‘อุ่น ล่ำซำ’ หญิงสาวร่างบาง Working woman ที่บริหารชีวิตได้อย่างลงตัว ทั้งงานในฐานะ Marketing Specialist Private Banking Group KASIKORNBANK รวมถึงการดูแลตนเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งทัศนคติที่ดีในการใช้ชีวิต บทเรียนจากการดูแลตนเอง เผชิญหน้าและแก้ไขปัญหา ตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองขณะเรียนอยู่ที่อังกฤษ ถึง 12 ปี
โดยเรียนประถมศึกษาที่ Port Regis School เรียนมัธยมศึกษาที่ Benenden School เรียนปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ที่ UCL (University College London) เรียนปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ SOAS (School of Oriental and African Studies) คว้าปริญญาโทใบที่สองด้าน MBA จาก สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากนี้เธอยังมีความหลงใหลต่อการเดินทางท่องเที่ยว ทั้งหลายทั้งปวง มอบประสบการณ์ที่ใหญ่หลวงและมีความหมายให้เธอคนนี้ ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างลงตัวทั้งเรื่องงานและการดูแลตัวเอง ดังที่อุ่นให้สัมภาษณ์ผู้จัดการออนไลน์ ถึงแรงบันดาลใจและบทบาทต่าง ๆ อันหลากหลายซึ่งล้วนน่าสนใจอย่างยิ่ง
บทเรียนในการทำงาน รู้จักลูกค้าให้ลึกซึ้ง
อุ่นกล่าวว่า ปัจจุบัน ทำงานเป็น Marketing Specialist Private Banking Group KASIKORNBANK ซึ่งเป็นหน่วยงานของธนาคารที่ดูแลลูกค้า ไฮเน็ตเวิร์ค โดยลูกค้ากลุ่มนี้ จะเป็นลูกค้ากลุ่มท็อปเทียร์ของธนาคาร ซึ่งมีเงินฝาก 50 ล้านบาทขึ้นไป
“เมื่อเรามาดูแลลูกค้ากลุ่มท็อปเทียร์ของธนาคาร ก็ต้องมีความพิเศษเพิ่มเติมเพราะเขามีอยู่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งประเทศ ที่กสิกรนี้ อุ่นเคยทำงานมาหลายหน่วยงานแล้ว ล่าสุดก่อนที่จะมาทำที่หน่วยงานนี้ อุ่นเคยดูแลลูกค้าที่เป็นบริษัท เมื่อเรามาดูแลลูกค้าบุคคล เราก็ต้องปรับมายด์เซ็ตของเราว่าเขามีความต้องการแตกต่างกัน
ลูกค้าที่เป็น องค์กรหรือบริษัทต้องการสินเชื่อเพื่อธุรกิจของเขา แต่เมื่อเราย้ายมาอยู่ ไพรเวท แบงค์ เราดูแลลูกค้าที่เขาฝากเงินกับเรา คนละประเภทกัน อันนั้นสินเชื่อ อันนี้เป็นนักลงทุน เป็นผู้ฝากเงิน เราก็ต้องเข้าใจลูกค้าว่าเขาต้องการอะไร ก่อนที่เราจะมอบสิ่งที่เขาต้องการให้ได้ อันนี้เป็นหลักที่สำคัญที่สุดในการทำงาน เราต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยว่าลูกค้าต้องการอะไร นี่เป็นสิ่งที่อุ่นได้เรียนรู้มา ซึ่งอุ่นก็ไปเรียนต่อ MBA ที่ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะเราอยากเข้าใจธุรกิจธนาคารให้มากกว่าเดิม"
อุ่นกล่าวว่า ก่อนนี้เปรียบเสมือนรู้จักแต่ภาคทฤษฎี ไม่รู้จักภาคปฏิบัติ เมื่อไปเรียน MBA มาสองปี ทำให้เข้าใจธุรกิจมากขึ้น
“ยอมรับว่าอุ่นเราไม่ได้เรียนสายตัวเลขหรือสายคำนวณมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้จบด้านนี้เลย ตั้งแต่ปริญญาตรี ปริญญาโท MBA ที่ศศินทร์จึงเป็นปริญญาโทใบที่สอง เมื่อมาทำงานจริง ๆ ก็ได้ใช้สิ่งที่เรียนมา” อุ่นระบุและกล่าวเพิ่มเติมว่า การทำงานปัจจุบัน ต้องทำงานกับหลากหลายคนหลายฝ่ายมากกว่าเดม
เมื่อก่อนตอนทำด้านเกี่ยวกับสินเชื่อ แค่รู้ว่าเราต้องติดต่อฝ่ายไหนบ่อย แต่เมื่อทำมาร์เก็ตติ้ง ต้องติดต่อคนทั้งภายใน ภายนอก เช่น โรงแรม พาร์ทเนอร์อื่นๆ ที่ต้องร่วมงานด้วย
“เป็นการทำงานที่ทุกวันนี้ทำให้เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา มีทั้งข้อดีข้อเสีย เราต้องบริหารเวลาให้เป็น อันนี้เป็นหลักสำคัญ เพราะว่างานอยู่กับเราตลอดเวลา เราก็ต้องบริหารเวลาให้เป็น” อุ่นระบุ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอมาตลอด 10 ปี
อุ่นกล่าวว่าทำงานเฉลี่ย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน มีวันหยุดคือเสาร์-อาทิตย์
อุ่นออกกำลังกายเป็นประจำต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปี แล้ว แม้ช่วงแรก ๆ ไม่ได้ออกกำลังจริงจังนัก ยิ่งในปัจจุบันสถานที่ทำงานของอุ่นในปัจจุบัน อยู่ใกล้รถไฟฟ้า มีสถานที่ออกกำลังเยอะแยะ รองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ยิ่งทำให้อุ่นสนุกกับการออกกำลังกายมากขึ้น
“ไม่ใช่นั่งทำงาน ถึง 3-4 ทุ่ม คืออุ่นเคยผ่านจุดนั้นมา แต่ตอนนี้เราต้องหาสมดุล ต้องดูแลตัวเอง”
อุ่นกล่าวว่าเนื่องจากทำงานไม่เป็นเวลา แต่ยิ่งทำงานไม่เป็นเวลาไม่ได้หมายความว่าเราจะหาเวลาไม่ได้ อาจฟังดูย้อนแย้งมาก แต่นั่นหมายความว่ายิ่งต้องหาเวลาออกกำลังกายให้ได้ อย่างเช่น เรามีเวลาพัก แม้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง เราก็ต้องหาเวลาออกกำลังกายให้ได้
“ยิ่งช่วงนี้ อุ่นกักตัวอยู่ที่บ้าน เวิร์ค ฟรอม โฮม ก็ต้องหาเวลาให้ได้ อุ่นจะเดินสายพาน ออกกำลังกายอยู่ในบ้านเป็นประจำ แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาอื่น เราก็ต้องรีบดูว่าเรามีเวลาว่างตอนไหนก็รีบไปออกกำลังกาย คือมันมีผลกับเรา เพราะถ้าอุ่นเครียดจากการทำงาน การออกกำลังกายทำให้อุ่นหายเครียด และทำให้อุ่นกลับมาทำงานต่อได้ดีขึ้น อุ่นสังเกตว่า ถ้าอุ่นไม่ได้ออกกำลังกาย วันหรือสองวันติดกัน อุ่นอารมณ์ไม่ดีเลยนะ จริง ๆ การออกกำลังกายทำให้เราอารมณ์ดีขึ้น ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น อุ่นออกกำลังทุกวันเลยค่ะ มากหรือน้อยก็ได้ออก ถ้าไปข้างนอกเป็นชั่วโมง แต่ถ้าที่บ้านก็ครึ่งชั่วโมง ที่บ้านส่วนใหญ่อุ่นจะเดินสายพาน แต่อุ่นชอบออกกำลังแบบไปเจอผู้คนมากกว่า”
อุ่นเล่นทั้งพิลาทิส โยคะ เล่น Cadillac เล่น Ladder Barrel ถามว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยอะไรบ้าง
อุ่นตอบว่า พวกนี้ช่วยให้เรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยแก้ออฟฟิศซินโดรมโดยตรง เท่าที่อุ่นถามครูมา เพราะเป็นท่าที่ช่วยยืดหยุ่นร่างกายได้พิเศษมาก ๆ ถ้าเรายืดเองเราก็ยืดผิด ยืดไม่ได้ แต่เครื่องเหล่านี้ หรือการเล่นเหล่านี้มันช่วยเราได้มากกว่า มันช่วยไม่ให้เป็นออฟฟิศซินโดรมได้ โดยเฉพาะถ้าเรานั่งนาน ๆ เครื่องพวกนี้จะช่วยให้เรายืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยคลายกล้ามเนื้อมัดเล็กที่เรายืดหยุ่นเองไม่ได้ด้วยตัวเอง อุ่นไม่เคยเป็นออฟฟิศซินโดรมเลยค่ะ” อุ่นระบุ
ชอบเดินทางท่องเที่ยว เปิดโลกกว้าง
อุ่นกล่าวว่า ชอบท่องเที่ยวมาก ชอบถ่ายรูป ปกติจะไปเที่ยวต่างจังหวัดและต่างประเทศเสมอทุกปี ทำแพลนไว้ว่าจะมีทริปปีหนึ่ง ๆ เท่าไหร่
“แต่ตอนนี้ไปไหนไม่ได้เลย ต้องเซฟตัวเองก่อน แต่ปกติชอบเที่ยวเพราะอุ่นชอบถ่ายรูปตัวเอง วิว อาจเพราะเราไม่ได้อยู่กับที่ตั้งแต่เด็ก ต้องเปลี่ยนประเทศเพื่อไปเรียน เราก็เลยชอบไปดูโลกกว้างว่าเขาทำอะไร ยังไง เพราะอุ่นว่า การเรียนรู้ไม่ได้อยู่แค่ห้องเรียน หรือออฟฟิศเท่านั้น แต่เราสามารถไปเรียนรู้ที่ใหม่ๆ อุ่นไม่ชอบการทำงานอยู่ในห้องเฉยๆ เหมือนอยู่ในกล่อง”
อุ่นเล่าถึงสถานที่ที่ประทับใจ โดยกล่าวว่าเป็นที่ที่อุ่นไปเที่ยวแล้วเปลี่ยนทัศนคติอุ่นไปเลย คือพม่า อุ่นไม่เคยคิดเลยว่าอุ่นจะประทับใจมากขนาดนี้ เพราะไม่เคยไป แล้วอุ่นไม่ใช่สายบุญเพราะอุ่นไม่ใช่พุทธ
“เราไม่ใช่สายบุญ อุ่นรู้สึกคนพม่า PURE มาก บริสุทธิ์มาก อุ่นไปมัณฑะเลย์ แล้วจะมีแก๊งเด็ก ๆ วิ่งตามเรา แล้วเขาพูดภาษาไทยได้ เขาก็บอกว่า เดี๋ยวเขาจะขอถ่ายรูปให้ แต่ขอให้หนูไปซื้อหนังสือเรียนหน่อย คือ เขามีวิธีพูด แล้วเราก็ฝากกล้อง ฝากของไว้กับเขาเลย ให้ไปประมาณร้อยนึงมั้ง แล้วเขาก็มาเป็นแก๊งเลย มาช่วยถ่ายรูปมา จัดท่าให้ คือเขาไม่ได้หวังอะไรมากกว่านั้นเลย เป็นเด็กพูดเพราะแค่ขอเงินไปซื้อหนังสือเรียนหน่อย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะ แต่เราก็เชื่อแล้วกัน แล้วเขาก็ไม่ได้ขโมยอะไรเราเลย แล้วอุ่นว่า เขาเฟรนด์ลี่มาก” อุ่นเล่าถึงความประทับใจที่มีต่อความสดใสของเด็กๆ พม่า
ประสบการณ์จากอังกฤษ-ถูกบูลลี่ในวัยเด็ก ฝึกความแข็งแกร่งของจิตใจ
เมื่อขอให้ช่วยเล่าประสบการณ์ การศึกษาที่อังกฤษนานถึง 12 ปี
อุ่นตอบว่า “อย่างแรกเลยอุ่นขอบคุณพ่อแม่ที่ส่งไป ทำให้เรา Independent เราอยู่เมืองนอก เราก็ต้องตัดสินใจอะไรเอง แล้วตอนนั้น แม้แต่อีเมล์ก็ยังไม่มี อุ่นเป็นคนสุดท้ายในชั้นเรียนที่มีโทรศัพท์ ต้องใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรหาพ่อแม่ ดังนั้น ต้องมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าปกติ หลายๆ อย่างต้องตัดสินใจเอง ทำให้เรา The Independent หรือมีความอิสระ”
นอกจากนั้น อุ่นอยู่โรงเรียนประจำ ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก เพราะฉะนั้น การอยู่โรงเรียนประจำช่วยฝึกให้เรามีระเบียบ
“เดิมทีเราทำอะไรไม่เป็น แต่ที่นู่น เขาก็จะมีกำหนดเวลาชัดเจนว่าตื่นกี่โมง อาบน้ำกี่โมง ทานข้าวกี่โมง เราก็ต้องไปตามนั้นเป๊ะๆ เราต้องทำตามเวลา แล้วก็ทำให้เราเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นด้วย” อุ่นระบุ นอกจากนี้ ข้อดีของการเรียนที่อังกฤษคือ ไม่ต้องเรียนพิเศษอะไรมากมายอย่างที่เด็กไทยเรียน แต่ที่นู่นเขาจะมีกิจกรรมเอาท์ดอร์ มีเรียนขี่ม้า เรียนยิงธนู
“คือการศึกษาเขา เหมือนกับบอกเราตั้งแต่ตอนนั้น ว่า เวิร์ค ไลฟ์ บาลานซ์ เรียนแล้วก็เล่น ไม่ใช่เรียนอย่างเดียว ขณะที่เด็กไทย เรียนเสร็จแล้ว อาจต้องไปเรียนพิเศษต่อ” อุ่นระบุ
แต่ใช่จะมีเฉพาะด้านดี ประสบการณ์ในด้านลบก็มีเช่นกัน แต่อุ่นเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการใช้ประสบการณ์เหล่านั้น ฝึกความแข็งแกร่งของจิตใจ
“ตอนเด็ก ๆ เราอาจจะเคยเจอประสบการณ์ไม่ดี ตอนเด็ก เราหัวดำ เป็นเอเชีย เราก็โดนบูลลี่ อย่างที่ตอนนี้ก็มีเอเชียน เฮท ที่คนอเมริกาบูลลี่ คนเอเชีย คือกี่ปีผ่านมาก็เหมือนเดิม คือคนพวกนี้บูลลี่คนเอเชียมากเลยนะ ดังนั้น ตอนที่อยู่โรงเรียนใจเราต้องแกร่งมาก ถึงแม้เราจะดูเป็นเด็กที่อ่อนแอหรือร้องไห้บ่อย แต่เราใจแข็งนะ เพราะเราเจอเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว คือเขาก็บูลลี่เรา แล้วเราบอกใครได้ที่ไหน เพราะฉะนั้น มันก็ฝึกจิตใจเราด้วย ว่าถ้าเราเจอคนแกล้งเรา เราก็อยู่เฉยๆ แต่ถ้าเราไป React กลับ บางคนเขาไม่ได้จิตแข็งขนาดนั้น ก็โดนโต้ตอบ มันเป็นเรื่องของการฝึกจิตใจ และมันทำให้เราอิสระ อินดิเพนเดนท์น่ะค่ะ” อุ่นระบุ
ประวัติศาสตร์ศิลป์ ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสนใจส่วนตัว
เมื่อถามว่า จบปริญาโทประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจบปริญญาตรี ประวัติศาสตร์ศิลปะ ชื่นชอบอะไรในสิ่งเหล่านี้ ทำไมจึงเลือกเรียนสาขานี้
อุ่นตอบว่า สาขานี้ มีคนไทยน้อยมากที่เรียน “ตอนที่อุ่นเรียน เขาจะให้เลือกคณะ เราก็เลือกประวัติศาสตร์ศิลปะ เราอินมาก เหมือนไม่ใช่เรียนหนังสือเลย ได้เรียนรู้ว่าศิลปะมีทั้งแบบที่อิงกับศาสนา กับที่ไม่ได้อิงกับศาสนา แต่ช่วงแรก ๆ ศิลปินก็ต้องอิงกับศาสนา และคนสมัยก่อนยังไม่มีหนังสืออ่าน เขาก็อาศัยดูภาพเขียน ประติมากรรม เพื่ออ่าน เพื่อศึกษาความคิด แล้วก็ทำให้เราเข้าใจกับวัฒนธรรม ของประเทศนั้น ๆ ชนชาตินั้น ๆ แบบลึกซึ้งมากขึ้น เพราะมันไม่ใช่แค่รูปภาพ แต่มันสะท้อนว่า ณ ตอนนั้น เวลานั้น เกิดอะไรขึ้นกับประเทศนั้น มันทำให้เราเข้าใจประเทศ อื่น ๆ มากขึ้น” อุ่นกล่าว
ปริญญาตรีเรียนเกี่ยวกับตะวันตกแล้ว เมื่อถึงคราวเรียนต่อปริญญาโท อุ่นจึงอยากเรียนเกี่ยวกับภูมิภาคของเราบ้าง แล้วก็อยากเรียนเกี่ยวกับประเทศของเราด้วย เพราะเราเรียนเมืองนอกมาตอลด แล้วเราไม่รู้จักประเทศของเราเลย
“มีหลาย ๆ อย่างที่เราไม่รู้ ประเทศไทย เขาก็จะสอนแค่ สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ แล้วอุ่นไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านั้นคืออะไร แล้วมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่เราต้องให้ฝรั่งมาสอนว่าก่อนหน้านั้นคืออะไร เราถึงรู้ มันเหมือนโอ้โฮ! เป็นปริศนามากเลยนะ ที่ต้องให้ฝรั่งมาสอน แล้วครูที่สอนก็เป็น Professor มีความรู้เกี่ยวกับประเทศไทยเยอะ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ประเทศเพื่อนบ้านเรา ก็ทำให้เราเปิดโลกกว้าง เราเรียนเกี่ยวกับอเมริกา อังกฤษ มาตลอด แต่ที่นี่ทำให้เราเหมือนเปิดโลกใหม่เลย ทำให้เรารู้ว่าประเทศเพื่อนบ้านเรา เขาก็มีความสำคัญอย่างไร ผ่านอะไรมาบ้าง และรู้สึกดีที่เกิดเป็นคนไทย” อุ่นระบุ
ครอบครัวใหญ่ ลูกพี่ลูกน้อง คุณแป้ง
ด้วยนามสกุล ‘ล่ำซำ’ และเป็นตระกูลใหญ่ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าอุ่นมีศักดิ์เป็นอะไรกับคุณแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ เมืองไทยประกันภัย จำกัด
อุ่นตอบว่า “เป็นลูกพี่ลูกน้องค่ะ ถ้าพี่แป้ง คุณพ่ออุ่นเป็นน้องชายของคุณพ่อพี่แป้ง มีคุณปู่คนเดียวกัน คือคุณปู่จุลินทร์ ล่ำซำ อายุอุ่นห่างจากพี่แป้ง 15 ปี อุ่นเล่าให้ฟังถึงสายสัมพันธ์ในครอบครัวใหญ่
เมื่อถามว่า ดูแลตัวเองอย่างไรในช่วงวิกฤติโควิด-19
อุ่นตอบว่า อุ่นไม่นอนดึก ต้องดูแลตัวเองก่อนที่จะดูแลคนอื่นได้ พักผ่อนให้เพียงพอ หมุ่นออกกำลังกาย
“ช่วงกักตัว ก็รู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปในช่วงอยู่โรงเรียนประจำ ตอนนั้นเราก็ยังอยู่ได้ ตอนนั้นน่ากลัวกว่าอีกเพราะเราไม่มีใคร ก็ไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตอะไรมาก ข้อดีคือได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ทุกวิกฤติมีโอกาส ขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ว่าเราจะมองมันยังไง ตอนนี้ไปข้างนอกไม่ได้ ก็ออกกำลังที่บ้านได้ มีเวลามากขึ้นกว่าเดิม เป็นแนวทางว่าทำยังไงชีวิตจะได้ไม่เครียด เพราะทุกวันนี้ ฟังข่าวก็เครียดอยู่แล้ว” อุ่นระบุก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายถึงทัศนคติดี ๆ ในการใช้ชีวิต
ใช้ชีวิตให้บาลานซ์
อุ่นกล่าวว่า “สำหรับอุ่นเราก็ต้องบาลานซ์ให้ได้ระหว่างชีวิตการงาน กับชีวิตด้านอื่น ๆ ถ้าบ้างานมาก ก็จะส่งผลเสียกับสุขภาพ เราก็ต้องดูแลสุขภาพเราอย่างดี เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันที่ดี เพราะสุดท้ายเงินซื้อสุขภาพไม่ได้ อุ่นไม่อยากจะแก่ตัวไปแล้วต้องเอาเงินที่หามาตลอดชีวิต มาลงทุนกับการเข้าโรงพยาบาล เราต้องดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ เราก็ต้องคิดอย่างนั้นให้ตัวเอง ทำให้เราไม่กังวล หมั่นการดูแลตัวเอง ต้องดูแลทั้งมายด์ แอนด์ บอดี้”
ส่วนหลักคิดเมื่อเจอกับอุปสรรคปัญหา หรือคำพูดที่ทำให้เสียกำลังใจ อุ่นฝากไว้ว่า
“แม้เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่คนพูดให้เราเสียกำลังใจไปบ้าง แต่เราอย่าเอาคำพูดของเขามาทำให้เรารู้สึกไม่ดี เราเป็นเจ้าชีวิตของตัวเอง เราต้องทำให้เรามีความสุข สุดท้ายอุ่นว่ามันคือความสุขนั่นแหละ ว่าเราแฮปปี้กับสิ่งที่เราทำหรือเปล่า”
โดยเรียนประถมศึกษาที่ Port Regis School เรียนมัธยมศึกษาที่ Benenden School เรียนปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ที่ UCL (University College London) เรียนปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ SOAS (School of Oriental and African Studies) คว้าปริญญาโทใบที่สองด้าน MBA จาก สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากนี้เธอยังมีความหลงใหลต่อการเดินทางท่องเที่ยว ทั้งหลายทั้งปวง มอบประสบการณ์ที่ใหญ่หลวงและมีความหมายให้เธอคนนี้ ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างลงตัวทั้งเรื่องงานและการดูแลตัวเอง ดังที่อุ่นให้สัมภาษณ์ผู้จัดการออนไลน์ ถึงแรงบันดาลใจและบทบาทต่าง ๆ อันหลากหลายซึ่งล้วนน่าสนใจอย่างยิ่ง
บทเรียนในการทำงาน รู้จักลูกค้าให้ลึกซึ้ง
อุ่นกล่าวว่า ปัจจุบัน ทำงานเป็น Marketing Specialist Private Banking Group KASIKORNBANK ซึ่งเป็นหน่วยงานของธนาคารที่ดูแลลูกค้า ไฮเน็ตเวิร์ค โดยลูกค้ากลุ่มนี้ จะเป็นลูกค้ากลุ่มท็อปเทียร์ของธนาคาร ซึ่งมีเงินฝาก 50 ล้านบาทขึ้นไป
“เมื่อเรามาดูแลลูกค้ากลุ่มท็อปเทียร์ของธนาคาร ก็ต้องมีความพิเศษเพิ่มเติมเพราะเขามีอยู่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งประเทศ ที่กสิกรนี้ อุ่นเคยทำงานมาหลายหน่วยงานแล้ว ล่าสุดก่อนที่จะมาทำที่หน่วยงานนี้ อุ่นเคยดูแลลูกค้าที่เป็นบริษัท เมื่อเรามาดูแลลูกค้าบุคคล เราก็ต้องปรับมายด์เซ็ตของเราว่าเขามีความต้องการแตกต่างกัน
ลูกค้าที่เป็น องค์กรหรือบริษัทต้องการสินเชื่อเพื่อธุรกิจของเขา แต่เมื่อเราย้ายมาอยู่ ไพรเวท แบงค์ เราดูแลลูกค้าที่เขาฝากเงินกับเรา คนละประเภทกัน อันนั้นสินเชื่อ อันนี้เป็นนักลงทุน เป็นผู้ฝากเงิน เราก็ต้องเข้าใจลูกค้าว่าเขาต้องการอะไร ก่อนที่เราจะมอบสิ่งที่เขาต้องการให้ได้ อันนี้เป็นหลักที่สำคัญที่สุดในการทำงาน เราต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยว่าลูกค้าต้องการอะไร นี่เป็นสิ่งที่อุ่นได้เรียนรู้มา ซึ่งอุ่นก็ไปเรียนต่อ MBA ที่ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะเราอยากเข้าใจธุรกิจธนาคารให้มากกว่าเดิม"
อุ่นกล่าวว่า ก่อนนี้เปรียบเสมือนรู้จักแต่ภาคทฤษฎี ไม่รู้จักภาคปฏิบัติ เมื่อไปเรียน MBA มาสองปี ทำให้เข้าใจธุรกิจมากขึ้น
“ยอมรับว่าอุ่นเราไม่ได้เรียนสายตัวเลขหรือสายคำนวณมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้จบด้านนี้เลย ตั้งแต่ปริญญาตรี ปริญญาโท MBA ที่ศศินทร์จึงเป็นปริญญาโทใบที่สอง เมื่อมาทำงานจริง ๆ ก็ได้ใช้สิ่งที่เรียนมา” อุ่นระบุและกล่าวเพิ่มเติมว่า การทำงานปัจจุบัน ต้องทำงานกับหลากหลายคนหลายฝ่ายมากกว่าเดม
เมื่อก่อนตอนทำด้านเกี่ยวกับสินเชื่อ แค่รู้ว่าเราต้องติดต่อฝ่ายไหนบ่อย แต่เมื่อทำมาร์เก็ตติ้ง ต้องติดต่อคนทั้งภายใน ภายนอก เช่น โรงแรม พาร์ทเนอร์อื่นๆ ที่ต้องร่วมงานด้วย
“เป็นการทำงานที่ทุกวันนี้ทำให้เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา มีทั้งข้อดีข้อเสีย เราต้องบริหารเวลาให้เป็น อันนี้เป็นหลักสำคัญ เพราะว่างานอยู่กับเราตลอดเวลา เราก็ต้องบริหารเวลาให้เป็น” อุ่นระบุ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอมาตลอด 10 ปี
อุ่นกล่าวว่าทำงานเฉลี่ย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน มีวันหยุดคือเสาร์-อาทิตย์
อุ่นออกกำลังกายเป็นประจำต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปี แล้ว แม้ช่วงแรก ๆ ไม่ได้ออกกำลังจริงจังนัก ยิ่งในปัจจุบันสถานที่ทำงานของอุ่นในปัจจุบัน อยู่ใกล้รถไฟฟ้า มีสถานที่ออกกำลังเยอะแยะ รองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ยิ่งทำให้อุ่นสนุกกับการออกกำลังกายมากขึ้น
“ไม่ใช่นั่งทำงาน ถึง 3-4 ทุ่ม คืออุ่นเคยผ่านจุดนั้นมา แต่ตอนนี้เราต้องหาสมดุล ต้องดูแลตัวเอง”
อุ่นกล่าวว่าเนื่องจากทำงานไม่เป็นเวลา แต่ยิ่งทำงานไม่เป็นเวลาไม่ได้หมายความว่าเราจะหาเวลาไม่ได้ อาจฟังดูย้อนแย้งมาก แต่นั่นหมายความว่ายิ่งต้องหาเวลาออกกำลังกายให้ได้ อย่างเช่น เรามีเวลาพัก แม้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง เราก็ต้องหาเวลาออกกำลังกายให้ได้
“ยิ่งช่วงนี้ อุ่นกักตัวอยู่ที่บ้าน เวิร์ค ฟรอม โฮม ก็ต้องหาเวลาให้ได้ อุ่นจะเดินสายพาน ออกกำลังกายอยู่ในบ้านเป็นประจำ แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาอื่น เราก็ต้องรีบดูว่าเรามีเวลาว่างตอนไหนก็รีบไปออกกำลังกาย คือมันมีผลกับเรา เพราะถ้าอุ่นเครียดจากการทำงาน การออกกำลังกายทำให้อุ่นหายเครียด และทำให้อุ่นกลับมาทำงานต่อได้ดีขึ้น อุ่นสังเกตว่า ถ้าอุ่นไม่ได้ออกกำลังกาย วันหรือสองวันติดกัน อุ่นอารมณ์ไม่ดีเลยนะ จริง ๆ การออกกำลังกายทำให้เราอารมณ์ดีขึ้น ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น อุ่นออกกำลังทุกวันเลยค่ะ มากหรือน้อยก็ได้ออก ถ้าไปข้างนอกเป็นชั่วโมง แต่ถ้าที่บ้านก็ครึ่งชั่วโมง ที่บ้านส่วนใหญ่อุ่นจะเดินสายพาน แต่อุ่นชอบออกกำลังแบบไปเจอผู้คนมากกว่า”
อุ่นเล่นทั้งพิลาทิส โยคะ เล่น Cadillac เล่น Ladder Barrel ถามว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยอะไรบ้าง
อุ่นตอบว่า พวกนี้ช่วยให้เรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยแก้ออฟฟิศซินโดรมโดยตรง เท่าที่อุ่นถามครูมา เพราะเป็นท่าที่ช่วยยืดหยุ่นร่างกายได้พิเศษมาก ๆ ถ้าเรายืดเองเราก็ยืดผิด ยืดไม่ได้ แต่เครื่องเหล่านี้ หรือการเล่นเหล่านี้มันช่วยเราได้มากกว่า มันช่วยไม่ให้เป็นออฟฟิศซินโดรมได้ โดยเฉพาะถ้าเรานั่งนาน ๆ เครื่องพวกนี้จะช่วยให้เรายืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยคลายกล้ามเนื้อมัดเล็กที่เรายืดหยุ่นเองไม่ได้ด้วยตัวเอง อุ่นไม่เคยเป็นออฟฟิศซินโดรมเลยค่ะ” อุ่นระบุ
ชอบเดินทางท่องเที่ยว เปิดโลกกว้าง
อุ่นกล่าวว่า ชอบท่องเที่ยวมาก ชอบถ่ายรูป ปกติจะไปเที่ยวต่างจังหวัดและต่างประเทศเสมอทุกปี ทำแพลนไว้ว่าจะมีทริปปีหนึ่ง ๆ เท่าไหร่
“แต่ตอนนี้ไปไหนไม่ได้เลย ต้องเซฟตัวเองก่อน แต่ปกติชอบเที่ยวเพราะอุ่นชอบถ่ายรูปตัวเอง วิว อาจเพราะเราไม่ได้อยู่กับที่ตั้งแต่เด็ก ต้องเปลี่ยนประเทศเพื่อไปเรียน เราก็เลยชอบไปดูโลกกว้างว่าเขาทำอะไร ยังไง เพราะอุ่นว่า การเรียนรู้ไม่ได้อยู่แค่ห้องเรียน หรือออฟฟิศเท่านั้น แต่เราสามารถไปเรียนรู้ที่ใหม่ๆ อุ่นไม่ชอบการทำงานอยู่ในห้องเฉยๆ เหมือนอยู่ในกล่อง”
อุ่นเล่าถึงสถานที่ที่ประทับใจ โดยกล่าวว่าเป็นที่ที่อุ่นไปเที่ยวแล้วเปลี่ยนทัศนคติอุ่นไปเลย คือพม่า อุ่นไม่เคยคิดเลยว่าอุ่นจะประทับใจมากขนาดนี้ เพราะไม่เคยไป แล้วอุ่นไม่ใช่สายบุญเพราะอุ่นไม่ใช่พุทธ
“เราไม่ใช่สายบุญ อุ่นรู้สึกคนพม่า PURE มาก บริสุทธิ์มาก อุ่นไปมัณฑะเลย์ แล้วจะมีแก๊งเด็ก ๆ วิ่งตามเรา แล้วเขาพูดภาษาไทยได้ เขาก็บอกว่า เดี๋ยวเขาจะขอถ่ายรูปให้ แต่ขอให้หนูไปซื้อหนังสือเรียนหน่อย คือ เขามีวิธีพูด แล้วเราก็ฝากกล้อง ฝากของไว้กับเขาเลย ให้ไปประมาณร้อยนึงมั้ง แล้วเขาก็มาเป็นแก๊งเลย มาช่วยถ่ายรูปมา จัดท่าให้ คือเขาไม่ได้หวังอะไรมากกว่านั้นเลย เป็นเด็กพูดเพราะแค่ขอเงินไปซื้อหนังสือเรียนหน่อย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะ แต่เราก็เชื่อแล้วกัน แล้วเขาก็ไม่ได้ขโมยอะไรเราเลย แล้วอุ่นว่า เขาเฟรนด์ลี่มาก” อุ่นเล่าถึงความประทับใจที่มีต่อความสดใสของเด็กๆ พม่า
ประสบการณ์จากอังกฤษ-ถูกบูลลี่ในวัยเด็ก ฝึกความแข็งแกร่งของจิตใจ
เมื่อขอให้ช่วยเล่าประสบการณ์ การศึกษาที่อังกฤษนานถึง 12 ปี
อุ่นตอบว่า “อย่างแรกเลยอุ่นขอบคุณพ่อแม่ที่ส่งไป ทำให้เรา Independent เราอยู่เมืองนอก เราก็ต้องตัดสินใจอะไรเอง แล้วตอนนั้น แม้แต่อีเมล์ก็ยังไม่มี อุ่นเป็นคนสุดท้ายในชั้นเรียนที่มีโทรศัพท์ ต้องใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรหาพ่อแม่ ดังนั้น ต้องมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าปกติ หลายๆ อย่างต้องตัดสินใจเอง ทำให้เรา The Independent หรือมีความอิสระ”
นอกจากนั้น อุ่นอยู่โรงเรียนประจำ ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก เพราะฉะนั้น การอยู่โรงเรียนประจำช่วยฝึกให้เรามีระเบียบ
“เดิมทีเราทำอะไรไม่เป็น แต่ที่นู่น เขาก็จะมีกำหนดเวลาชัดเจนว่าตื่นกี่โมง อาบน้ำกี่โมง ทานข้าวกี่โมง เราก็ต้องไปตามนั้นเป๊ะๆ เราต้องทำตามเวลา แล้วก็ทำให้เราเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นด้วย” อุ่นระบุ นอกจากนี้ ข้อดีของการเรียนที่อังกฤษคือ ไม่ต้องเรียนพิเศษอะไรมากมายอย่างที่เด็กไทยเรียน แต่ที่นู่นเขาจะมีกิจกรรมเอาท์ดอร์ มีเรียนขี่ม้า เรียนยิงธนู
“คือการศึกษาเขา เหมือนกับบอกเราตั้งแต่ตอนนั้น ว่า เวิร์ค ไลฟ์ บาลานซ์ เรียนแล้วก็เล่น ไม่ใช่เรียนอย่างเดียว ขณะที่เด็กไทย เรียนเสร็จแล้ว อาจต้องไปเรียนพิเศษต่อ” อุ่นระบุ
แต่ใช่จะมีเฉพาะด้านดี ประสบการณ์ในด้านลบก็มีเช่นกัน แต่อุ่นเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการใช้ประสบการณ์เหล่านั้น ฝึกความแข็งแกร่งของจิตใจ
“ตอนเด็ก ๆ เราอาจจะเคยเจอประสบการณ์ไม่ดี ตอนเด็ก เราหัวดำ เป็นเอเชีย เราก็โดนบูลลี่ อย่างที่ตอนนี้ก็มีเอเชียน เฮท ที่คนอเมริกาบูลลี่ คนเอเชีย คือกี่ปีผ่านมาก็เหมือนเดิม คือคนพวกนี้บูลลี่คนเอเชียมากเลยนะ ดังนั้น ตอนที่อยู่โรงเรียนใจเราต้องแกร่งมาก ถึงแม้เราจะดูเป็นเด็กที่อ่อนแอหรือร้องไห้บ่อย แต่เราใจแข็งนะ เพราะเราเจอเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว คือเขาก็บูลลี่เรา แล้วเราบอกใครได้ที่ไหน เพราะฉะนั้น มันก็ฝึกจิตใจเราด้วย ว่าถ้าเราเจอคนแกล้งเรา เราก็อยู่เฉยๆ แต่ถ้าเราไป React กลับ บางคนเขาไม่ได้จิตแข็งขนาดนั้น ก็โดนโต้ตอบ มันเป็นเรื่องของการฝึกจิตใจ และมันทำให้เราอิสระ อินดิเพนเดนท์น่ะค่ะ” อุ่นระบุ
ประวัติศาสตร์ศิลป์ ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสนใจส่วนตัว
เมื่อถามว่า จบปริญาโทประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจบปริญญาตรี ประวัติศาสตร์ศิลปะ ชื่นชอบอะไรในสิ่งเหล่านี้ ทำไมจึงเลือกเรียนสาขานี้
อุ่นตอบว่า สาขานี้ มีคนไทยน้อยมากที่เรียน “ตอนที่อุ่นเรียน เขาจะให้เลือกคณะ เราก็เลือกประวัติศาสตร์ศิลปะ เราอินมาก เหมือนไม่ใช่เรียนหนังสือเลย ได้เรียนรู้ว่าศิลปะมีทั้งแบบที่อิงกับศาสนา กับที่ไม่ได้อิงกับศาสนา แต่ช่วงแรก ๆ ศิลปินก็ต้องอิงกับศาสนา และคนสมัยก่อนยังไม่มีหนังสืออ่าน เขาก็อาศัยดูภาพเขียน ประติมากรรม เพื่ออ่าน เพื่อศึกษาความคิด แล้วก็ทำให้เราเข้าใจกับวัฒนธรรม ของประเทศนั้น ๆ ชนชาตินั้น ๆ แบบลึกซึ้งมากขึ้น เพราะมันไม่ใช่แค่รูปภาพ แต่มันสะท้อนว่า ณ ตอนนั้น เวลานั้น เกิดอะไรขึ้นกับประเทศนั้น มันทำให้เราเข้าใจประเทศ อื่น ๆ มากขึ้น” อุ่นกล่าว
ปริญญาตรีเรียนเกี่ยวกับตะวันตกแล้ว เมื่อถึงคราวเรียนต่อปริญญาโท อุ่นจึงอยากเรียนเกี่ยวกับภูมิภาคของเราบ้าง แล้วก็อยากเรียนเกี่ยวกับประเทศของเราด้วย เพราะเราเรียนเมืองนอกมาตอลด แล้วเราไม่รู้จักประเทศของเราเลย
“มีหลาย ๆ อย่างที่เราไม่รู้ ประเทศไทย เขาก็จะสอนแค่ สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ แล้วอุ่นไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านั้นคืออะไร แล้วมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่เราต้องให้ฝรั่งมาสอนว่าก่อนหน้านั้นคืออะไร เราถึงรู้ มันเหมือนโอ้โฮ! เป็นปริศนามากเลยนะ ที่ต้องให้ฝรั่งมาสอน แล้วครูที่สอนก็เป็น Professor มีความรู้เกี่ยวกับประเทศไทยเยอะ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ประเทศเพื่อนบ้านเรา ก็ทำให้เราเปิดโลกกว้าง เราเรียนเกี่ยวกับอเมริกา อังกฤษ มาตลอด แต่ที่นี่ทำให้เราเหมือนเปิดโลกใหม่เลย ทำให้เรารู้ว่าประเทศเพื่อนบ้านเรา เขาก็มีความสำคัญอย่างไร ผ่านอะไรมาบ้าง และรู้สึกดีที่เกิดเป็นคนไทย” อุ่นระบุ
ครอบครัวใหญ่ ลูกพี่ลูกน้อง คุณแป้ง
ด้วยนามสกุล ‘ล่ำซำ’ และเป็นตระกูลใหญ่ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าอุ่นมีศักดิ์เป็นอะไรกับคุณแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ เมืองไทยประกันภัย จำกัด
อุ่นตอบว่า “เป็นลูกพี่ลูกน้องค่ะ ถ้าพี่แป้ง คุณพ่ออุ่นเป็นน้องชายของคุณพ่อพี่แป้ง มีคุณปู่คนเดียวกัน คือคุณปู่จุลินทร์ ล่ำซำ อายุอุ่นห่างจากพี่แป้ง 15 ปี อุ่นเล่าให้ฟังถึงสายสัมพันธ์ในครอบครัวใหญ่
เมื่อถามว่า ดูแลตัวเองอย่างไรในช่วงวิกฤติโควิด-19
อุ่นตอบว่า อุ่นไม่นอนดึก ต้องดูแลตัวเองก่อนที่จะดูแลคนอื่นได้ พักผ่อนให้เพียงพอ หมุ่นออกกำลังกาย
“ช่วงกักตัว ก็รู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปในช่วงอยู่โรงเรียนประจำ ตอนนั้นเราก็ยังอยู่ได้ ตอนนั้นน่ากลัวกว่าอีกเพราะเราไม่มีใคร ก็ไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตอะไรมาก ข้อดีคือได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ทุกวิกฤติมีโอกาส ขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ว่าเราจะมองมันยังไง ตอนนี้ไปข้างนอกไม่ได้ ก็ออกกำลังที่บ้านได้ มีเวลามากขึ้นกว่าเดิม เป็นแนวทางว่าทำยังไงชีวิตจะได้ไม่เครียด เพราะทุกวันนี้ ฟังข่าวก็เครียดอยู่แล้ว” อุ่นระบุก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายถึงทัศนคติดี ๆ ในการใช้ชีวิต
ใช้ชีวิตให้บาลานซ์
อุ่นกล่าวว่า “สำหรับอุ่นเราก็ต้องบาลานซ์ให้ได้ระหว่างชีวิตการงาน กับชีวิตด้านอื่น ๆ ถ้าบ้างานมาก ก็จะส่งผลเสียกับสุขภาพ เราก็ต้องดูแลสุขภาพเราอย่างดี เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันที่ดี เพราะสุดท้ายเงินซื้อสุขภาพไม่ได้ อุ่นไม่อยากจะแก่ตัวไปแล้วต้องเอาเงินที่หามาตลอดชีวิต มาลงทุนกับการเข้าโรงพยาบาล เราต้องดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ เราก็ต้องคิดอย่างนั้นให้ตัวเอง ทำให้เราไม่กังวล หมั่นการดูแลตัวเอง ต้องดูแลทั้งมายด์ แอนด์ บอดี้”
ส่วนหลักคิดเมื่อเจอกับอุปสรรคปัญหา หรือคำพูดที่ทำให้เสียกำลังใจ อุ่นฝากไว้ว่า
“แม้เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่คนพูดให้เราเสียกำลังใจไปบ้าง แต่เราอย่าเอาคำพูดของเขามาทำให้เรารู้สึกไม่ดี เราเป็นเจ้าชีวิตของตัวเอง เราต้องทำให้เรามีความสุข สุดท้ายอุ่นว่ามันคือความสุขนั่นแหละ ว่าเราแฮปปี้กับสิ่งที่เราทำหรือเปล่า”