“อำนาจ กุสลานันท์” กรรมการแพทยสภา อดีตนายกแพทยสภา โพสต์ข้อความแนะให้ภาครัฐพิจารณาควรฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 “ไฟเซอร์” ให้บุคลากรทางการแพทย์ ชี้เพื่อประคองให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้
จากกรณีของเอกสารสรุปการประชุมเฉพาะกิจร่วมระหว่างคณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะทำงานด้านบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีข้อสรุปแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์ที่คาดว่าจะนำเข้าสู่ประเทศไทยเดือน ก.ค. จำนวน 1.5 ล้านโดส ให้เน้นกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง 7 โรคในพื้นที่ระบาด
จากเอกสารดังกล่าวพบว่ามีการจัดทำข้อเสนอแนวทางบริหารจัดการวัคซีน ว่าควรมุ่งเน้นไปที่บุคคลสามกลุ่ม คือ
1. บุคคลอายุ 12-18 ปี
2. กลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่ได้วัคซีน ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์
3. ให้บุคลากรด่านหน้ากระตุ้นภูมิคุ้มกัน เป็นวัคซีนเข็มที่ 3
โดยมีความเห็นหนึ่งระบุว่า ถ้าหากเอามาฉีดกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ แสดงว่ายอมรับว่าซิโนแวค ไม่มีผลในการป้องกันและจะแก้ตัวยากมากขึ้น
เมื่อวันที่ 4 ก.ค. เฟซบุ๊ก “อำนาจ กุสลานันท์” กรรมการแพทยสภา อดีตนายกแพทยสภา ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กถึงแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งแนะควรฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้บุคลากรทางการแพทย์
ระบุว่า “เรียน นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.
ตามที่ประเทศไทยจะได้รับวัคซีนไฟเซอร์จำนวน 1.5 ล้านโดสในเดือน ก.ค.-ส.ค. 64 มานั้น ผมทราบมาว่ามติที่ประชุมของคณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 64 ได้มีผู้เสนอให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ได้วัคซีนซิโนแวคสองเข็มไปแล้วระยะหนึ่งได้รับวัคซีนนี้ แต่ต่อมาที่ประชุมมีมติไม่ให้วัคซีนดังกล่าวแก่บุคลากรทางการแพทย์ ผมมีความเห็นว่าแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะได้รับเชื้อ รวมทั้งเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญสูงมากในขณะนี้ที่มีภาระหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยทั้งหมด
ถ้าหากกำลังคนที่สำคัญในภาวะวิกฤตนี้ติดเชื้อจะซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก เพราะการที่คนใดคนหนึ่งในกลุ่มบุคลากรที่กำลังทำหน้าที่เพื่อชดเชยอัตรากำลังคนที่ขาดแคลนอย่างที่สุดในตอนนี้ติดเชื้อจะทำให้มีบุคลากรที่เกี่ยวข้องต้องถูกกักตัวเนื่องจากเป็นผู้ความเสี่ยงสูงอีกจำนวนมาก ดังที่ได้มีการประกาศปิดห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ห้องคลอด หรือทั้งโรงพยาบาลมาเป็นระยะๆ ทำให้ผู้ป่วยและประชาชนมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกทั้งจากโควิด และภาวะฉุกเฉินอื่นๆ
ดังนั้น การป้องกันการติดเชื้อในบุคลากรกลุ่มนี้จึงมีความสำคัญสูงสุดและจำเป็นเร่งด่วนเพื่อประคองให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาให้ฉีดวัคซีนดังกล่าวแก่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ดูแลผู้ป่วยด้วยครับ
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อำนาจ กุสลานันท์
กรรมการแพทยสภา
อดีตนายกแพทยสภา”