ดรามาโซเชียลฯ แห่วิจารณ์หลังพบเอกสารบันทึกการประชุมของคณะกรรมการ 3 ฝ่าย หลุด มีเนื้อหาค้านฉีดวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็ม 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์ เพราะเท่ากับยอมรับ “ซิโนแวค” ไม่มีผลในการป้องกัน ล่าสุดอนุทินยอมรับแล้วว่าเอกสารหลุดจริง
เมื่อวันที่ 4 ก.ค. เพจ “BTimes” ของนายบัญชา ชุมชัยเวทย์ ผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจชื่อดัง ได้โพสต์ภาพเอกสารบันทึกการประชุมเฉพาะกิจร่วมระหว่างคณะกรรมการด้านวิชาการ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะทํางานวิชาการด้านบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน ซึ่งเป็นการประชุมเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
โดยเนื้อหาเอกสารดังกล่าวมีวาระการประชุมที่น่าสนใจ เช่น ที่ประชุมประเมินว่าจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 จำนวน 1.5 ล้านโดส และจะได้รับในไตรมาสที่ 4 รวม 20 ล้านโดส และวาระเกี่ยวกับการจัดทำข้อเสนอแนวทางบริหารจัดการวัคซีน มีรายละเอียดว่า ควรมุ่งเน้นไปที่บุคคลทั้ง 3 กลุ่ม ได้แก่
1. บุคคลอายุ 12-18 ปี
2. กลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่ได้วัคซีน ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์
3. ให้บุคลากรด่านหน้ากระตุ้นภูมิคุ้มกัน เป็นวัคซีนเข็มที่ 3
โดยที่ประชุมมีการแสดงความคิดเห็นหลายแนวทาง เช่น ควรให้กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยง หญิงตั้งครรภ์ และแก้ปัญหาที่พื้นที่ระบาดก่อน ในขณะที่บางส่วนเห็นว่ากลุ่มบุคคลอายุ 12-18 ปียังสามารถรอวัคซีนจากการสั่งซื้อได้
แต่ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เป็นวัคซีนเข็มที่ 3 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าเพื่อเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ปรากฏว่าส่วนหนึ่งเห็นด้วย เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นกำลังสำคัญ ถึงแม้จะได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคจำนวน 2 เข็มแล้ว แต่บุคลากรการแพทย์ก็ยังเกิดการติดโรคระบาดโควิด-19 หลายราย ในขณะที่บางส่วนมีความเห็นว่า “ในขณะนี้ถ้าเอามาฉีดกลุ่ม 3 แสดงว่ายอมรับว่า Sinovac (วัคซีนหลักที่ไทยใช้อยู่) ไม่มีผลในการป้องกัน แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น”
ทั้งนี้ มติที่ประชุมคณะดังกล่าวสรุปแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์ในเดือน ก.ค.-ส.ค. 64 โดยเห็นชอบควรให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับระยะแรก จำนวน 1.5 ล้านโดส เป็นวัคซีนเข็มที่ 1 ให้แก่กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป โดยเน้นในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรง คือ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล”
อย่างไรก็ตาม หลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ไป พบว่าชาวเน็ตได้แสดงความไม่พอใจต่อเอกสารฉบับดังกล่าวจำนวนมาก และมีการแชร์ไปวิพากษ์วิจารณ์ไปมากมาย และมองว่ารัฐบาลเห็นแก่ตัว และไม่รับผิดชอบต่อประชาชน โดยโพสต์มียอดแชร์กว่า 7,700 ครั้งด้วยกัน
ทั้งนี้ วันนี้ (5 ก.ค.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในกรณีดังกล่าวว่า “เพราะมันเป็นเรื่องของทางวิชาการ ตราบใดที่ยังไม่ได้มาเป็นขั้นตอนการปฏิบัติก็ยังไม่ได้ถือมีผลอะไร ก็ถูกแล้ว บทสุรปตรงนั้นก็ยังไม่ได้เป็นแนวทางปฏิบัติ ก็ยังต้องมาเข้า เข้าคณะกรรมการโรคติดต่อ มาเข้าคณะกรรมการวัคซีน ซึ่งไม่รู้ว่าตรงนั้นจะต้องมาถกเถียงกันอย่างไรอีก”
และขอไม่ให้ความเห็นว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะนำวัคซีนของไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาคจากสหรัฐฯ 1.5 ล้านโดส มาฉีดเป็นเข็มที่ 3 ให้บุคลากรการแพทย์ ส่วนประเด็นเรื่องความแน่นอนว่าวัคซีนจำนวนดังกล่าวจะเข้ามาในเดือน ก.ค.จริงหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “ต้องไปถามกระทรวงการต่างประเทศ”