ไปค้นหนังสือพิมพ์เก่าๆย้อนยุคมาอ่าน เห็นว่านักข่าวยุคนั้นชั่งสรรหาข่าวมโนสาเร่มาได้ละเอียดจริงๆ เลยไปเก็บเอามาเป็นข่าวฮาเล่าสู่กันฟัง เพื่อจะได้คลายเครียดกับข่าวซ้ำซากที่น่าเบื่อหน่ายในวันนี้ได้บ้าง
ปล้นในที่รโหฐาน
การปล้นนั้นไม่ต้องอาศัยสิทธิในรัฐธรรมนูญ สามารถทำได้ทุกสถานที่ทุกเวลา อย่างคราวก่อนเล่าเรื่องปล้นตลาดนัด มีคนถูกปล้นนับจำนวนพัน แต่ครั้งนี้ปล้นในที่รโหฐานลับตาคน สถานที่ประเภทนี้คนเข้าไปในยังต้องก้มหน้างุดๆ ไม่อยากให้คนเห็น แต่ก็ยังมีคนเข้าไปปล้นจนได้
เหตุเกิดเมื่อตอนดึกเลย ๒๓ นาฬิกาของคืนวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๙๔ไปแล้ว มี ๓ หนุ่มแต่งกายโก้ในมาดผู้ดี ขับรถเก๋งซึ่งยุคนั้นมีใช้เฉพาะคนระดับมั่งมีเท่านั้น มาจอดที่ปากตรอกไข่ ประตูผี สำราญราษฎร์ จากนั้นก็ตรงไปที่สำนักนางโลมเลขที่ ๗ ซึ่งอยู่ในตรอก
๑ ใน ๓ ซึ่งมาดเป็นลูกพี่ ก็คว้ามือสาวคนหนึ่งไปเข้าห้อง ให้อีก ๒ คนนั่งรอ ครู่เดียวก็ตัวเบาออกมา นางเจริญ เจ้าสำนักจึงเข้าไปเก็บเงินตามระเบียบ ทันใด ๒ คนที่นั่งรออยู่ก็ชักปืนแล้วปราดเข้าบังคับให้นางเจริญนอนหงาย เปล่าน่า..ไม่ได้ทำอะไร แต่เหยียบอกแล้วกระชากสร้อยคอกับเข็มขัดนาก ซ้ำเปิดเก๊ะล้วงเอาแหวนเพชรไปอีก จากนั้นก็จับนางโลม ๔-๕ คนเข้าขังในห้อง ใครใส่สร้อยก็ดึงติดมือไปด้วย จากนั้นก็ขับรถเก๋งลอยชายหายไป
แม้จะลอยนวลไปได้ แต่ใน ๓ สัปดาห์ต่อมา คือในวันที่ ๒๓ กันยายน แก๊งนี้ก็ได้ใจปล้นแบบนี้อีก แต่ครั้งนี้ไม่รอด เลยถูกคิดบัญชีเก่าที่ยังไม่ชำระด้วย
เครื่องบินของใครเอ่ย ?
เมื่อ ๗ น.เศษของวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๑๘ นายถาวร แท่นนาคำ ผู้ใหญ่บ้านเปือย หมู่ ๕ ตำบลบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ได้เข้าแจ้งต่อ ร.ต.ท.พูลชัย ช่างปรีชา ร้อยเวร สภ.อ.บรบือว่า เมื่อคืนนี้ราวตีสามเศษเห็นจะได้ มีเสียงเครื่องบินมาบินวนเวียน แล้วก็เงียบเสียงลงดื้อๆ เหมือนเครื่องดับ
ตร.กับชาวบ้านจึงออกค้นหาบริเวณที่เสียงเครื่องบินขาดหาย ไปตามถนนแจ้งสนิทจนถึง กม.ที่ ๖๒-๖๓ ซึ่งอยู่ระหว่างบ้านเปือยกับบ้านโนนสะอาด ก็พบเครื่องบินเครื่องยนต์เดียว สี่ที่นั่ง ปักหัวอยู่กับพื้น ใบพัดหัก ลำตัวเครื่องบินพังยับ ส่วนนักบินหรือผู้โดยสารที่อาจติดมาด้วยไร้ร่องรอย คงไม่อยากรอความช่วยเหลือจากใคร แต่ที่ไร้หลักฐานยิ่งกว่านั้นก็คือ เครื่องบินลำนี้ทาสีดำตลอด ไม่ปรากฏเครื่องหมายบอกสัญชาติ มีแต่หมายเลข ๘๙๗๓ ติดอยู่ที่แพนหางเท่านั้น
ตอนนั้นอยู่ในช่วงกรุงพนมเปญใกล้แตก ทำสงครามกลางเมืองกัน ระหว่างฝ่ายนายพลลอนนอล ที่มีอเมริกาหนุน กับฝ่ายเขมรแดง มีจีนหนุน และฝ่ายเขมรกู้ชาติ มีเวียดนามหนุน ล้วนแต่หนุนให้เขมรฆ่ากันเองทั้งนั้น เลยเดาไม่ออกว่าเครื่องบินลำนี้แอบมาหนุนฝ่ายไหนแล้วหลงทางเข้ามา
วันนี้ยังอยากจะเป็นแบบเขมรในวันนั้นกันอีกหรือ
อังกฤษยึดแคน “ขุนพลแคน”
เมื่อ ๕๐-๖๐ ปีก่อน ไม่มีใครไม่รู้จัก สมัย อ่อนวงศ์ เจ้าของสมญา “ขุนพลแคนแดนสยาม” ซึ่งเป่าแคนได้ไพเราะลือลั่น จนในปี ๒๕๑๔ ได้รับเชิญไปโชว์ฝีมือเป่าแคนถึงยุโรป
สมัยออกเดินทางไปในวันที่ ๓๐ สิงหาคม พอถึงอังกฤษก็เจอดี ศุลกากรอังกฤษไม่ยอมให้เข้าประเทศ และจะยึดแคนคู่มือไว้ด้วย เพราะเข้าใจว่าเป็นบ้องกัญชา คนที่มารับพยายามอธิบายอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อ สมัยจึงคว้าแคนคู่มือมาเป่ากลางสนามบินลอนดอนกันเลย ปรากฏว่ามีคนในสนามบินมามุงดูกันกลุ่มใหญ่ และปรบมือให้ด้วยความพอใจ ศุลกากรอังกฤษจึงยอมจำนน
สมัย อ่อนวงศ์เปิดการแสดงในอังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี เบลเยี่ยม และเยอรมัน โดยใช้เพลงพระราชนิพนธ์ “สายฝน”เป็นเพลงไหว้ครู ส่วนเพลงที่คนดูชอบใจมากเพราะรู้จักดี ก็คือเพลง “โอ เวนเดอเซนต์ มาร์ชิงอิน” ของ หลุยส์ อาร์มสตรอง จนถึงวันที่ ๒๖ กันยายนก็ขอกลับ แม้เยอรมันจะขอให้อยู่ร่วมงานเทศกาลดื่มเบียร์ สมัยก็อยู่ไม่ไหว บอกเหตุผลที่ฟังขึ้นว่า
“หิวข้าวเหนียวเหลือเกิน”
“ไอ้หยุย” กับ “ดิกกี้”
เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๔๙๓ เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจผ่านมาที่หน้าวัดสระเกศ ก็พบชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเถียงกันหน้าดำคร่ำเครียด โดยมีสุนัขตัวเล็กๆขนปุกปุยวิ่งไปมาระหว่างคนทั้ง ๒ ฝ่ายชายบอกว่าชื่อ นายมนัส ติกิยงค์ บ้านอยู่ซอยกิ่งเพชร ถนนเพชรบุรี มีอาชีพขับรถโกดังรับจ้าง ตามหาหมาของตัวที่หายมา ๕ เดือนแล้ว มาพบชูคออยู่ในรถเก๋งเพรียวลมที่จอดอยู่ตรงนั้น พอเรียกมันว่า
“ไอ้หยุย” มันก็กระโดดออกมาหาเขาด้วยความดีใจ
“ผมตามหามันแทบตาย แล้วมันก็จำผมได้ดี เพราะคลุกข้าวกับปลาทูให้กินทุกวัน” นายมนัสบอกกับ ตร.
“ไปป๋อชูคออยู่ในรถเก๋งเชียวนะมึง ไอ้หยุย” เขาหันไปพูดกับสุนัขคู่ใจ
ส่วนฝ่ายหญิงบอกชื่อ นางรวยริน บ้านอยู่ซอยกลาง ถนนสุขุมวิท เป็นเจ้าของเก๋งเพรียวลม อ้างว่าเป็นเจ้าของหมาตัวนี้เช่นกัน ซื้อมาจากคนแถวบ้านในราคา ๒๐๐ บาทหลายเดือนแล้ว และมันไม่ได้ชื่อ “ไอ้หยุย”
“มันชื่อดิ๊กกี้ค่ะ คุณตำรวจ” เธอบอก “มันไม่กินข้าวกับปลาทูหรอกค่ะ ตอนได้มาใหม่ๆก็เคยเอาข้าวให้มันกิน แต่มันไม่กิน ยอมอดอยู่ถึง ๓ วัน พอเอาตับหมูกับกระดูกหมูต้มซุปให้กินจึงยอมกิน”
เมื่อ ตร.พาทั้ง ๒ ไปโรงพัก ร.ต.ต.วิเชียร แสงแก้ว ร้อยเวร พยายามจะใช้ความสังเกตดูว่าใครเป็นเจ้าของสุนัขตัวนี้แน่ แต่ก็ตัดสินไม่ได้ เพราะมันวิ่งคลอเคลียคนทั้ง ๒ อย่างจงรักภักดีเหมือนๆกัน เลยต้องบอกให้ต่างคนหาพยานมายืนยัน
สาวรถเก๋งอยู่บ้านย่านเศรษฐี มีรั้วรอบขอบชิด เลยไม่มีเพื่อนบ้านมายืนยันให้ แต่หนุ่มรถโกดังขนมาทั้งซอย ต่างยืนยันว่าหมาตัวนี้ชื่อไอ้หยุย เป็นหมาของนายมนัสจริง
“ไอ้หยุย” เลยต้องลารถเก๋งไปชูคอในรถโกดัง กลับไปกินข้าวคลุกปลาทูตามเดิม
โชคดีที่ถูกต้ม
๔ หนุ่มร่วมหุ้นกันทำธุรกิจค้าฝิ่นเถื่อน โชคร้ายถูกตำรวจจับ แต่ไหง๋กลับโชคดีไปได้
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นบนโต๊ะสิบเวร สน.บางซื่อเมื่อ ๑๘ เศษของวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๐๑ พลเมืองดีแจ้งว่า เห็นชาย ๔ คนมีพิรุธ กำลังแบ่งปันสิ่งของกันอยู่ที่ตรงทางแยกเข้าเตาปูน บางซื่อ เป็นปี๊บ ๒ ใบกับชะลอมอีก ๔ ชะลอมที่เตรียมจะใส่ของที่แบ่ง สงสัยว่าจะเป็นฝิ่นเถื่อนที่กำลังชุกชุม ตร.จึงรีบรุดไปคุมตัวชายทั้ง ๔ มาโรงพักพร้อมของกลาง
คนทั้ง ๔ สารภาพด้วยอาการซึมเศร้าว่า บ้านอยู่จังหวัดลพบุรี ได้ซื้อของเหล่านี้มาจากผู้โดยสารบนรถเมล์ด้วยกัน บอกว่าเป็นฝิ่นเถื่อนประมาณ ๓.๕ กก. ตามปกติราคา กก.ละ ๓,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทเศษ แต่จะขายให้ในราคาเพียง ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น พวกตนเห็นว่าจะได้กำไรงามจึงรวมหุ้นกันคนละ ๕๐๐ บาทซื้อไว้ หวังรวยเมื่อมาขายที่กรุงเทพฯ แต่ก็ถูก ตร.จับดับความฝันเสียก่อน
พ.ต.ต.พิชิต มีปรีชา สารวัตรใหญ่ จึงให้ ตร.เอาของมีคมเปิดปี๊บที่บัดกรีไว้ออกต่อหน้าผู้สื่อข่าว นสพ.หลายฉบับเป็นพยาน แต่พอปี๊บเปิดออก ทั้ง ตร.และนักข่าวก็หัวเราะกันลั่นโรงพัก เพราะของในปี๊บทั้ง ๔ ไม่ใช่ฝิ่น แต่เป็นดินเหนียว
ผู้ต้องหาที่กำลังซึมเศร้าว่าไม่รอดคุกแน่ กลับยิ้มแช่มชื่นขึ้นได้ บอกกับ ตร.ว่า
“หากผมเจอคนขายอีก ก็ขออนุญาตคิดบัญชีหน่อยนะครับ หนอยต้มกันได้”
สารวัตรใหญ่เลยให้คติเตือนใจไปว่า “ถ้าไม่โลภ ก็คงไม่ถูกใครเขาต้มหรอกคู้น...”
ข่าวนี้เอามาฝาก เหยื่อแชร์ทั้งหลายโดยเฉพาะ
แม่เฒ่ากายสิทธิ์ ติดคุกเพราะแปลงกายเป็นผู้ชาย
เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ ได้เกิดร่ำลือกันไปทั่วว่า มีแม่เฒ่ากายสิทธิ์แปลงร่างเป็นชายได้ ใครไม่เชื่อก็ยอมให้พิสูจน์ด้วยการจับอวัยวะเพศ คนจึงแห่ไปหาแม่เฒ่ากันล้นหลาม
แม่เฒ่าผู้นี้มีชื่อว่านางจันทร์ อยู่บ้านเลขที่ ๓๘ ซอยสวนพลู ทุ่งมหาเมฆ กรุงเทพฯ มีอาชีพเป็นคนเข้าทรงของศาลเจ้าพ่อชวดเสือ รับรักษาโรคภัยไข้เจ็บมานานแล้ว โดยเรียกค่ารักษามากน้อยตามแต่โรค
การรักษาของเฒ่าก็ใช้วิธีเข้าทรง และถ้าใครไม่เชื่อถือ แม่เฒ่าก็จะสำแดงแปลงร่างให้ดู ทั้งยังให้จับอวัยวะเพศเป็นการพิสูจน์ได้ ซึ่งก็มีคนกล้าเข้าไปจับและพบว่าแม่เฒ่ามีอวัยวะเพศชายจริง จึงมีคนเลื่อมใสกันมาก
เรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นก็เมื่อนางสรวงซึ่งเจ็บป่วยเรื้อรังมาให้แม่เฒ่ารักษา และเรียกค่ารักษาเป็นทองถึง ๔ บาท ซึ่งนางสรวงก็ยอมจ่าย แต่ทว่ารักษาอยู่ ๒ สัปดาห์ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น จึงสงสัยว่าจะถูกหลอกลวง จึงนำความไปแจ้งกับ ร.ต.อ.ไพบูลย์ สัมมาทัต ร้อยเวร สน.ลุมพินีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๐๔
เมื่อ ตร.ไปถึงบ้าน นางจันทร์ก็แปลงร่างให้พิสูจน์ความกายสิทธิ์ โดยให้ ตร.จับอวัยวะเพศด้วย แต่ ตร.เกิดทำตัวเป็นคนขี้สงสัยจะขอแก้ผ้าดู นางจันทร์ก็อ้างว่าอาย เลยต้องพาตัวไปให้โรงพยาบาลตำรวจพิสูจน์
ในที่สุดผลก็ปรากฏออกมาว่า อวัยวะเพศชายของแม่เฒ่าเป็นเพียงถุงยางใส่แป้งไว้ จับดูจึงนิ่มๆ เหมือนของจริงเหี่ยวๆ แม่เฒ่าจึงต้องโทษฐานหลอกลวง
ความจริงเรื่องนี้ก็น่าเห็นใจแม่เฒ่า ตอนทรงเป็นเจ้าไม่มีความผิด แต่ทรงเป็นผู้ชายไหง๋ติดคุก
เจอ “งู-แขก-ไทย” นายจะตีอะไรก่อนล่ะ นายจ๋า
เมื่อ ๔ ทุ่มเศษของวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๕ ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองแค่ ๔ วัน ชาวบ้านหน้าวัดบวรฯ พากันตกอกตกใจ และวิ่งไปที่เรือของ ม.ร.ว.หญิงสมพงษ์ ซึ่งจอดอยู่ในคลองบางลำพูตรงหน้าวัด เมื่อได้ยินเสียงเจ้าของเรือร้องเอะอะโวยวายขอความช่วยเหลือว่าถูกปลุกปล้ำ
เจ้าทุกข์คือเจ้าของเรือ ได้แจ้งกับตำรวจโรงพักชนะสงครามซึ่งไปถึงที่เกิดเหตุทันควันว่า ขอกู้เงินจากนายนาคราช ปานเด แขกฮินดู เป็นเงิน ๒ บาท แขกเงินกู้ได้ลงมาที่เรือแล้วบอกว่าถ้ายอมเป็นเมียก็จะให้ ตนบอกว่ามีสามีแล้ว ตอนนี้ไปขายของอยู่ที่ตลาดบางลำพู จึงตกลงด้วยไม่ได้ แต่นายนาคราชกลับเข้ากอดดื้อๆ จะปลุกปล้ำทำมิดีมิร้าย
เมื่อถูกนำตัวมาโรงพัก นายนาคราช ก็บอกว่าไม่ได้ปล้ำตามข้อกล่าวหา เจ้าทุกข์เรียกตนลงไปในเรือจะขอกู้เงิน เมื่อตนบอกว่าไม่มีก็เข้ามาล้วงกระเป๋าทั้งเสื้อและกางเกง พอตนผลักออกไปก็ร้องโวยวายว่าถูกปล้ำ
เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างเถียงกันด้วยข้อเท็จจริงคนละอย่าง และต่างก็ไม่มีพยาน ตำรวจเลยไม่รู้ว่าจะตัดสินได้อย่างไร
ในที่สุดนายนาคราช ก็เป็นฝ่ายขอประนีประนอม เพราะไม่อยากให้มีเรื่องยุ่งยาก โดยจะทำขวัญให้เจ้าทุกข์ ๑๐ บาท แต่ฝ่ายหญิงขอเป็น ๒๕ อาบังผู้เสียทีก็ยอมตกลงเพราะไม่อยากให้ศึกยืดเยื้อจนต้องนอนโรงพัก ทั้งยังกลัวว่าตำรวจจะเชื่อตามคำพูดของคนไทยยุคนั้นที่ว่า “ถ้าเจองูกับเจอแขก ให้ตีแขกก่อน”
นี่ถ้าให้กู้ ๒ บาทเสียดีๆ ก็ไม่ต้องเสียฟรีๆ ๒๕ บาท เรื่องนี้นายทุนเงินด่วนกลางดึก คงครวญในใจตอนลงจากโรงพักว่า
“อีนี่ เจองู เจอแขก เจอไทย นายจะตีอะไรก่อนล่ะ นายจ๋า”
วันนี้ขอเล่าแค่นี้ก่อน ถ้าถูกใจแควนๆก็จะหามาเล่าอีกในวันหลัง