ชายคนหนึ่งเล่าประสบการณ์ขี่เวสป้าจากพิษณุโลกไปแม่กำปอง เข้าทางแจ้ซ้อน ลำปาง ตอนกลางคืน สุดหลอนเจอทั้งทางมืด บรรยากาศวังเวง เห็นเงาคล้ายเงาคนบ่อยครั้ง แถมเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ด้านคนพื้นที่เห็นแย้ง เกิดจากความมืดและมโน เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงสัตว์ป่า อีกคนก็แย้งว่า ระหว่างทางไม่มีหมู่บ้านไม่จริง จริงแค่ทางโหดและมืดเท่านั้น
วันนี้ (11 มี.ค.) ในโลกโซเชียลมีคนแชร์ข้อความจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Wan Racings โพสต์ข้อความบอกเล่าถึงการขี่รถจักรยานยนต์ในเวลากลางคืน ไปยังจุดหมายปลายทางหมู่บ้านแม่กำปอง สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมใน ต.ห้วยแก้ว อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ซึ่งในตอนต้นเจ้าตัวกล่าวแนะนำว่าถ้าจะไปแม่กำปอง แนะนำให้ขึ้นทาง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ อย่าเชื่อ GPS แนะนำเส้นทางด้าน อ.แจ้ซ้อน จ.ลำปาง จากคำบอกเล่าบรรยายว่า ตนขับขี่รถจักรยานยนต์เวสป้า (VESPA) ออกเดินทางจาก จ.พิษณุโลก ประมาณ 12.00 น.เศษ กะว่าจะไปถึงแม่กำปองประมาณ 17.00-18.00 น. แล้วไปกางเต็นท์ แต่เนื่องจากรถจักรยานยนต์เวสป้าต้องขี่ไปพักไป อีกทั้งสิ่งของที่นำมาตกจากรถจักรยานยนต์บ่อยครั้ง ทำให้กินเวลานาน
เมื่อมาถึงร้านสะดวกซื้อชื่อดัง บริเวณทางแยกก่อนถึงทางขึ้นแม่กำปอง จึงเข้าไปซื้อของเพิ่มเติมเพื่อที่จะเอาไปตั้งแคมป์ พอช่วงที่กำลังจะจ่ายเงินได้ถามพนักงานว่า แม่กำปองไปอีกไกลไหม พนักงานกล่าวว่า ประมาณ 50 กิโลเมตร แต่แนะนำให้หาที่นอนแถวนี้ก่อนแล้วตอนเช้าค่อยขึ้นไปแม่กำปอง เมื่อถามว่าทำไมก็ตอบว่า ทางขึ้นมืดมาก โค้งเยอะ มีเหวลึก มีคนตายบ่อย และไม่มีไฟส่องสว่างสักดวง เมื่อไม่นานเพิ่งมีรถนักท่องเที่ยวตกลงไปในเหว อันตรายมาก อีกทั้งมาคนเดียวด้วย แนะนำว่าให้รอขึ้นตอนเช้าจะดีกว่า และถามว่าทำไมมาทางนี้ เพราะปกติไม่ค่อยมีคนมา ขึ้นทาง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่กัน แต่ตนเห็นว่ามาถึงขนาดนี้แล้วคงไม่แย่ขนาดนั้น จึงตัดสินใจขี่รถจักรยานยนต์ต่อ
เมื่อถึงทางแยกขึ้นแม่กำปอง ฝั่ง อ.แจ้ซ้อน จ.ลำปาง ตนรู้สึกเฉยๆ เพราะแม้ไม่มีไฟส่องสว่างจริงแต่ยังมีบ้านคนอยู่ จึงขี่รถจักรยานยนต์ไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 กิโลเมตรจากทางแยกที่ขึ้นมา บ้านคนก็เริ่มค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ จากที่เห็นบ้านคนติดกัน 3-4 หลัง ก็เริ่มเห็นแค่หลังเดียวบ้าง ไม่เห็นบ้าง ขี่ไปได้สักพักเส้นทางเริ่มชันขึ้นไปเรื่อยๆ สัญญาณมือถือไม่ดี คิดว่าอย่าไปกลัว จากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น. ได้ยินเสียงของหล่นจากท้ายรถ จึงจอดดู ปรากฏว่า ถังน้ำมันท้ายรถตกลงมา ทั้งที่ตนมัดไว้แน่นมาก เขาเล่าว่าตอนที่ของตกอารมณ์เหมือนมีคนดึงกระชากจนรถโยก เมื่อดู GPS พบว่ามาไกลเกินจะกลับไปแล้ว จึงไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้อย่าเจออะไรที่ไม่ดี เพราะตนมาคนเดียว ก่อนจะขี่จักรยานยนต์ไปสักพัก เหมือนภาพช้าลง
จากความเร็วที่ขี่มาตอนแรก 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่บิดจนหมดปลอกแล้ว ได้แค่ 10-15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บรรยากาศวังเวงและเงียบมาก จนได้ยินเสียงหายใจตนเองในหมวก กับเสียงเครื่องยนต์ที่เหมือนจะดับอยู่ตลอดเวลา พอมาถึงช่วงที่เลี้ยวโค้งหักศอก แสงไฟหน้ารถสาดไปตรงมุมโค้ง ชายคนนี้อ้างว่าหางตาผมเหลือบไปเห็นอะไรบ้างอย่าง เป็นเงาดำๆ เหมือนคนยืน มองโทรศัพท์เพื่อดูแผนที่พบว่าเหลืออีก 20 กิโลเมตร ก็เริ่มใจเสีย ความรู้สึกเหมือนมีคนตามมาตลอด พยายามหันไปมองกระจกหลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลยเพราะมืดมาก ขี่ไปได้อีกประมาณ 3-4 กิโลเมตร เห็นเหมือนเป็นคนนั่งก้มหน้าอยู่ข้างทาง ตนตกใจจนรถเกือบล้ม เมื่อขี่ไปได้อีกซักพัก เห็นเหมือนคนวิ่งตัดหน้ารถ
ผู้ใช้เฟซบุ๊กคนดังกล่าว ยอมรับว่า กลัวสุดขีด ได้แต่โทษตัวเองว่าทำไมไม่เชื่อพนักงานร้านสะดวกซื้อที่เตือน ขี่มาสักพักก็ถึงหน่วยพิทักษ์ป่าดอยลาน อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ เห็นไม้กั้นทางเพื่อเก็บเงินนักท่องเที่ยว ทีแรกเริ่มใจชื้นขึ้นมาทันที แต่กลับพบว่าไม่มีคน ไม่มีแม้แต่แสงไฟ หันไปดู GPS ในโทรศัพท์มือถือ ยังเหลืออีก 8-9 กิโลเมตร เลยขี่ออกมาจากตรงนั้นได้สักพัก ปรากฎว่าน้ำมันหมด ไม่มีเหลือสักขีด ถ้าจะจอดเติมน้ำมันก็ต้องยกของออกจากรถทั้งหมดเพื่อที่จะเปิดเบาะเติม แต่อีกใจหนึ่งก็กลัว และกว่าจะเอาของลงกว่าจะมัดเชือกอีก ถนนมืด ไฟไม่มีก็มองไม่เห็น ถึงกระนั้นเขาตัดสินใจลุยต่อ ขี่มาได้สักพักเป็นเนินที่ชันและโค้งแบบเกือกม้า รถขึ้นแทบจะไม่ไหวเลยลงจากรถแล้วเข็นพร้อมกับบิดคันเร่งไปด้วย
ระหว่างนั้นเขาเปิดกระจกหมวกกันน็อก ตะโกนด้วยคำหยาบคาย ทำนองว่าทำไมต้องเจออะไรแบบนี้ ทั้งที่มาเที่ยวพักผ่อน กลับรู้สึกว่าได้ยินเสียงเหมือนเสียงคนหัวเราะ เมื่อตะโกนด่าหยาบคายกลับไปว่าหัวเราะอะไร แน่จริงมาช่วยดันรถเลยสิ ปรากฎว่าได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งลงมาจากป่า เหมือนเสียงวิ่งเหยียบใบไม้ ตนตกใจกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วบิด เขาอ้างว่าเหมือนมีคนมาดันรถให้จริง จากรถที่อืดมาทั้งทาง ความเร็วก็เพิ่มขึ้นเป็น 10, 20 และ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในช่วงนั้นมือสั่นไปหมด คิดอะไรไม่ออกแล้ว ได้แต่คิดในใจขอบคุณที่ช่วยดัน แต่พบว่าข้างหน้าเป็นทางลงแบบชัน เป็นเหวลึกก่อนถึงหมู่บ้าน ของที่ขนมามันมีน้ำหนักเยอะมากเกินไป บวกกับความเร็วรถที่ขึ้นมาจากเนินทำให้เบรกไม่อยู่ กลิ่นเหม็นไหม้จากจานเบรกลอยขึ้น ตนกำจนแน่นทั้งเบรคหน้าเบรคหลังแต่เบรกไม่อยู่
ในตอนนั้นนึกถึงหน้าพ่อแม่ รู้สึกผิดที่แอบมาเที่ยว คนที่บ้านไม่มีใครรู้ว่ามาเชียงใหม่ ถ้าเป็นอะไรไปใครจะรู้ และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง ปรากฎว่าเหมือนมีคนดึงรถผมให้ช้าลง เมื่อมองกระจกเห็นสิ่งที่มีลักษณะคล้ายคน เห็นแค่พริบตาเดียวแล้วหายไป ต่อมาอีกไม่นานก็ถึงน้ำตกแม่กำปอง ซึ่งเส้นทางจะมีธารน้ำตัดผ่าน เขาอ้างว่าเหลือบไปเห็นคนสองคนแล้วก็หายไป ขี่ต่อมาจนถึงร้านค้าในแม่กำปอง ถามว่ามีที่พักว่างหรือไม่ ตนจะไปกางเต็นท์แต่กลัว แม่ค้ารายนั้นกล่าวว่า ไปอีกเล็กน้อยจะมีโฮมสเตย์ อยู่น่าจะว่าง จึงกล่าวขอบคุณ แม่ค้าถามว่ามาคนเดียวหรือ ตนตอบว่าใช่ มาจากพิษณุโลก แม่ค้ากล่าวว่า ตอนแรกป้าเห็นหนุ่ม นึกว่ามีคนซ้อนมาด้วย ตนนึกในใจว่าขนของมาเยอะขนาดนี้จะซ้อนยังไง ก่อนบอกขอบคุณแม่ค้าแล้วขี่กลับที่พัก
ข้อความดังกล่าวมีชาวเน็ตคอมเมนต์และแชร์จำนวนมาก บางคนกล่าวว่า กลางคืนไม่ควรขับบนเขาถ้าไม่ชินทาง อันตรายมากมองทางไม่เห็น บางคนเห็นว่าเส้นทางนี้เงียบสงัด รถไม่ค่อยผ่าน ทางแคบชัน ผิวถนนไม่ค่อยดี แต่ก็มีคนในพื้นที่เห็นแย้งว่า บางอย่างก็เกิดจากความมืดและมโน เพราะไฟถนนไม่มีแต่เห็นคนผ่านกระจกหลังได้อย่างไร อย่าเอาเรื่องงมงายมาใส่ในพื้นที่บ้านเกิดของพวกตน คนที่เขาอยู่จริงๆ ไม่เคยเจอสักคน เขาเห็นว่าทางมืดจริง และอันตราย กลางคืนถ้าไม่ใช่คนพื้นที่ก็จะรู้สึกหลอน แต่ถ้าเป็นคนพื้นที่เสียงหญ้า เสียงต่างๆ มาจากสัตว์ป่าล้วนๆ ทั้งหมูป่า กวาง กระต่าย นกยูง ป่ากับความมืดนั้นน่ากลัว ตอนเด็กก็กลัวแต่พอโตมาก็รู้เอง เสียงอะะไรที่ดังมาจากป่าเสียงร้องแปลกๆ เหมือนคนโหยหวน คือเสียงสัตว์ป่าหมด
อย่างไรก็ตาม มีชาวจังหวัดลำปางอีกรายหนึ่งเห็นแย้งกับผู้เขียนว่า เส้นทางที่ชายคนดังกล่าวไปไม่ใช่ทาง อ.แจ้ซ้อน จ.ลำปาง แต่เป็นทางบ้านดอนชัย ส่วนที่กล่าวว่า ระหว่างทางไม่มีหมู่บ้านนั้น ไม่จริง ที่นั่นมีหมู่บ้านป่าเมี้ยง ก่อนถึงแม่กำปอง 13 กิโลเมตร อีกทั้งก่อนจะถึงน้ำตกแม่กำปอง มีอุทยานกิ่วฝิ่นอยู่ เจ้าหน้าที่มีตลอด มีลานกางเต็นท์ป่าสน เพราะฉะนั้นเรื่องจริงที่ผู้โพสต์เล้ามามีแค่ 30% เท่านั้นคือทางโหดและมืด