จากการเปิดตัววงซีจีเอ็มโฟร์ตีเอต (CGM48) มากว่า 1 ปี ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการทักทายเบื้องต้นในท่ามกลางเรื่องต่างๆ ซึ่งแม้ว่าจะขลุกขลักไปบ้าง แต่โดยภาพรวมก็ถือว่ายังพอยิ้มได้ ซึ่งกับก้าวที่สองของวงนี้ ก็มาด้วยซิงเกิล ‘Melon Juice’ ที่มี คนิ้ง-วิทิตา สระศรีสม และ สิตา ธีรเดชสกุล ดับเบิลเซ็นเตอร์ของซิงเกิลนี้ และพร้อมแล้วสำหรับการเสิร์ฟน้ำเมล่อนที่มาพร้อมกับความสดใสและสนุกสนานให้กับทุกคนได้ลิ้มรสไปพร้อมกัน
ตอนที่ทราบว่าเราทั้งคู่เป็นเซ็นเตอร์คู่ในซิงเกิลนี้ ความรู้สึกแรกสุดและโดยรวมเป็นยังไงบ้าง
สิตา : ตอนที่ตัวเองรู้ว่าได้เป็นเซ็นเตอร์ซิงเกิลนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก เพราะว่าตอนซิงเกิลแรกตัวเองก็รับหน้าที่นี้เหมือนกัน แต่พอมาทำหน้าที่ในซิงเกิลนี้อีก ก็รู้สึกว่ามันสุดยอดลัเกินคาดมากๆ นับตั้งแต่เข้าวงมา แล้วก็รู้สึกว่า เรามาได้ไกลเหมือนกันนะเนี่ย แล้วก็แอบมีความท้าทายนิดนึง เพราะว่ามันเป็นครั้งที่ 2 ทุกคนก็จะต้องคาดหวังมากขึ้นใช่มั้ยคะ ก็เลยจะต้องฝึกหนักให้มากกว่าเดิมค่ะ
คนิ้ง : ความรู้สึกแรกก็ไม่คิดว่าเราจะได้เป็นไวขนาดนี้ค่ะ เพราะว่า หนูรู้สึกว่าหนูยังไม่พร้อมเลยนะคะ แต่ พี่รินะ (รินะ อิซึตะ : สมาชิกและผู้จัดการวง CGM48) ก็คงเห็นอะไรซักอย่างที่ดีเด่นในตัวหนู ก็จะพยายามให้เต็มที่ค่ะ
อยากให้ช่วยเล่าถึงการทำงานในซิงเกิลนี้หน่อยครับ
สิตา : มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับพวกเรามากค่ะ เพราะว่า ด้วยสมาชิกเซ็มบัทสึที่เปลี่ยนไป มีคนใหม่เข้ามา แล้วน้องๆ อันเดอร์เกิร์ลก็มีเพลงเป็นของตัวเองด้วย จากตอนแรกที่มีการทำงานทั้งสองซิงเกิล ตอนนี้ก็เหมือน มีแอร์ไทม์ให้กับน้องๆ มากขึ้น เราก็จะไปโฟกัสกับเพลงหลักได้อย่างเต็มที่มากขึ้นด้วยค่ะ แล้วก็เป็นเพลงที่สดใสมากๆ เหมือนกับเป็นการปรับลุคของวงด้วย มันเป็นการทำงานใหม่และเพลงใหม่ เลยกลายเป็นรูปแบบใหม่ มันก็สนุกและท้าทายมากค่ะ
การเป็นเซ็นเตอร์ครั้งแรกของคนิ้ง กับ การเป็นเซ็นเตอร์อีกครั้งของสิตา อยากให้แต่ละคนช่วยเล่าถึงความแตกต่างของแต่ละคนหน่อยครับ
คนิ้ง : การเป็นเซ็นเตอร์ของหนู มันเหมือนกับเป็นการเปิดโลกมากๆ เลยค่ะ เพราะว่า เวลาออกงานต่างๆ หนูไม่เคยต้องพูดโปรโมตอะไรขนาดนี้เลย ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่นัก (หัวเราะเบาๆ) ก็จะพยายามไปค่ะ
สิตา : ส่วนสำหรับหนู เราเคยทำหน้าที่เซ็นเตอร์ประมาณ 3 ครั้งได้ รวมตอน ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ ที่ไปทำหน้าที่ที่ World Sembatsu ที่ญี่ปุ่น ก็รู้สึกว่ายังไม่ชินกับสิ่งที่ทำอยู่ ณ ตรงนี้ ก็น่าจะเป็นความแตกต่าง แต่ก็จะคล้ายๆ คนิ้งตรงที่ว่ามันก็ยังตื่นเต้นอยู่เรื่อยๆ แต่รอบนี้มันพิเศษมากขึ้นตรงที่ว่าเรามีเพื่อนด้วย สามารถช่วยกันได้ มีอะไรก็ถามๆ กัน เพราะทางเราเหมือนกัน (หัวเราะเบาๆ)
ทั้งชิไฮนินและกัปตันวง ได้ให้คำแนะนำยังไงเพิ่มเติมกับทั้งคู่ยังไงบ้างครับ
คนิ้ง : ของหนูนี่เยอะมากเลยค่ะ กับการทำหน้าที่เซ็นเตอร์ครั้งแรก นับตั้งแต่ที่มีการประกาศเซ็มบัทสึของซิงเกิลนี้ว่ามีใครบ้าง เราทั้งสองคนก็ได้เรียกไปคุยกันประมาณว่า การเป็นเซ็นเตอร์ของเพลงต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง พี่รินะก็จะชี้แนวทางค่ะ ว่าเรามีหน้าที่ก็คือโปรโมตเพลงของพวกเรา และแนะนำแนวทางของเพลงให้ไปตามแนวทาง หรือถ้ามีเรื่องที่กดดันหรือไม่สบายใจ หนูก็ไปคุยกับพี่รินะ พี่เขาก็คอยให้กำลังใจหนู และแนะนำแนวทางต่างๆ ค่ะ
สิตา : ถ้าเป็นพี่รินะ ก็จะมีการเรียกไปคุยอยู่เรื่อยๆ นะคะ พี่เขาก็บอกว่าไม่ต้องไปเครียดหรือกดดันนะ ก็คอยชี้แนะแนวทาง และคอยให้กำลังใจให้ พูดในฐานะรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์ อะไรประมาณนี้ ส่วนพี่ออม (ปุณยวีร์ จึงเจริญ : สมาชิกและกัปตันวง CGM48) ส่วนใหญ่เราก็จะได้ออกงานด้วยกันบ่อย ส่วนใหญ่ก็คอยเตือนสติพวกเรา และคอยเสริมคอยสอนพวกเราดีมากๆ เลยค่ะ
จากการเข้ามาเป็นสมาชิกวง ถือว่ามีความยากลำบากในการปรับตัวจากเด็กสาววัยรุ่นปกติด้วยมั้ย
คนิ้ง : จะเรียกว่าเปลี่ยนไปมั้ย ส่วนตัวหนูถือว่ามาก (เน้นเสียง) เลยค่ะ เพราะว่าการที่เข้ามาอยู่ในวง และมาอยู่ในระบบหอ ซึ่งหนูไม่เคยอยู่มาก่อน ต้องใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนๆ สมาชิกคนอื่นๆ เราต้องมีการซักผ้า ตื่นเช้าเอง โดยที่ไม่มีพ่อแม่คอยปลุก ก็คอยไปโรงเรียนเอง แล้วเวลาที่มีงานที่ต้องทำ และมีเรียน มีเวลาซ้อมเต้นและร้อง เราก็ต้องแบ่งเวลาให้ถูก ต้องแบ่งเวลาให้ได้
สิตา : ถ้าเป็นเรื่องอยู่หอหรือไกลบ้าน ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเรา แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เปลี่ยนไป ก็น่าจะเป็นเรื่องตัวเราที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ค่ะ เพราะว่า ก่อนหน้านี้ เวลาที่เราจะทำอะไรก็จะนิ่งๆ จะไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไหร่ จะทำตัวไปเรื่อยๆ แต่พอมาอยู่ในวงแล้ว เราก็จะต้องมีความเป็นมืออาชีพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ในวงคอยย้ำเสมอว่า พอเรามาอยู่ที่นี่ เราจะต้องทำงานให้เป็นมืออาชีพ ต้องมีสติให้มากขึ้น แล้วก็มีความเป็นผู้ใหญ่ ก็ตามที่อย่างที่บอกเลยค่ะ ก็รู้สึกว่าเราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นการปรับตัวที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เข้าวงสำหรับเราเลยค่ะ
ด้วยพื้นฐานทักษะของทั้งคู่ อย่างเรื่องการเต้นหรือการร้องที่ไม่มีเลย การได้เข้าวงมา ถือว่าเป็นบททดสอบและความท้าทายด้วยมั้ยครับ
คนิ้ง : สำหรับหนูถือว่าเป็นบททดสอบที่ท้าทายมากค่ะ เพราะว่าทั้งเรื่องการร้องและการเต้น ถือว่าเป็นศูนย์เลยค่ะ เพราะว่าเราไม่ใช่เด็กที่สนใจในเรื่องดนตรีหรือการร้องเป็นพิเศษ ก็เลยคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวมากเลย แต่พอเราผ่านการออดิชั่นเข้ามาแล้ว มันทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ได้สัมผัสสิ่งต่างๆ มากมาย แล้วก็รู้สึกว่า การได้มาอยู่ตรงนี้มันก็สนุกสนานดีเหมือนกันค่ะ (หัวเราะเบาๆ)
สิตา : ส่วนหนูถือว่าเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตไปเลย เพราะปกติเป็นคนที่พลังงานต่ำค่ะ แถมยังทำตัวเฉื่อยๆ ง่วงๆ ทำให้ช่วงแรกยังมีคาแร็กเตอร์นี้อยู่ แต่พอเรามาอยู่ในวง เราต้องออกกำลังกาย ซ้อมเต้น และก็ขยับตัวมากขึ้น จากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเรา แถมการเต้นกับการร้องมันเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับเรา พอถึงเวลาที่เราซ้อมมันก็มีท้อนะ แต่พอเราคิดอีกทีว่าถ้าเราทำได้ดีแล้วคนอื่นจะมีความสุข มันก็คุ้มที่เราจะตั้งใจทำ
ขณะเดียวกัน ความกดดันหรืออุปสรรคต่างๆ ถือว่าเป็นแรงผลักดันให้เราทั้งคู่ได้เผชิญต่อด้วยมั้ย
คนิ้ง : ถือว่าเป็นนะคะ เพราะว่า บางช่วงที่ดิ่งๆ หนูก็ไม่ทำอะไรเลย พอเรามาคิดได้ ก็รู้สึกว่า เราจะใช้เวลาเรื่อยเปื่อยไม่ได้แล้วนะ แล้วก็เอาอุปสรรคตรงนั้นมาเป็นสิ่งที่ตั้งเป้าใหม่ว่า ต้องผ่านและทลายกำแพงออกไปให้ได้
สิตา : หนูจะเป็นคนที่ท้อบ่อย แต่มันก็เป็นแค่แป๊บเดียว ซักพักก็ลืม เหมือนที่คนิ้งบอก เวลาเราเหนื่อยๆ แล้วก็นอน แล้วซักพักมันก็หายไปเลย ก็เลยรู้สึกว่ามันก็เป็นแรงผลักดันนะ บางครั้งเราก็อยากจะลบคำสบประมาทของคนที่เขาบอกเราว่าไม่เจ๋งพอ มันก็ช่วยได้นะคะ แต่สิ่งที่ช่วยได้จริงๆ ก็คือ การสนับสนุนจากแฟนคลับ อันนี้คือทำให้เรามีแรงผลักดันมากขึ้น ไม่เชิงกดดัน แต่ว่ามีพลังในการทำงานมากกว่าค่ะ
ในฐานะที่ชอบศิลปะทั้งคู่ คิดว่าศิลปะในการเป็นไอดอล ตามคำนิยามของแต่ละคนเป็นยังไงครับ
คนิ้ง : สำหรับหนู ความหมายของศิลปะตั้งแต่เด็กเลย เขาจะบอกว่า ศิลปะไม่มีถูกหรือผิด แต่ก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เพราะในเส้นทางนี้ ศิลปะมันก็จะเกี่ยวกับการแสดง การร้อง อะไรประมาณนี้มากกว่า ก็เลยเป็นการแสดงในเชิงความสดใสทางอารมณ์ว่ามันมีความสุข เราอยากให้ทุกคนร่าเริง และมีความสนุกสนานไปด้วยกันกับพวกเราค่ะ
สิตา : ในความเห็นส่วนตัวของเรา มันอาจจะดูลอยๆ แต่ไอดอลกับศิลปะ ถ้าเรื่อง Performance มันก็ใช่เหมือนกันแหละ แต่ในเรื่อง Mood & Tone ของสมาชิกแต่ละคนที่ออกมา ออร่าของสีของแต่ละคนที่ออกมามันไม่เหมือนกันเลย เราสามารถไปแต่งแต้มอะไรก็ได้ให้คนอื่น มันน่าจะเป็นอารมณ์นั้นมากกว่านะคะ (หัวเราะ)
ให้ทั้งคู่พูดถึงแต่ละคนซึ่งกันและกันหน่อยครับ
คนิ้ง : (หันไปมองสิตา) พี่สิตาคะ หนูนับถือพี่จริงๆ ค่ะ หนูพูดตรงนี้เลยนะคะ (หัวเราะ) เพราะตอนช่วงโปรโมตซิงเกิลแรก หนูก็ได้มีโอกาสมาร่วมโปรโมตด้วย ตอนนั้นพี่สิตาเป็นเซ็นเตอร์ หนูก็เห็นว่าพี่เขามีความสามารถในการพูดมากนะคะ พี่เขาบรรยายได้เก่งมาก ต่างกับหนูที่พูดยังติดๆ ขัดๆ อยู่ แล้วก็ยังไม่กล้าพอที่จะพูด เหมือนกับตัวเองไม่มีความรู้ที่จะพูด ทั้งๆ ที่ก็มีเหมือนกันนะ หนูรู้สึกว่าตัวเองพูดมันยังแปลกๆ อยู่นะ ก็นับถือในการสื่อสารในการพูดของพี่สิตาค่ะ
สิตา : จริงๆ เราก็มีไอดอลในวงอยู่หลายคนเหมือนกัน ทั้งพี่รินะ, น้องเจเจ (ศุภาพิชญ์ ศรีไพโรจน์) แล้วก็พี่ฟอร์จูน (ปัณฑิตา คูณทวี) แต่ตอนนี้ก็ต้องเพิ่มน้องคนิ้งเข้ามา เพราะว่าน้องเขาเป็นคนที่ก้าวกระโดดมากในสายตาเราเอง ทั้งในเรื่อง Performance ที่สุดยอดมากจริงๆ จนรู้สึกว่าตัวเองจะต้องพัฒนาให้ได้มากขึ้น และต้องตามคนิ้งให้ทัน อารมณ์นี้มากกว่า ค่ะ
ยังจำความรู้สึกตอนที่ติด CGM48 อยู่มั้ยครับ แล้วพอมาคิดอีกทีความรู้สึกยังเหมือนเดิมอยู่รึเปล่า
คนิ้ง : ถามว่าความรู้สึกยังเหมือนเดิมมั้ย ขอบอกว่าไม่เหมือนเดิมค่ะ เพราะว่าตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าติด CGM48 เข้ามา ตอนนั้นตื่นเต้นนะ แล้วก็รู้สึกงงๆ ว่าทำไมเราถึงติด เพราะรู้สึกว่าเราไม่ได้มีดีอะไรเลยค่ะ เนื่องจากความสามารถของเราในเรื่องต่างๆ แทบไม่มีเลย แถมยังพูดไม่รู้เรื่องอีก แต่พอได้อยู่นานๆ เข้า ก็รู้สึกว่า ตัวเองก็ทำได้เหมือนกันนี่นา ถ้ามีความพยายามก็ทำได้นะ นั่นคือสิ่งที่หลายๆ คนบอก ซึ่งนั่นก็คือเรื่องจริงค่ะ ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นค่ะ
สิตา : ไม่เหมือนเดิมเหมือนกันค่ะ เพราะว่าเราในตอนนั้นยังมีความรู้สึกช้ากว่านี้ค่ะ อย่างถ้าเป็นตอนนี้ ถ้าเราได้รับโอกาสอะไรที่ได้มา ก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก หรือในขณะเดียวกัน ถ้ามีคนพูดถึงเราเยอะขึ้น ก็มีความดีใจมากเช่นเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนที่มีความรู้สึกที่เย็นชาว่า “ติดแล้วยังไง ก็คิดว่าทำได้อยู่แล้วนะ” แต่ตอนนี้เหมือนมีความรู้สึกว่าตัวเองเด็กลงนะ ประมาณนี้ค่ะ (ยิ้ม)
ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปี นับตั้งแต่เป็น CGM48 คิดว่าโดยส่วนตัวยังมีข้อไหนที่ยังต้องแก้ไขอีกบ้าง
คนิ้ง : น่าจะเป็นเรื่องของการพูดค่ะ เพราะตอนสมัย ม.2 หนูเคยได้รับบททดสอบหนึ่งจากคุณครูว่า เรามีทักษะในด้านไหน และมีการขาดตกบกพร่องอะไร หนูก็ยื่นคำตอบกลับไปว่า เป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่องนะ ซึ่งก็จะต้องทำการฝึกฝนต่อไปค่ะ เชื่อว่าซักวัน หนูจะต้องพูดได้อย่างคล่องแคล่วค่ะ
สิตา : ถ้าเป็นเรื่องจะปรับและแก้ให้มากที่สุด ที่คิดอยู่ทุกๆ วัน ก็คือเรื่อง Performance ค่ะ หนูอยากจะทำให้ดีกว่านี้ไปเรื่อยๆ ค่ะ อีกเรื่องก็คือ หนูน่าจะปรับปรุงในเรื่องของอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ประมาณว่า บางวันถ้าร่าเริงก็ลงภาพในอินสตาแกรมรัวๆ หรือในบางครั้ง หนุก็อยากจะหายไป 2-3 เดือน เราอยากจะแก้มันในตรงนี้ ประมาณนี้ค่ะ
ในการเผชิญปัญหาของไอดอลต่างๆ ณ ตอนนี้ เราก้าวข้ามกับสิ่งเหล่านี้มาได้บ้างรียัง
คนิ้ง : สำหรับหนู ถ้าจะก้าวข้าม หนูจะทำจิตใจให้สงบค่ะ เนื่องจากมันจะมีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่รู้สึกว่ามันเกินตัวเองมากๆ หนูรู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว หนูเลยเปิดเพลงแล้วนั่งสมาธิเลยค่ะ ซึ่งถือว่ามันดีนะคะ แล้วก็การปรึกษาคนรอบข้าง ก็สามารถช่วยได้เหมือนกัน
สิตา : เวลาที่หนูเผชิญในหลายๆ แบบ แล้วทำให้รู้สึกบั่นทอนในตัวเอง หนูก็ไม่สนใจค่ะ แล้วก็เรียกความมั่นใจให้กับตัวเองกลับมาซักระยะหนึ่ง ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่ อารมณ์ประมาณว่า ‘ก็สวยไง’ แล้วสิ่งที่เราเผชิญอยู่มันก็จะหายไปในความรู้สึก แต่ถ้าเป็นบางเรื่อง บางครั้งก็รู้สึกว่าให้เวลาเป็นการพิสูจน์ว่า เดี๋ยวซักวันเขาก็จะรู้ว่า สิ่งที่เราทำนั้นมันเจ๋งนะ ประมาณนี้ค่ะ
กับก้าวที่ 2 ในการนำของเราทั้งคู่ คิดว่า อยากจะให้ CGM48 ไปในทิศทางใด อย่างไรบ้างครับ
คนิ้ง : สำหรับซิงเกิลนี้ ก็อยากให้เป็นซิงเกิลที่สดใสร่าเริง สนุกสนาน ขณะเดียวกัน แนวทางของวงนั้น อย่างที่พี่รินะเคยพูดค่ะ ว่าเราจะเน้น Performance ก็อยากจะให้วงเรานั้นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ให้ทุกคนเห็นว่าวงเรานั้นเต้นเก่งนะ ลักษณะนี้ค่ะ
สิตา : ส่วนหนู ก็อยากให้ซิงเกิลนี้เป็นซิงเกิลที่ฮิตไปเลยค่ะ แล้วก็อยากจะให้วงของเรานั้นเป็นวงที่มีภาพลักษณ์ที่ดีค่ะ แบบว่า เรานำสมัย เท่าทัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นวงที่เป็นมิตรกับทุกคนและทุกอย่างค่ะ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : CGM48