นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ สูตินรีเวช รพ.สงขลานครินทร์ เผยเรื่องราวตื้นตันใจ หลังพบครอบครัวหนึ่งเพิ่งสูญเสียลูกชายตัวน้อย แจ้งต้องการบริจาคหัวใจ พร้อมเผยคำพูดแม่ “ถ้าลูกไม่ได้อยู่กับเราแล้ว คิดว่าหัวใจของลูกน่าจะทำประโยชน์ให้กับคนอื่นต่อไป”
เมื่อวันที่ 8 พ.ย.เฟซบุ๊ก “Thanapan Choobun” หรือ หมอสูตินรีเวช ผศ.นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ได้ออกมาเผยเรื่องราวสุดซึ้งและสะเทือนใจ หลังได้ยินครอบครัวผู้ป่วยเด็กรายหนึ่ง ผู้เป็นแม่แจ้งกับทีมแพทย์ว่า ต้องการบริจาคหัวใจของลูกน้อยที่เพิ่งจากไป คุณหมอระบุว่า เรื่องราวนี้ มันตื้นตันจนไม่สามารถเก็บเอาไว้ในใจได้
โดยเผยว่า “การได้เกิดมาเป็นคน นับว่าดี” ผมเคยได้ยินใครสักคนพูดหรือเขียนเอาไว้อย่างนี้ การได้มีชีวิตและใช้ชีวิต “นับว่าดีกว่า อันนี้ผมเริ่มพูดตามเพื่อให้ล้อกับวลีแรก แต่การได้ต่อชีวิตให้คนอื่น นับว่าเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุด” อันนี้ผมได้เห็นมากับตา และมันตื้นตันจนไม่สามารถเก็บเอาไว้ในใจได้ ทุกๆ ครั้งที่จะออกไปทานข้าวเที่ยงนอกโรงพยาบาล ผมต้องเดินผ่านหน้าหอผู้ป่วยไอซียูเด็ก เพื่อไปที่ลานจอดรถ มันคือทางผ่านที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดแทบจะทุกครั้งที่ต้องใช้มันเป็นทางสัญจร นั่นเพราะคนไข้อาการหนักข้างในคือเด็ก และคนเฝ้าข้างนอกมักจะเป็นพ่อแม่และญาติพี่น้อง หลายๆ ครั้งผมจะพบเห็นผู้คนจับกลุ่มกันร้องไห้ ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะเกิดจากความสูญเสียภายในหอผู้ป่วยแห่งนั้น เขาอาจจะเป็นลูก หลาน น้องชาย หรือกระทั่งพี่สาวของเหล่าคนที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ภายนอก ที่ที่เป็นทางสัญจรของผมไปยังลานจอดรถ
อย่างเช่นวันก่อน ผมจะออกไปกินข้าวขาหมูเจ้าโปรดในตัวเมือง และต้องเดินผ่านหน้าหอผู้ป่วยหนัก เพื่อไปยังรถตามปกติ ชายคนหนึ่งนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ตัวสุดท้ายเพียงลำพัง หน้าตาเขาหมองคล้ำ เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูหมองหม่น ภาพที่เห็นตรงหน้ามันทำให้ผมรู้สึกสะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูก มันไม่มีเหตุผลว่าทำไมผมต้องรู้สึกเช่นนั้น คนข้างในไม่น่าจะมีอะไรข้องเกี่ยวกับผมเลยสักนิด กระบวนการฝึกฝนมานานเกินกว่ายี่สิบปี ทำให้ผมปล่อยวางจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับชีวิตคนไข้แทบทุกคน แต่ทำไมวันนี้ผมกลับรู้สึกไปอีกแบบ
ทำไมนะ “เสร็จเคสอาจารย์แป๊ะแล้ว เดี๋ยวจะมีเคสฮาร์เฟสฮาร์ท” ผมได้ยินเสียงพยาบาลห้องผ่าตัดคุยกัน ในช่วงเวลานั้นผมกำลังเย็บผนังมดลูกของคนไข้ที่ผมเพิ่งดึงลูกชายของเขาออกมาจากมดลูกอย่างทุลักทุเล “ไม่ต้องใช้หมอดมยา เพราะคนไข้เสียชีวิตแล้ว”
ผมยังคงเย็บมดลูกไปและตั้งใจฟังสรรพเสียงรอบข้าง “เกิดอะไรขึ้นเหรอติ๋ม” ผมถามพยาบาลผ่าตัดอาวุโส “เดี๋ยวจะมีการผ่าตัดเอาหัวใจออกมาเพื่อบริจาคไปที่สภากาชาดค่ะอาจารย์” เธอตอบคำถามผมพร้อมส่งเข็มเย็บกล้ามเนื้อมาให้ “น่าสนใจจัง ผมอยู่ดูด้วยได้ไหม ไม่เคยเห็นเลย” ผมเหลือบมองนาฬิกาติดผนัง ตอนนั้นเริ่มใกล้เวลาที่ต้องไปรับลูกสาวที่โรงเรียน แต่คิดไว้ในใจ ว่าจะวานให้เมียขับไปรับลูกแทน “ได้สิอาจารย์ อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนก็ดีค่ะ”
ย้อนกลับไปราวชั่วโมงเศษที่การยื้อชีวิตของเด็กคนหนึ่งเพิ่งสิ้นสุดลง หัวใจของเขากำลังเต้นอ่อนแรงลงทุกขณะ ยาทุกชนิดถูกปลด ยังคงเหลือเพียงน้ำเกลืออีกสักเส้นที่คาไว้และหยดเข้าหลอดเลือดอย่างช้าๆ “ถ้าลูกจะไม่ได้อยู่กับเราแล้ว พี่คิดว่าหัวใจของลูกน่าจะทำประโยชน์ให้กับคนอื่นต่อได้” สตรีผู้เป็นแม่บอกกับอาจารย์หมอเด็กที่ดูแลลูกชายของเธอมาตลอดสองวันที่ผ่านมา “คุณหมอช่วยกรุณาติดต่อจัดการเรื่องการบริจาคหัวใจให้ด้วยได้ไหมคะ คิดเสียว่าเป็นการทำบุญครั้งสุดท้ายของลูก” น้ำเสียงแหบพร่าและหยาดน้ำตาที่แห้งเหือด มันทำให้หัวใจของคนทำงานอ่อนไหว ชายผู้เป็นพ่อยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่ที่หน้าหอผู้ป่วย เขานั่งเก้าอี้ตัวสุดท้าย หน้าตาเขาหมองคล้ำ เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูหมองหม่น เขาเพิ่งสูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักไปเมื่อครู่นี้นี่เอง เวลามันสั้นนัก กระทั่งการเอ่ยลาก็ยังไม่ทันจะได้กระทำ ภาพการกดปั๊มหน้าอกของลูกชายตั้งแต่ที่บ้านจนมาถึงโรงพยาบาลยังคงติดตา “แม่ไปรับลูกนะ พ่อจะอยู่ดูเขาเก็บหัวใจ” เป็นข้อความสั้นๆ ที่ส่งไปหาเมีย “ค่ะ” เธอตอบเช่นนั้น เพราะคงจับอารมณ์จากน้ำเสียงของสามีเธอได้
ทั้งนี้ Harvest แปลว่าเก็บเกี่ยว Harvest heart ที่ผมได้ยินมาเมื่อครู่นั้น ก็คือ การผ่าตัดเพื่อเก็บเอาหัวใจออกมานำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ มันหมายถึงการบริจาคอวัยวะนั่นเอง ด้านหน้าของผมคือร่างไร้ชีวิตของเด็กชายคนหนึ่ง เขานอนอยู่บนเปลคนไข้ที่ถูกเข็นเข้ามาในบริเวณหน้าห้องผ่าตัด เขาถูกคลุมด้วยผ้าห่มสีขาวเฉกเช่นผู้ป่วยคนอื่นๆ หากไม่ใคร่สังเกต เขาก็ดูเหมือนคนปกติที่กำลังหลับอยู่ “คุณแม่นั่งรออยู่ที่ด้านหน้าห้องผ่าตัดนะคะ ทีมหมอหัวใจกำลังเข้ามา ทางห้องผ่าตัดได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว” ผมได้เห็นหน้าของผู้เป็นแม่อย่างชัดเจน และด้านหลังออกไปไม่ไกล คือชายคนนั้น คนที่ผมได้เห็นเขานั่งเหม่อลอยอยู่หน้าหอผู้ป่วยไอซียูเมื่อตอนเที่ยง เอกสารทุกอย่างอยู่ที่ปลายเตียง การตรวจสอบความถูกต้องถูกกระทำอย่างรวดเร็ว
“ป้าจะสวมหมวกคลุมผมให้นะลูก” ติ๋ม พยาบาลห้องผ่าตัดเดินออกมารับร่างของเด็กที่หน้าห้องผ่าตัด เธอบรรจงสวมหมวกคลุมผมสำหรับคนไข้ทั่วไปให้กับร่างไร้ชีวิตบนเปลนั้น “ไปกันนะลูก” เธอตบเบาๆ ที่หัวไหล่ของเจ้าเด็กน้อย แล้วบอกพนักงานเปลให้เข็นนำร่างไปยังห้องผ่าตัดหมายเลข 19 ศาสตราจารย์ นายแพทย์วรวิทย์ คือ ศัลยแพทย์หัวใจที่ต้องมาทำหน้าที่ฮาร์เฟสฮาร์ทในวันนี้ เขาคือเพื่อนร่วมรุ่นของผมเอง “เอกจะให้ผมเข้าช่วยไหม” ผมออกตัว เพราะเขากำลังจะเริ่มผ่าตัด มีคุณหมออ้อเป็นผู้ช่วยมือหนึ่ง ส่วนคุณหมออุกฤษณ์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยอีกคนถูกตามให้ไปดูคนไข้ที่หอผู้ป่วย “แล้วแต่แป๊ะเลยครับ” จะรออะไรล่ะ ผมรีบล้างมือและเปลี่ยนชุดผ่าตัดในทันใด
การเตรียมผ่าตัดนั้นทุกอย่างกระทำเหมือนปกติ การฟอกผิวหนัง ทาน้ำยาฆ่าเชื้อ การปูผ้า และการทำทุกอย่างโดยปราศจากเชื้อ อาจารย์หมอเอกเริ่มต้นประนมมือ ซึ่งทุกคนในห้องล้วนกระทำตามอย่างสำรวม “น้อง...ครับ” เขาเอ่ยชื่อร่างไร้ชีวิตซึ่งตอนนี้ถูกเปิดเพียงบริเวณหน้าอกเท่านั้น “พวกเราจะขออนุญาตทำการผ่าตัด และนำหัวใจออกมาเพื่อบริจาคไปให้ผู้ป่วยคนอื่นต่อไปนะครับ” แล้วมีดก็ถูกนำมากรีดที่ผนังหน้าอก ตั้งแต่รอยบุ๋มที่ระหว่างหัวกระดูกไหปลาร้ายาวลงไปจนเลยลิ้นปี่ไปนิดหน่อย จี้ไฟฟ้าถูกนำมาใช้ห้ามเลือดที่ซึมออกมา เมื่อการผ่าตัดผ่านเข้ามาถึงกระดูกกลางหน้าอก เลื่อยไฟฟ้าจึงถูกนำมาใช้ “ฟื้ดดดด” เสียงเลื่อยหั่นกระดูกทำงานพร้อมการเคลื่อนที่ของใบเลื่อยเพียงไม่ถึง 5 วินาที กระดูกหน้าอกก็แยกขาดจากกัน ตัวถ่างผนังหน้าอกถูกส่งเข้ามา อาจารย์หมอเอกหมุนสกรูเพียงไม่กี่รอบ ผมก็ได้เห็นผนังเยื่อหุ้มหัวใจอยู่ตรงหน้า
การทำงานของหมอผ่าตัดเพื่อนผมกับลูกศิษย์ของเขาช่างสอดประสานพลิ้วไหว คนหนึ่งดึงเนื้อเยื่อ อีกคนตัด คนหนึ่งผูกไหม อีกคนช่วยตัดไหม เมื่อเยื่อหุ้มหัวใจถูกเปิดออก ผมก็ได้เห็นหัวใจของเจ้าเด็กน้อย มันนิ่งสงบไม่ไหวติง ช่างต่างกับหัวใจของผมในตอนนี้ที่พองโต และแสนจะตื้นตัน นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้เห็นหัวใจคนแบบนี้ “ตอนนี้กำลังตัดหลอดเลือดพัลโมนารี่อยู่ค่ะ” คุณหมออ้ออธิบายให้ผมฟังขณะที่อาจารย์หมอเอกใช้มือซ้ายของเขาดึงหัวใจห้องบนซ้ายเข้าหาตัว เผยให้เห็นกลุ่มหลอดเลือด pulmonary veins ที่นำเลือดที่ฟอกจากปอดมาแล้วส่งกลับเข้าหัวใจห้องบนซ้าย “มันเหมือนขาปูค่ะ” คือมาจากด้านซ้ายและขวาอย่างละ 2 เส้น
จากนั้นหลอดเลือดดำใหญ่จากช่องท้อง (inferior vena cava) จึงถูกเลาะลงไปจนพ้นเขตกระบังลม “กรึ๊บ” เสียงกรรไกรตัดหลอดเลือดขาด และทันใด เลือดปริมาณมหาศาลก็ทะลักเข้ามาในช่องอก มันคือเลือดที่ถูกส่งมาจากส่วนล่างของร่างกายทั้งหมด หัวดูด (suction) ถูกนำไปจ่อเพื่อดูดเลือดออกอย่างรวดเร็วไม่ให้บังการทำงานที่หมอผ่าตัดกำลังเลาะอยู่ “ปกติเวลาผ่าตัด เลือดออกขนาดนี้ไหมเอก” ผมสงสัย “แบบนี้แหละ แต่เราดูดเลือดออกแล้วผ่านเข้าเครื่อง นำเลือดส่วนนี้กลับเข้ามาใช้ใหม่ได้ไงแป๊ะ” อาจารย์เอกย้ายมาผ่าตัดบริเวณหัวใจช่องขวา นั่นหมายถึงหลอดเลือดดำใหญ่จากส่วนบน (superior vena cava) เริ่มถูกเลาะออกมา จุดนี้จะดูยุ่งเหยิงสักหน่อย เพราะมีหลอดเลือดหลายเส้น นี่กระมังที่เขาเรียกกันว่า “ขั้วหัวใจ” เพราะมีทั้งหลอดเลือดดำใหญ่ และหลอดเลือดแดงเอออร์ต้า (aorta) และแขนงอีก ๓ เส้นใหญ่ของมันที่ถูกส่งไปเลี้ยงสมองก่อนที่จะวกตัวโค้งกลับลงมาเพื่อนำเลือดลงไปส่วนล่างของร่างกาย ช่วงนี้เองที่ผมขอเป็นคนใช้มือช่วยเบี่ยงหัวใจให้เพื่อจะได้เห็นหลอดเลือดชัดๆ และผ่าตัดได้ง่ายขึ้น หัวใจที่ปราศจากเลือด มันนุ่มมาก เนื้อหนังมังสายังรู้สึกอุ่น นั่นเพราะเจ้าเด็กน้อยเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่ถึงชั่วโมง
ถึงขั้นตอนนี้ ปอดด้านซ้ายจึงถูกบีบให้แฟบตัวลง กรรไกรถูกใช้เลาะตามหลอดเลือดแดงส่วนโค้งที่ว่านั่นจนได้ความยาวที่อาจารย์เอกพอใจ “นั่นคือหลอดอาหารใช่ไหม” ผมใช้หัว suction ชี้ไปยังท่อสีซีดๆ ที่ขนานตัวลงมาพร้อมหลอดเลือดแดงใหญ่ “ครับ” อาจารย์เอกตอบ และในทันทีที่หลอดเลือดเส้นนี้ถูกตัดออกไป หัวใจดวงน้อยนั้นก็ถูกยกขึ้นมาได้ทั้งอัน ขนาดมันประมาณกำปั้นของผมเท่านั้นเอง จากนั้นหัวใจทั้งดวงก็ถูกนำมาล้างทำความสะอาดด้วยน้ำซึ่งเป็นสารละลายที่มีความเข้มข้นเท่าเลือด อาจารย์หมอเอกใช้กรรไกรตัดที่ปลายยอดหัวใจราวเซนหนึ่งเผยให้เห็นผนังห้องล่างซ้าย เขาพ่นน้ำเข้าไปทางรูนั้น น้ำถูกระบายออกมาเป็นสายทางหลอดเลือด aorta “เย็นเจี๊ยบ” ผมทำหน้าที่ประคองหัวใจ อาจารย์เอกใช้กระบอกดูดน้ำเย็นมาฉีดล้างหัวใจอย่างต่อเนื่อง “ปกติเราล้างประมาณ 4 ลิตรครับแป๊ะ” “ล้างใจ” คุณหมออ้อพูดขึ้นมา “งั้นน้ำที่ล้างนี้ ต้องเรียกว่าน้ำใจด้วยล่ะสิ” ผมต่อ “ค่ะอาจารย์” “น้ำใจเยอะมาก เยอะมากมาย ตั้งสี่ลิตร” ล้างใจกันจนน้ำใส หัวใจจึงถูกใส่ลงในถุงพลาสติก ใส่น้ำเย็นลงไปจนท่วม ปิดถุงอย่างแน่นไม่ให้มีอากาศหลงเหลืออยู่ในถุง ทำทั้งหมด ๓ ชั้น แล้วหัวใจทั้งดวงก็ถูกบรรจุงลงในลังโฟมที่มีน้ำแข็งรองอยู่ จากนี้ไป หัวใจดวงนี้จะสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นได้อีก การบริจาคหัวใจแบบนี้ เขาไม่ได้ใช้หัวใจทั้งดวง ทางสภากาชาดเขาจะตัดเลาะเอาเฉพาะส่วนที่เป็นขอบของลิ้นหัวใจออกไปใช้เท่านั้นครับแป๊ะ” อาจารย์เอกอธิบาย มิน่า จึงได้ตัดยอดหัวใจออกไปเสียเป็นรูแบบนั้นในช่วงล้างใจ
ร่างของเจ้าเด็กน้อยถูกอาจารย์เอกเย็บกลับอย่างสวยงาม ผมขออนุญาตทีมเพื่อออกไปก่อนโดยไม่ลืมที่จะมายืนอยู่ที่ข้างศีรษะของเด็ก แล้วยกมือไหว้ “ขอบคุณนะลูก มันคือการเสียสละที่งดงามมาก” แล้วก็บอกลาและขอบคุณทุกคนในห้องผ่าตัด จากนี้ไป ทีมพยาบาลจะต้องทำการจัดการศพโดยการอัดสำลีเข้าตามช่องต่างๆ ของร่างกายเหมือนศพทั่วไป เปลี่ยนชุดแต่งกายให้ใหม่ คำกล่าวสดุดีถูกนำมาเพื่อใช้ในการระลึกถึงผู้บริจาคร่างกาย ผมนึกภาพอาจารย์เอกที่กำลังประนมมือโดยมีพวงมาลัยดอกไม้เคารพศพ เขาเป็นคนที่แสดงออกถึงการเคารพผู้อื่นได้อย่างจริงใจทุกครั้งแล้วร่างของเจ้าเด็กน้อยก็ถูกเข็นออกจากห้องผ่าตัดไป
ในเช้าวันถัดมา กล่องโฟมที่บรรจุหัวใจแช่น้ำแข็งก็ถูกส่งมายังสนามบิน เที่ยวบินแรกของวันเสาร์ได้รับเกียรติให้เป็นพาหนะนำส่งหัวใจดวงน้อยเพื่อไปใช้ประโยชน์ต่อชีวิตให้กับคนอื่นต่อไป ผมนึกไปถึงโฆษณาบนไทยสไมล์ที่มักจะเปิดก่อนร่อนลง “วอนให้ลมช่วยพัดหัวใจพี่ลอยไป จากดินแดนถิ่นเหนือที่ไกลแสนไกล สุดขอบฟ้าที่ไกลแสนไกลล่องลอยไป วอนให้ลมช่วยพัดหัวใจพี่ไปให้ถึง.....” Mind hero by THAI Smile Airways
“การได้เกิดมาเป็นคนนับว่าดี การได้มีชีวิตและใช้ชีวิตนับว่าดีกว่า แต่การได้ต่อชีวิตให้คนอื่น นับว่าเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุด” ผมรู้สึกว่าคำกล่าวที่ผมปะติดปะต่อมันเข้าด้วยกันนี้มันถูกต้องบางส่วน บางชีวิต อาจถูกตัดสินให้คลอดไม่ได้ เสียชีวิตก่อนคลอด หรือแท้งออกไป ซึ่งอาจจะด้วยเพราะฟ้าดินกำหนด หรือชะตาของผู้เป็นแม่พามาพบหมอเพื่อทำแท้งออกไป ดังนั้น การได้เกิดมาเป็นคนจึงนับว่าเป็นเรื่องดี หากพ่อแม่และสังคมต้องการเขา การได้มีชีวิต ได้ใช้ชีวิตนับว่าดีกว่า หากแต่บางคนนั้นมีชีวิตที่ตกต่ำจนว่าอัศจรรย์ บางชีวิตแสนจะเปื้อนฝุ่นแทบไร้โอกาสกระทั่งเรียนหนังสือ แบบนี้ไม่รู้ว่าเป็นการโชคดีจริงอยู่หรือแต่การได้ต่อชีวิตให้คนอื่น นับว่าเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุด อันนี้ผมเห็นว่ามันจริงเหลือเกิน อย่างเจ้าหนูน้อยคนนี้ ใครจะไปรู้ ว่าชะตาฟ้าดินได้กำหนดให้หัวใจของเขาต้องไปช่วยต่อชีวิตให้ผู้อื่นต่อไปเชื่อผมไหม ธนพันธ์ ชูบุญล้างให้ออกล้างให้ออกขอล้างใจเธอจากเขาให้ออก”
คลิกโพสต์ต้นฉบับ