“รสนา” เห็นด้วยกับ “ยุทธศาสตร์ขนมครก” ที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอ คือ การลงไปแก้ปัญหาแต่ละคลัสเตอร์เป็นจุดๆ ไป แนะกระจาย “ฟ้าทะลายโจร” ไปตามคลัสเตอร์โดยเร็วที่สุด เพื่อหยุดโควิด หากกระทรวงสาธารณสุขเมินเฉย ตนจะขอบริจาคส่งให้ทุกคลัสเตอร์ที่ขอมา
วันที่ 23 มิถุนายน 2564 น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. กทม. ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า ...
ยุทธศาสตร์ขนมครกควรใช้ฟ้าทะลายโจรหยุดระบาดโควิด
ข่าวจากสื่อมวลชนวันนี้ ว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดตามคลัสเตอร์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ในขณะที่เตียงผู้ป่วยใน รพ.สำหรับผู้ป่วยโควิดถึงจุดวิกฤต คือ ไม่มีเตียงเพียงพอจะรับผู้ป่วยหนัก
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขถึงกับเสนอยุทธศาสตร์ขนมครก คือ การลงไปแก้ปัญหาแต่ละคลัสเตอร์หรือแต่ละหลุมขนมครกเป็นจุดๆ ไป โดยสื่อรายงานว่า ภาพรวมในจังหวัดสมุทรปราการมีการติดเชื้อทุกอำเภอ มีคลัสเตอร์เกิดขึ้นถึง 41 คลัสเตอร์ ทั้งการติดเชื้อในโรงงาน นิคมอุตสาหกรรม ตลาด ชุมชน คอนโดมิเนียม และแคมป์คนงานก่อสร้าง เนื่องจากการติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์เล็กๆ ในการควบคุมการระบาดของโรค จึงเสนอให้ใช้ยุทธศาสตร์ ขนมครก โดยสุ่มตรวจพื้นที่ต่างๆ ในชุมชนที่มีการติดเชื้อ เมื่อพบผู้ติดเชื้อนำเข้าสู่การรักษา และใช้วัคซีนฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่นั้น โดยกำหนดจำนวนให้เหมาะสมเพื่อควบคุมโรคในพื้นที่ ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้ ประสบความสำเร็จมาแล้วในพื้นที่เขตบางแค และคลองเตย กรุงเทพมหานคร
ดิฉันเห็นว่า ในระหว่างการจัดหาวัคซีนมาฉีดเชิงรุกให้กับคลัสเตอร์เหล่านี้ อาจจะไม่ทันการณ์ เข้าตำรากว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้หมดแล้ว เพราะแต่ละคลัสเตอร์ที่เกิดขึ้นเพราะมีผู้ติดเชื้อแล้ว คนติดเชื้อก็จะแพร่เชื้อต่อให้คนในพื้นที่นั้น แพร่เชื้อให้คนในครอบครัว ให้คนในชุมชนทำให้การระบาดขยายวงกว้างขึ้นไม่สิ้นสุด
สิ่งที่ควรทำในขณะนี้ คือ ประกาศให้แต่ละคลัสเตอร์ที่ติดโควิดให้ใช้ฟ้าทะลายโจรทันที จากการใช้ฟ้าทะลายโจรที่ผ่านมาพบว่าฟ้าทะลายโจรเหมาะอย่างยิ่งกับผู้เริ่มติดเชื้อหรือผู้เสี่ยงติดเชื้อ สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้ทันทีในระยะเวลาอันสั้น ควรทำอย่างด่วนที่สุดทุกคลัสเตอร์หรือทุกหลุมขนมครกได้ทันที โดยไม่ต้องใช้วิธีสุ่มตรวจเลยเพราะใช้งบประมาณไม่มากและฟ้าทะลายโจรมีความปลอดภัยสูง
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา ดิฉันมีโอกาสฟังเสวนาเรื่องฟ้าทะลายโจรของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในรายการของนพ.เอนก มุ่งอ้อมกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 สระบุรีได้เสนอประสบการณ์จากการเก็บข้อมูลผู้ต้องขัง(ผตข)ที่ติดเชื้อโควิดในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยท่านได้เปรียบเทียบการใช้ฟ้าทะลายโจร กระชายสกัด ฟ้าทะลายโจร+ กระชายสกัด และฟาวิพิราเวียร์ สิ่งที่ท่านรายงานน่าสนใจมาก ท่านพบว่า ผตข.ที่ใช้ฟ้าทะลายโจร หรือกระชายสกัด หรือฟ้าทะลายโจร+ กระชายสกัด ตรวจไม่พบเชื้อโควิดในร่างกาย ผตข.ภายใน 8 วัน ส่วนผตขที่ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ตรวจไม่พบเชื้อในเวลา 12 วัน
สอดคล้องกับข้อมูลที่ดิฉันเก็บจากผู้ป่วยติดเชื้อโควิดและผู้เสี่ยงติดเชื้อโควิด พบว่าฟ้าทะลายโจรคือยาที่ช่วยทะลายโควิดตั้งแต่เริ่มต้น กรณีหนึ่งในคลองเตยที่มีแรงงานหญิงชาวลาวตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด แต่ไม่มี รพ.สนามให้กักตัว ต้องกักตัวในห้องพัก และกินฟ้าทะลายโจร 3แคปซูล/มื้อ วันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 5 วัน เก็บตัวรวมทั้งสิ้น 24วัน หายเป็นปกติ และเมื่อไปตรวจเชื้อเมื่อวันที่1 มิถุนายน 2564 พบว่ามีภูมิคุ้มกันโควิดอีกด้วย
เคสต่อมาคือ ครอบครัวที่ลูกชายติดโควิด แต่ รพ.ให้กลับบ้าน กว่าจะได้เตียง คนไข้ต้องพักอยู่บ้าน 2 วัน ดิฉันส่งยาฟ้าทะลายโจรให้ครอบครัวนี้กิน พ่อแม่ผู้ป่วยกินฟ้าทะลายโจรเป็นเวลา 5 วัน วันละ 3 ครั้ง เมื่อไปตรวจเชื้อในวันที่ 5 พ.ค พบว่าไม่ติดโควิด ส่วนลูกชายคนเล็กไม่ได้กินเพราะไม่คิดว่าจะติดเชื้อ เมื่อไปตรวจพบว่าติดเชื้อโควิดต้องไปกักตัวที่บางขุนเทียน 14 วัน
ดิฉันจึงเห็นว่ายุทธศาสตร์ขนมครกของท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข ต้องทำด้วยความรวดเร็ว สิ่งที่เร็วที่สุด ง่ายที่สุด คือกระจายยาฟ้าทะลายโจรลงไปในแต่ละคลัสเตอร์ทันที เพื่อหยุดการแพร่ระบาดโควิดต่อ หลังจากนั้นก็ตรวจดูภูมิคุ้มกัน ถ้ามีภูมิคุ้มกันก็ไม่ต้องฉีดวัคซีน ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกันค่อยฉีดวัคซีน เพราะอย่างไรก็ตามคนที่ฉีดวัคซีน ก็ต้องรอให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะไม่ทันการณ์กับการต้องรีบหยุดยั้งการขยายตัวของไวรัสโควิด สำหรับผู้ติดเชื้อโควิดแล้ว ไม่มีอะไรดีกว่าฟ้าทะลายโจร เพราะฟ้าทะลายโจรสามารถหยุดยั้งการขยายตัวของไวรัส และหยุดยั้งไวรัสเข้าเซลล์เพื่อใช้เซลล์เป็นที่ขยายตัว
ดิฉันขอประกาศถึงบรรดาคลัสเตอร์ที่ติดโควิดหากกระทรวงสาธารณสุขไม่กระจายฟ้าทะลายโจร ดิฉันจะขอบริจาคส่งให้ทุกคลัสเตอร์ที่ขอมา ขอให้ติดต่อดิฉันผ่านเพจ รสนา โตสิตระกูล
ขอให้เรามาช่วยกันหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดให้เร็วที่สุด เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ กลับมาทำการค้าขายได้โดยเร็ว เป็นการอยู่รอดของระบบเศรษฐกิจของประเทศและช่วยระบบสาธารณสุขที่กำลังตกอยู่ในสภาพวิกฤตไม่ล่มสลายไปกับการระบาดหนักของโควิด