังไม่ได้วัคซีน ผมขอค้านไม่เห็นด้วยในการให้ฉีดกระตุ้นเข็มสามในเวลานี้ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับวัคซีนครับ ถ้าใครจะได้รับการกระตุ้นเข็มที่สามควรต้องอยู่ในการศึกษาวิจัยที่เป็นระบบเท่านั้น ไม่เช่นนั้นท่านเห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกเกินไปครับ”
ล่าสุดวันนี้ (7 ก.ค.) ศ.นพ.นิธิ ออกมาโพสต์ข้อความอีกครั้ง ระบุขอโทษต่อการใช้คำพูดที่ไม่สุภาพ หลังระบุว่า แพทย์จะเห็นแก่ตัวไปหรือไม่ โดยเจ้าตัวได้กราบขอโทษไม่มีเจตนาดูแคลนใคร และปลี่ยนมาใช้คำว่า “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง”