หนุ่มโพสต์อุทาหรณ์ หากพาสุนัขไปตั้งแคมป์ ควรนะวัง เหตุแคมป์ข้างๆ จุดพลุ ทำน้องหมาคอร์กี้สุดรักตกใจวิ่งเตลิดหายต้องช่วยกันตามหาท่ามกลางอากาศหนาวและความมืด พร้อมขอบคุณเจ้าของรีสอร์ตและชาวบ้านที่ช่วยตนทุกทาง
วันนี้ (8 ธ.ค.) เฟซบุ๊ก “Anuwat Tooktham” ได้โพสต์เตือนหลังพาสุนัขไปท่องเที่ยวที่กำลังนิยมในฤดูหนาวนี้ คือ การกางเต็นท์ โดยขณะที่นั่งดื่มด่ำบรรยากาศนั้น ได้เผยว่า “ผมและเพื่อนๆ และน้องเซดี้ต้องขอขอบคุณพี่เจ้าของรีสอร์ตและทีมงานเจ้าหน้าที่ทุกท่านจากหัวใจจริงๆ เรื่องมันมีอยู่ว่าผมและเพื่อน ๆ พร้อมน้องเซดี้ สุนัขพันธุ์คอร์กี้ อายุ 9 เดือน ได้มากางเต็นท์ที่ “ปาท่องโก๋” ในระหว่างวันที่ 5-6 ธันวาคม 2563 น้องออกมาแคมป์หลายครั้งแล้ว
เราเริ่มออกจากเดินทางมาจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้ามาถึงที่รีสอร์ต ประมาณ 14.00 น. หลังจากมาถึงพวกเราก็ได้จัดแจงกลางเต็นท์ และทำกิจกรรมต่างๆ ที่ทางรีสอร์ตมีให้ (ฟรี) เช่น พาย supboard และพายเรือยาง พวกเราสนุกและชอบที่นี่มากๆ สถานที่สะอาด และวิวสวยมากๆ จริงๆ ถือเป็นอีกสถานที่นึงที่พวกเราชาว Camper ต้องมาให้ได้จริงๆ ในวันที่ผมมาถึง อากาศอุณหภูมิประมาณ 25° (เวลา 14.00) หลังจากทำกิจกรรมเสร็จพวกเราก็ประกอบอาหาร ดื่มด่ำกับบรรยากาศ อากาศก็เริ่มเย็นลงเช่นกัน
เวลาประมาณ 19.20 น. อากาศเย็นลง 18°
ผมและเพื่อนๆ เพิ่งเริ่มดื่มไปประมาณ 2 แก้วเท่านั้น! ทันใดนั้นได้มีเสียงพลุจาก Camp ข้างๆ ได้จุดขึ้น เสียงดัง 4-5 นัด พลุสวยงาม ขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิด ท่ามกลางหุบเขาและอากาศหนาว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็คือ ตั้งแต่พลุนัดแรกที่ดังขึ้น “น้องเซดี้” สุนัขที่ผมเลี้ยงไว้ ที่นั่งข้างๆ ผม ตลอดเวลา มีการใช้สายจูงและผูกติดกับผมไว้ หลุดไปจากผม ตั้งแต่การจุดพลุนัดแรก! ผมพยายามวิ่งตามน้องสุดความสามารถ (ลุกวิ่งตามออกมาโดยไม่ใส่รองเท้าบนแผ่นหินที่แหลมคมมาก) แต่น้องวิ่งไวมากๆ และวิ่งตรงไปอย่างสุดชีวิต เนื่องจากกลัวเสียงจากพลุที่ดังขึ้น น้องได้หายไปกับความมืด ด้วยความที่น้องมีขนสีดำ จึงได้หายพลางตัวไป และมองไม่เห็นน้องอีกเลย ซึ่งรีสอร์ตแห่งนี้ มีภูเขาใหญ่ตั้งอยู่ตรงข้ามรีสอร์ต (ภาพภูเขาตรงข้ามเดี๋ยวแนบมาให้ดูครับ)
ขอเล่าก่อนว่า ระหว่างที่ผมวิ่งไล่ตามน้องนั้น พี่เจ้าของรีสอร์ตก็ได้วิ่งออกมาด้วยเช่นกัน พร้อมกันกับน้องพนักงานอีก 2-3 คน ทุกคนมีไฟฉายไฟฉายติดตรงที่หัว ส่วนผมหรอ..มีแค่แสงไฟจากมือถือเท่านั้น พอหันไปเจอพี่เจ้าของรีสอร์ตและพี่เขาได้เดินมาคุยสอบถามกับผม ในมือพี่เขาถือตะเกียง Coleman แสงไฟสว่างจ้ามากๆ พอได้พูดคุยเสร็จเราได้ตกลงกันค้นหาน้องหมาของผมเริ่มตั้งแต่เวลา 19.30 น. ช่วงเวลาเริ่มการค้นหาน้องเซดี้ได้เริ่มต้นขึ้น เราเริ่มทำการค้นหาจากการเดินตามถนนและร้องตะโกนชื่อน้อง เซดี้..อย่างสุดเสียง สุดพลังจากริมถนนเข้าไปในป่ามืดสนิดตลอดสองข้างทาง ส่วนเพื่อนผมอีกกลุ่มนึงก็ช่วยหาในรีสอร์ตและขับรถออกไปวนรอบถนนบริเวณรอบรีสอร์ต ทุกคนทำการค้นหาอย่างสุดความสามารถ
หลังจากการค้นหาแล้วไม่เจอ พี่เจ้าของรีสอร์ตได้เข้ามาคุยกับผม และนำรถ ATV มาช่วยในการค้นหา ผ่านไปประมาณ 10 นาที เรายังหาน้องไม่เจอ..พวกเราต้องเปลี่ยนแผนเป็นการค้นหาและเดินเท้าขึ้นไปบนภูเขา พร้อมกับน้องๆ พนักงาน อีก 4-5 คน ผมและพี่เจ้าของรีสอร์ต พร้อมกับคนชำนาญพื่นที่ได้ตัดสินใจเดินปูพรมค้นหาน้อง โดยเดินจากริมถนนขึ้นไปยังบนภูเขาที่สูงชันและมืดสนิด..ระหว่างการเดินขึ้นไปบนป่า พี่เจ้ารีสอร์ตได้เดินไปกับพวกเราและพูดให้กำลังใจผมตลอดเวลา ในมือก็ยังถือตะเกียง ที่มีแสงส่องสว่างไสว
ด้วยความที่ผมในใจยังไงต้องหาน้องให้เจอให้ได้คืนนี้ จึงได้เดินขึ้นไปได้ด้วยความไม่กลัว ในความคิดผมก็จินตนาการไปต่างๆนานา ว่าน้องจะเป็นยังไงบ้าง เวลาผ่านไปอีก 1 ชั่วโมง การค้นหาโดยการปูพรมในครั้งที่ 2 ยังหาน้องไม่เจอ..เราได้กลับลงมาพักแล้ววางแผนการค้นหาครั้งที่ 3 อีกครั้ง
พวกเราได้เริ่มต้นการค้นหาอีกครั้ง โดยครั้งนี้ มีพี่เจ้าของ และพนักงานอีก 4-5 ท่าน ผมและเพื่อนอีก 3 คน รวมประมาณ 7 คน พร้อมสุนัขดมกลิ่นอีก 4 ตัว ได้กลับขึ้นไปบนภูเขาอีกครั้ง โดยใช้อีกเส้นทางหนึ่งขึ้นไปได้สูงกว่าเดิม พวกเราออกเดินประมาณ 21.00 น. โดยมีเพื่อนอีกกลุ่มรออยู่ด้านล่าง Stand by ที่รีสอร์ตเผื่อน้องจะกลับมา พวกเราเริ่มค้นหาน้องอีกครั้ง (อากาศเริ่มเย็นลงประมาณ 16° องศา ด้วยความที่เป็นป่าชื้น ผมได้ตะโกนเรียกชื่อน้องจนหมดเสียง แต่ก็ยังไม่มีเสียงเห่าตอบกลับ พวกเราได้เดินขึ้นบนภูเขาเริ่มสูงชันขึ้นเรื่อยๆ เวลาผ่านไปประมาณ 50 นาที เดินขึ้นเขาได้ประมาณ 2-3 กิโล มีเสียงโทรศัพท์จากเพื่อนผม
เวลาประมาณ 21.55 น. เสียงดีใจอย่างสุดเสียงจากเพื่อนสนิทผม โทร.มาว่าเจอน้องแล้ว น้องกลับมาและมาหลบตรงห้องน้ำที่ล้างจาน สภาพของน้องตื่นตกใจมากๆ สายจูงเปียก เหมือนน้องไปหลบในพุ่มหญ้าและน้ำซักที่ พวกเราดีใจและผมไม่รู้จะขอบคุณยังไง กับความมีน้ำใจของพี่เจ้าของรีสอร์ตและพนักงานทุกท่าน รวมถึงชาวบ้านในย่านนี้ด้วย ผมและเพื่อน ต้องขอบคุณจากใจจริงๆ ที่ช่วยพวกเราอย่างเต็มที่สุดท้ายก็ได้น้องกลับมา น้องหายไปกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง ไม่รู้จะตอบแทนยังไงจริงๆ
เรื่องราวที่เล่ามานี้ ผมแค่อยากจะแชร์ประสบการณ์ ให้กับเพื่อนๆ ชาว Camper ที่พาน้องสุนัขมากับเราด้วย อยากให้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะไม่ได้โชคดีแบบผมทุกคน สุดท้ายนี้ขอขอบคุณเพื่อนในทริปทุกคนที่ช่วยออกตามหาอย่างสุดความสามารถ และพี่เจ้าของรีสอร์ต “ปาท่องโก๋” ขอบคุณมากครับ และผมกับน้องเซดี้จะกลับมาเที่ยวอีกครั้งอย่างแน่นอน”
คลิกโพสต์ต้นฉบับ