1.ผู้ติดเชื้อโควิดในไทยยังพุ่ง พบสายพันธุ์อินเดียแล้วหลายสิบราย สายพันธุ์แอฟริกาก็มาแล้ว!
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังสูง เริ่มจากเมื่อวันที่ 16 พ.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,302 ราย เสียชีวิต 24 ราย วันที่ 17 พ.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,635 ราย โดยเป็นผู้ติดเชื้อในเรือนจำ 6,853 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 25 ราย วันที่ 18 พ.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,473 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในเรือนจำ 680 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 35 ราย วันที่ 19 พ.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,394 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในเรือนจำ 1,498 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 29 ราย วันที่ 20 พ.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,636 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในเรือนจำ 671 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 25 ราย วันที่ 21 พ.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,481 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในเรือนจำ 951 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 32 ราย
ล่าสุด (22 พ.ค.) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,052 ราย เป็นผู้ติดเชื้อจากเรือนจำ 605 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 24 ราย
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เผยว่า แนวโน้มการพบผู้ป่วยใน กทม.ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของจำนวนคลัสเตอร์ และในแง่ของพื้นที่ที่พบในเขตต่างๆ เพิ่มขึ้น เตรียมระบบการส่งต่อผู้ป่วยเพิ่มขึ้น โดยแบ่งโซนในการรับผู้ป่วย มี 28 คลัสเตอร์ที่อยู่ในการเฝ้าระวัง พบเพิ่มอีก 6 คลัสเตอร์ใน 5 เขต เขตคลองเตย แคมป์ก่อสร้าง บริษัท อิตาเลียนไทย (1) แคมป์ก่อสร้าง บริษัท อิตาเลียนไทย (2), เขตห้วยขวาง แคมป์ก่อสร้าง บริษัท อิตาเลียนไทย, เขตบางคอแหลม แคมป์ทวีพร, เขตปทุมวัน แคมป์โปโล, เขตบางรัก แคมป์ก่อสร้างฤทธา
สำหรับแคมป์คนงานก่อสร้าง ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นคนไทย, ต่างชาติ เข้าเมืองมาถูกกฎหมายหรือไม่ สามารถขอรับการตรวจคัดกรองได้ ขอให้ผู้ประกอบการพาแรงงานที่ดูแลมาตรวจ มีการจัดสรรงบประมาณในการตรวจหาเชื้อเพิ่มเติมไว้แล้ว
เป็นที่น่าสังเกตว่า เริ่มพบเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียระบาดในไทยแล้วหลายราย โดยเมื่อวันที่ 21 พ.ค. นพ.ทวีศิลป์ เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบรายงานว่า ขณะนี้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในแคมป์คนงานหลักสี่ โดยมีคนงาน 15 คน มีผลตรวจพบโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย หรือ B1.617.2 ขณะนี้ได้เข้ารับการดูแลในโรงพยาบาลเป็นอย่างดี และส่งทีมสอบสวนโรคเข้าไปดูแลและป้องกันการติดเชื้อ
วันเดียวกัน (21 พ.ค.) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยว่า กรมฯ ได้ตรวจรหัสพันธุกรรมจากตัวอย่างที่ส่งมาจากแคมป์คนงานก่อสร้าง และบริเวณใกล้เคียง จำนวน 80 ตัวอย่าง พบว่า เป็นสายพันธุ์อินเดีย จำนวน 36 ราย เป็นคนไทย 21 ราย คนงานชาวพม่า 10 ราย และกัมพูชา 5 ราย ที่เหลือเป็นสายพันธุ์อังกฤษ (B.1.1.7) และยังมีตัวอย่างจากการค้นหาเชิงรุก จากพื้นที่อื่นใน กทม.อีก 2 แห่ง แต่พบเป็นสายพันธุ์อังกฤษทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ในประเทศไทย เชื้อที่พบจะเป็นสายพันธุ์อังกฤษ 87% เพิ่งตรวจพบสายพันธุ์อินเดีย และจะได้ขยายการนำตัวอย่างจากคลัสเตอร์อื่นๆ มาตรวจรหัสพันธุกรรม เพื่อดูการกระจายตัวต่อไป
นพ.ศุภกิจ กล่าวด้วยว่า จากข้อมูลของ Public Health England พบว่า สายพันธุ์อินเดียมีการแพร่กระจายได้ค่อนข้างรวดเร็วคล้ายกับสายพันธุ์อังกฤษ แต่ยังไม่พบหลักฐานที่มีผลต่อความรุนแรง หรืออัตราการเสียชีวิต และยังตอบสนองต่อวัคซีนได้อยู่ จึงไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไป
ด้าน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงโควิดสายพันธุ์อินเดียว่า ดูตามหลักพันธุกรรมแล้ว สามารถแพร่กระจาย หรือติดต่อได้ง่าย หรือง่ายกว่าสายพันธุ์อังกฤษ จึงจะทำให้เกิดการระบาดกว้างขวางขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ศ.นพ.ยง ยืนยันว่า วัคซีนที่มีอยู่ในประเทศไทย ยังสามารถป้องกันหรือลดความรุนแรงของสายพันธุ์อินเดียได้ ดังนั้นการจะยับยั้งการระบาดของสายพันธุ์นี้ได้ดีในขณะนี้ คือการให้วัคซีนให้เร็วที่สุด และให้หมู่มากที่สุด
ขณะที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก (22 พ.ค.) แนะนำว่าควรจัดฉีดวัคซีนโควิดทุกจุดในประเทศโดยไม่ต้องลงทะเบียน แค่มีบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อให้คนไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น "วัคซีน ฉีดกันทุกจุดทุกมุมได้เลยไหม? ทุกพื้นที่ในประเทศ ไม่ต้องลงทะเบียนก่อน เดินไปเดินมา มีบัตรประชาชนเป็นพอ ไม่ต้องถามอะไรแล้ว เพราะผลข้างเคียงไม่บ่อย เข็มแรก เข็มสองอะไรก็ได้ จำง่ายๆ ห่างกัน 1 เดือน มีรถพยาบาลอยู่กระจายไปทั่ว ตอนนี้รถไม่ติด มีอะไรรับไป รพ.แถวนั้นสบายมาก"
ทั้งนี้ นอกจากไทยจะเริ่มพบการระบาดของโควิดสายพันธุ์อินเดียในแคมป์ก่อสร้างและบริเวณใกล้เคียงแล้ว ล่าสุด (22 พ.ค.) ยังมีการตรวจพบสายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่ จ.นราธิวาสแล้ว โดยกลุ่มพันธมิตร COVID-19 Network Investigations (CONI) ซึ่งประกอบด้วย นักวิทยาศาสตร์ที่สังกัดสถาบันในไทยและต่างประเทศ ที่ได้รับการประสานจากกระทรวงสาธารณสุขให้ร่วมสืบสวนคลัสเตอร์ ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งอาจเป็นคลัสเตอร์ที่ติดเชื้อจากผู้ลักลอบเข้าเมือง
โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดเก็บชุดตัวอย่างกลุ่มนี้เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ก่อนส่งต่อให้ CONI ถอดรหัสพันธุกรรม เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ซึ่งผลการถอดรหัสพันธุกรรมระดับจีโนม พบว่า เป็นเชื้อสายตระกูล B.1.351 หรือสายพันธุ์แอฟริกาใต้ และได้ส่งข้อมูลทั้งหมดให้กระทรวงสาธารณสุขแล้ว
2.“พิมรี่พาย” กราบขอโทษ “ทักษิณ” หลังสวนกลับแล้วถูกรุมถล่ม พร้อมด่า “หมอวรงค์” แรง ด้านหมอวรงค์เข้าใจ เคยเรียนจิตเวชมา!
จากกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และผู้หลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปี คดีซื้อที่รัชดาฯ ได้ร่วมเสวนาใน CARE Clubhouse x CARE Talk #เป็นไงวัยรุ่น : ปลดล็อกยูนีคสกิลสู่ยุคใหม่ของวัยเยาวรุ่น กับ Tony Woodsome เฮ้! เป็นไง : มาปลดล็อกยูนีคสกิลสู่ “ยุคใหม่ของวัยเยาวรุ่น” กับ Tony Woodsome โดยบางช่วงมีการพูดเหน็บรัฐบาลเกี่ยวกับการสร้างโรงพยาบาลสนามในเรือนจำ โดยมีการพาดพิงถึง “พิมรี่พาย” ยูทูบเบอร์ชื่อดังด้วยว่า “หรือถ้าตั้ง (รพ.สนาม) มันแพง ก็ไปขอพิมรี่พายตั้งให้” นั้น
ปรากฏว่า ในเวลาต่อมา (19 พ.ค.) พิมรี่พาย พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์ ได้ไลฟ์สดหลังถูกนายทักษิณพาดพิงถึง โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า อยากจะฝากถึงคุณทักษิณ ที่มีการพูดถึงตนในไลฟ์สดเมื่อคืน ท่านอยู่นอกประเทศ จะพูดอะไรก็ได้ แต่คนที่อยู่ในประเทศเขาจะซวยเอา ดังนั้น จึงขอความกรุณาอย่าลากตนไปเกี่ยวข้อง เอาไปเป็นเครื่องมือเพื่อเหน็บแนมฝ่ายตรงข้าม อย่าเปลี่ยนเจตนาของตนที่อยากจะตอบแทนสังคม เพราะการออกมาพูดแบบนี้ ทำให้ตนถูกหลายฝ่ายต่อว่า ซึ่งจุดประสงค์ของตนคืออยากจะทำความดี ยังมีอีกหลายโครงการที่อยากจะทำ พูดทีตนก็โดนด่า ไม่ใช่เรื่องหรือไม่ ทำความดีต้องมาโดนด่าหรือไม่ พร้อมกับกล่าวด้วยว่า “ดิฉันอยากอยู่ในประเทศ ไม่ได้อยากตายในต่างประเทศ?”
พิมรี่พาย กล่าวอีกว่า ตนเองแค่อยากตอบแทนให้กับสังคม กรุณาอย่าเอาไปเปรียบเทียบกับรัฐบาล หรือเอาไปใช้ในการเมือง เพราะตนเองเป็นแค่คนธรรมดา ทำเพราะอยากตอบแทน อย่าแปลเจตนาผิด
พิมรี่พาย ยังกล่าวในเวลาต่อมาด้วยว่า “เมื่อเช้าพิมซื้อของบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ โดยไม่ได้ทำเป็นคอนเทนต์ แค่ต้องการช่วยหลังบ้าน ซื้อของไป 2 แสนกว่า แต่แค่คุณทักษิณพูดถึง 5 วินาทีเมื่อคืน ของบริจาคถูกส่งไปตอนเช้า 9 โมง โดยไม่ประสงค์ออกนาม หน่วยงานนั้นให้เอาของกลับ ไม่รับของจากฉัน กลัวมีปัญหา นี่แค่ชม 5 วินาทีเอง” พิมรี่พาย เผยอีกว่า โดนอำนาจมืดข่มขู่จะตรวจสอบ ทั้งยังโดนแอคหลุมด่า หลังจากนายทักษิณพูดถึงตนเพื่อแซะรัฐบาล จึงเป็นเหตุผลให้เธอไม่อยากให้ใครนำตัวเองไปโยงกับการเมือง
“ทำไมถึงไม่อยากให้โยงการเมือง เพราะฉันขยับตัวไม่ได้เลย ธุรกิจพิมทำอย่างสุจริตและเสียภาษี ระวังตัวที่สุด ให้คนไปขอตั้งโรงพยาบาลที่คลองเตย รออยู่ 2 อาทิตย์ เขาไล่ฉันกลับมา แถมยังต้องแบกรับภาระลูกน้องอีกหลายชีวิต แต่พอถูกโยงว่ามีปัญหา ความจริงโดนโยงมาหลายครั้ง แต่พูดไม่ได้”
“พิมเพิ่งมารวยแค่ 2 ปีนี้เอง จนมาก่อน เป็นแม่ค้าตลาดนัด เรียนก็ไม่จบ เลยเข้าใจคนจน ช่วยเพราะเข้าใจหัวอกคนจน คิดตอบแทนคืนให้สังคมบ้าง ยิ่งคุณทักษิณพูดถึง 5 วินาที มีเอฟเฟคมากมาย ท่านพูดขบขำกดดันรัฐบาล แต่ทำให้เราซวย เดือดร้อนจากคำพูดของท่านจริงๆ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังพิมรี่พายพูดเชิงตำหนิและเหน็บนายทักษิณ ปรากฏว่า ได้ถูกผู้สนับสนุนนายทักษิณหลายคนรุมตำหนิทางโซเชียลอย่างหนัก
ขณะที่ วันต่อมา 20 พ.ค. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ทำนองชื่นชมพิมรี่พาย และเหน็บนายทักษิณ โดยระบุว่า "หมดเวลาของนายทักษิณจริงๆ การที่นายทักษิณออกมาแขวะรัฐบาล โดยอาศัยชื่อเสียงขอพิมรี่พาย ยูทูปเบอร์ชื่อดัง แต่ท้ายที่สุด ก็โดนสวนกลับอย่างแรง อย่างตรงไปตรงมา ชนิดที่ต้องหายจากหน้าจอไปอีกนาน"
"นายทักษิณต้องรู้ตัวได้แล้วว่า ช่วงโควิดนี้ สังคมไทยเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะดารา เซเล็ป เขากล้า เขาไม่กลัว ใช้ข้อมูล ใช้ความจริง บนเหตุและผล คนที่รวยจากการผูกขาดสัมปทานรัฐ คงไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้ ผมดูแล้ว ไม่รู้ว่า นายทักษิณจะรู้ตัวไหมว่า หมดเวลาของนายทักษิณแล้วครับ “แม้ช่วงหนึ่งจะเป็นดวงอาทิตย์ แต่อาทิตย์ดวงนี้ ก็กำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว”
ด้านพิมรี่พาย หลังถูกฝ่ายสนับสนุนนายทักษิณรุมถล่มอย่างหนัก ก็ได้ออกมาไลฟ์สดชี้แจงเมื่อวันที่ 20 พ.ค. พร้อมกราบขอโทษนายทักษิณ โดยระบุตอนหนึ่งว่า "อยากบอกว่าหากพูดจาพาดพิงถึงคุณทักษิณ หรือลุงโทนี่ ด้วยถ้อยคำที่ขาดสติ ทำให้ประชาชนไม่พอใจ พิมจึงอยากพูดแบบเด็กพูดกับผู้ใหญ่ว่า กราบขอโทษคุณทักษิณ และประชาชนที่พิมปากไว และจากนี้จะพูดจาและไตร่ตรองให้มากกว่านี้ โดยจะเป็นเด็กที่น่ารักกว่านี้”
นอกจากนี้พิมรี่พายยังสวนกลับ นพ.วรงค์ แบบไม่ไว้หน้าด้วยว่า “ขอขอบคุณคุณหมอ ส.ส.สอบตก ที่ชมดิฉันว่ากล้าหาญ กล้าพูดกับคุณทักษิณตรงๆ ดิฉันจะกล้าหาญให้ท่านดู ท่านเป็นหมอจริงหรือเปล่า หรือท่านเรียนมาเป็นหมอ แต่แก่เป็นหมา ท่านเลียดิฉันเก่งมาก ถ้าดิฉันกล้าหาญอย่างที่ท่านบอกจริง ทำไมตอนที่ดิฉันทำโซลาร์เซลล์ ขุดบ่อบาดาล ติดไฟคลองเตย ทำเตียงสนาม ทำไมไม่ชมดิฉันว่ากล้าหาญบ้าง"
"ท่านอุตส่าห์แบกสังขารเมื่อเดือน ก.พ.ขึ้นจากตัวเมืองเชียงใหม่ไป 300 กม. ด้วยความลำบากบนดอยอมก๋อย เจตนาเพื่อจะจับผิดการทำบุญของดิฉัน เมื่อท่านจับผิดและปลุกปั่นยุยง พูดจาเหน็บแนมดิฉัน เพื่อให้พวกของท่านเข้าใจดิฉันผิด วันนี้ท่านไม่เขินหรือที่มาชมดิฉัน เขามีแต่ไม้ซีกงัดไม้ซุง ดิฉันขอเป็นไม้ซีกงัดกาฝาก ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง เดี๋ยวกาฝากจะมาขออาหารจนเคยตัว แต่ก็ไม่น่าจะทัน เพราะอายุปูนนี้แล้ว สรุปแล้วท่านล่า 1 ล้านชื่อเพื่อจะไล่อีกฝั่ง ท่านล่าได้หรือยัง ถ้าท่านยังล่าไม่ได้ ท่านใส่ชื่อดิฉันล้านครั้งได้เลย ไม่ได้ไล่ฝั่งตรงข้าม แต่ไล่ท่านออกจากประเทศ ดิฉันงงในความแก่และไร้สาระของท่านมาก”
วันต่อมา (21 พ.ค.) นพ.วรงค์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีที่พิมรี่พายไลฟ์ด่าตนเองว่า “เข้าใจพิมรี่พายจ้า หลายท่านห่วงใย ที่เห็นข่าวคุณพิมรี่พายเอาผมไปด่า ผมบอกว่า ผมเข้าใจเขานะ ขนาดนายทักษิณแก่กว่าผมเป็นสิบสิบปี เขายังกล้าด่าเลย ที่สำคัญ ผมเรียนหมอมา ผ่านทั้งจิตวิทยา จิตเวช ผ่านคนมาเยอะมาก บางคนคุ้มดีคุ้มร้าย บางคนเดี๋ยวรักเดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวร้องไห้ บางคนหลอนว่ามีคนจ้องจับผิด ดังนั้น ผมเข้าใจน้องเขานะ"
"ต้องขอชื่นชมน้องเขาด้วย ที่สามารถเอาจุดเด่นในตัว ความเป็นตัวตน มาทำการตลาดสร้างเรตติ้ง ค้าขายด้วยตัวเองจนร่ำรวย ดีกว่าคนบางคน ที่ร่ำรวยจากสัมปทานผูกขาด ทุจริตคอร์รัปชันแล้วหนี ยิ่งน้องเขาบอกว่า เขายังอยากอยู่ในประเทศ ไม่ได้อยากไปตายที่ต่างประเทศ แสดงว่า น้องเขาสำนึกในแผ่นดิน สำนึกในคนไทยที่ช่วยอุ้มชู ที่ทำให้เขามีวันนี้ ต้องขอชื่นชมจริงๆ"
"แถมอีกนิดนะ การที่ผมต้องไปถึงแม่เกิบ อ.อมก๋อย เพราะผมเป็นคนรักความถูกต้อง รักความชอบธรรม รักความจริงครับ ไม่มีอะไรแอบแฝง”
3. อัยการ เลื่อนฟังคำสั่งคดี “มายด์” กับพวก หมิ่นสถาบัน ไปเป็น 15 ก.ค.!
เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด อัยการได้นัดฟังคำสั่งคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ที่พนักงานสอบสวน สน.บางโพ สรุปสำนวนพร้อมความเห็นสมควรฟ้อง น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์, น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรืออั๋ว, นายชนินทร์ วงษ์ศรี หรือบอล, นายเกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณ หรือบิ๊ก และ นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือฟอร์ด แกนนำและแนวร่วมเครือข่ายผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร-เยาวชนปลดแอก รวม 5 ราย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อความวุ่นวายฯ มาตรา 215 และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กรณีผู้ต้องหาจัดชุมนุมและปราศรัยในกิจกรรม "ไปสภาไล่ขี้ข้าศักดินา" ที่บริเวณแยกเกียกกาย หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2563
เป็นที่น่าสังเกตว่า น.ส.ภัสราวลี, น.ส.จุฑาทิพย์, นายชนินทร์ และนายเกียรติชัย ไม่ได้เดินทางมาฟังคำสั่ง แต่มอบอำนาจให้ทนายความมาแทน ขณะที่นายทัตเทพ ถูกออกหมายจับไว้
ทั้งนี้ น.ส.ภัสราวลี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า อัยการนัดฟังคำสั่งคดีนี้อีกครั้งในวันที่ 15 ก.ค.นี้ เวลา 10.00 น. ส่วนสาเหตุที่เลื่อนฟังคำสั่ง อัยการไม่ได้ชี้แจงเหตุผล แต่คาดว่า น่าจะเกี่ยวเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ส่วนกรณีที่นายทัตเทพ หรือฟอร์ด แกนนำเยาวชนปลดแอก หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ ไม่เดินทางมาตามนัดส่งสำนวนคดีเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น น.ส.ภัสราวลี ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น โดยระบุว่า ไม่ได้ติดต่อกับนายทัตเทพมานานแล้ว จึงไม่ทราบรายละเอียด แต่ในวันที่ 15 ก.ค.นี้ อัยการนัดฟังคำสั่งคดีพร้อมกันทั้ง 5 คน ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีนี้
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 13 พ.ค. พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ได้เลื่อนฟังคำสั่งคดีที่พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ส่งสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง น.ส.ภัสราวลี หรือมายด์ กับพวกรวม 13 คน ซึ่งถูกกล่าวหาความผิดมาตรา 112 และมาตรา 116 กรณีชุมนุมอ่านแถลงการณ์หน้าสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนี ไปเป็นวันที่ 22 มิ.ย.นี้ เวลา 10.00 น. เนื่องจากอยู่ระหว่างพิจารณาสำนวน
4. “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” นอนคุก ศาลไม่ให้ประกันคดีฉ้อโกง เจ้าตัวยัน แม้ตัวถูกขัง แต่อุดมการณ์ยังอยู่”
เมื่อวันที่ 17 พ.ค. นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือเอ็มกรุ๊ป และประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน พร้อมทนายความ ได้นำเอกสารหลักฐานเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบฯ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายจับศาลอาญา ในคดีร่วมกับพวก 6 คน ฉ้อโกงประชาชน มูลค่าความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายประสิทธิ์ อ้างว่า ตนถูกกลั่นแกล้ง เพราะที่ผ่านมา ตนมีคดีความที่ตัวเองตกเป็นผู้เสียหายสูญเงินไปกว่า 100 ล้านบาทแล้ว และว่า ที่ผ่านมา ปัญหาโควิด-19 ส่งผลกระทบกับธุรกิจการท่องเที่ยวของตัวเองอย่างมาก อีกทั้งยังถูกนำชื่อไปเชื่อมโยงกับประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้น จึงอยากให้สังคมแยกแยะระหว่างการระดมทุนทางธุรกิจกับทำธุรกิจแบบเครือข่าย เชื่อมั่นว่า ยังมีคนที่มั่นใจในตัวเองอยู่ หากตัวเองกระทำผิดจริง ต้องรับโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว
หลังรับทราบข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายประสิทธิ์ไปคุมขังที่ห้องควบคุมผู้ต้องหาเพื่อเตรียมส่งศาลอาญา รัชดาฯ เพื่อขอฝากขังในวันที่ 18 พ.ค.
วันเดียวกัน (17 พ.ค.) พล.ท.ธเนศ วงศ์ชะอุ่ม แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ จับกุม พ.ต.พญ.อมราภรณ์ วิเศษสุข สังกัดกองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ช่วยราชการโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ตามหมายจับศาลอาญาข้อหาฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้ประกันตัว พ.ต.พญ.อมราภรณ์แล้ว โดยวันนี้เจ้าตัวจะต้องกลับเข้ามาทำงาน และรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอน
พล.ท.ธเนศ กล่าวด้วยว่า กรณีนี้ ต้องแบ่งเป็น 2 ประเด็น คือ ความผิดคดีอาญากับความผิดวินัยทหาร โดยความผิดวินัยทหาร ทางกองทัพภาคที่ 2 จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงว่า กระทบต่อภาพลักษณ์ ทำให้กองทัพเสียหายหรือไม่ มีการใช้เวลาราชการหรือแต่งชุดทหารเข้าไปร่วมทำธุรกิจหรือไม่ แต่เบื้องต้นจากการสอบถามทราบว่า พ.ต.พญ.อมราภรณ์ ใช้เวลานอกราชการไปทำธุรกิจ และมองได้ว่าเรื่องนี้เป็นความผิดส่วนตัวในทางคดีอาญา
อย่างไรก็ตาม พล.ท.ธเนศ กล่าวว่า หากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งสำนวนคดีให้อัยการ และอัยการพิจารณาส่งศาล ทางกองทัพภาคที่ 2 จะมีคำสั่งให้ พ.ต.พญ.อมราภรณ์ พักราชการทันที เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ขอยืนยันว่า กองทัพภาคที่ 2 จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม
วันต่อมา (18 พ.ค.) ตำรวจได้นำตัวนายประสิทธิ์ขอศาลอาญาฝากขัง พร้อมคัดค้านการประกันตัว ขณะที่นายประกันของผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว ด้วยหลักทรัพย์เงินสด 4 แสนบาท ด้านศาลพิเคราะห์แล้ว พฤติการณ์แห่งคดีร้ายแรง ความเสียหายจำนวนมาก ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว กรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่า หากอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ให้ยกคำร้อง จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวผู้ต้องหาจากกองปราบฯ ไปคุมขังยังเรือนพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างฝากขัง
ทั้งนี้ ระหว่างคุมตัวนายประสิทธิ์ไปขึ้นรถ เพื่อเดินทางไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายประสิทธิ์ ได้กล่าวสั้นๆว่า ถึงตัวจะโดนขัง แต่หัวใจและอุดมการณ์ยังคงอยู่ พร้อมยืนยันว่า ตนเองไม่ได้กระทำผิด มีหลักฐานหนังสือการแจ้งความเอาผิดคนที่โกงเงินตัวเองไป
5. ปลดฟ้าผ่า! การบินไทยเลิกจ้าง พนง. 508 คน มีผลสิ้นเดือนนี้ ด้านสหภาพฯ เตรียมฟ้องฐานเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
เมื่อวันที่ 21 พ.ค. นายสุวรรธนะ สีบุญเรือง ประธานเจ้าหน้าที่สายทรัพยากรบุคคล ผู้รับมอบอำนาจช่วงจากรักษาการแทนประเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามประกาศบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เรื่อง เลิกจ้างโดยจ่ายชดเชยค่าจ้าง โดยเลิกจ้างพนักงานจำนวน 508 คน และให้มีผลวันที่ 31 พ.ค.2564
โดยประกาศให้เหตุผลการเลิกจ้างพนักงานในครั้งนี้ เนื่องจากบริษัท การบินไทย ประสบปัญหาขาดทุนสะสมต่อเนื่องยาวนาน ประกอบกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ทำให้บริษัทไม่สามารถประกอบกิจการการบินได้ตามปกติ จนกระทั่งบริษัทฯ ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ
เมื่อเข้าสู่กระบานการฟื้นฟูกิจการแล้ว บริษัทฯ มีความจำเป็นต้องปรับปรุงองค์กรทุกๆ ด้าน อาทิ ด้านแรงงาน ด้านการลงทุน หรือด้านกลยุทธ์ในการประกอบธุรกิจ เพื่อลดต้นทุนทุกด้านลง และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดธุรกิจการบิน การปรับปรุงองค์กรดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะทำให้บริษัทฯ สามารถประกอบกิจการต่อไป เพื่อให้มีกระแสเงินสดเพียงพอสำหรับชำระหนี้ให้แก่บรรดาเจ้าหนี้ตามที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ ตลอดจนเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของบริษัทฯ
ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างองค์กร โดยลดจำนวนพนักงานลง จึงจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานจำนวน 508 คน ดังมีรายชื่อตามที่แนบมาพร้อมประกาศฉบับนี้ โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ 31 พ.ค.2564 ณ สิ้นสุดเวลาทำการ
ประกาศดังกล่าว ระบุด้วยว่า บริษัทจะจ่ายค่าชดเชยอื่นๆ ตามกฎหมาย และเงินที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างหรือระเบียบบริษัทฯ ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล ได้แก่ 1.ค่าจ้างถึงวันทำงานวันสุดท้าย 2.วันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังไม่ใด้ใช้ 3.ค่าชดเชย 4.สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 5.เงินบำเหน็จ
ด้านนายนเรศ ผึ้งแย้ม ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานการบินไทยร่วมใจสัมพันธ์ (สร.กบท.สพ.) กล่าวว่า พนักงานที่ถูกบริษัทฯ เลิกจ้างทั้ง 508 คนดังกล่าว เป็นพนักงานที่ไม่ได้แสดงความจำนงเข้าร่วมกระบวนการกลั่นกรองเข้าสู่โครงสร้างองค์การใหม่ 2564 และพนักงานกลุ่มนี้ยังไม่ได้รับการคุ้มครองตามสภาพการจ้างงานเดิมอยู่ ดังนั้น การที่บริษัทเลิกจ้างพนักงานกลุ่มนี้จะเข้าข่ายว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และถือเป็นการเลือกปฏิบัติ
นายนเรศ กล่าวด้วยว่า “สหภาพฯ ขอให้พนักงานที่มีรายชื่อว่าถูกเลิกจ้างชนิดที่เรียกว่า ถูกปลดฟ้าผ่าวันนี้ เขียนคำร้องยื่นต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) ว่าถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม พร้อมทั้งจะไปยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่าถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมด้วย ซึ่งคำร้องจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ขอให้ศาลสั่งให้บริษัทฯ รับกลับมาเป็นพนักงานเหมือนเดิม และกลุ่มที่ต้องการเรียกร้องค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ซึ่งคิดจากค่าจ้างเดือนสุดท้ายคูณด้วยอายุการทำงานที่เหลืออยู่”