1.เพจ "ปิยบุตร" โพสต์ให้ "สถาบันกษัตริย์" เลือก "ปฏิรูป VS ปฏิวัติ" ด้าน "หมอวรงค์" ชี้ ขู่แบบนี้ แสดงว่าใกล้จบ!
สถานการณ์การชุมนุมสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากกลุ่มคณะราษฎร ได้ชุมนุมตามจุดต่างๆ ของกรุงเทพฯ และในบางจังหวัด ปรากฏว่า เริ่มมีประชาชนสวมใส่เสื้อเหลืองออกมาแสดงพลังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด หลังม็อบคณะราษฎรเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน และมีการกล่าวจาบจ้วงละเมิดสถาบันด้วยถ้อยคำหยาบคายระหว่างขวางขบวนเสด็จพระราชินีเมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เริ่มมีการปะทะกันบ้างแล้วระหว่างม็อบคณะราษฎรกับคนใส่เสื้อเหลือง เช่น ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อวันที่ 21 ต.ค. ซึ่งเหตุเกิดเนื่องจากกลุ่มอาชีวะช่วยชาติ ได้จัดกิจกรรมแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ อยู่ก่อน แต่ภายหลังม็อบกลุ่มคณะราษฎรได้ชู 3 นิ้ว พร้อมตะโกนท้าทายว่า “หมารับใช้ๆๆๆ” จึงสร้างความไม่พอใจให้กลุ่มอาชีวะช่วยชาติ
ขณะที่ข้าราชการและนักการเมือง ทั้งพรรคร่วมรัฐบาล และสมาชิกวุฒิสภา ก็ได้แสดงจุดยืนพร้อมปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น เมื่อวันที่ 22 ต.ค. นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ได้นำสมาชิกวุฒิสภาและข้าราชการ พนักงานราชการ ตลอดจนลูกจ้างของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา แถลงจุดยืนในการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์
ส่วนม็อบคณะราษฎรได้นัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อวันที่ 21 ต.ค. ก่อนจะเคลื่อนฝ่าเจ้าหน้าที่ตามจุดต่างๆ เพื่อไปยังทำเนียบรัฐบาล จากนั้นได้ยื่นหนังสือผ่านตัวแทนรัฐบาล เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก โดยแกนนำผู้ชุมนุม ได้อ่านแถลงการณ์ยืนยันข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.ขับไล่รัฐบาลประยุทธ์ 2.การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง 3.ปฏิรูปสถาบัน "วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ แถลงว่า ขอให้ถอยคนละก้าว แต่ราษฎรมีเงื่อนไขเพียง 2 ข้อ คือ ข้อ 1 จะถอย 1 ก้าวเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่ง ส่วนข้อ 2 คือ ต้องยุติการดำเนินคดีกับเพื่อนของเราและประชาชนทุกคน ดังนั้นวันนี้จึงมายื่นหนังสือลาออกให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งผู้แทนที่มารับหนังสือได้รับปากว่า จะนำหนังสือไปยื่นให้กับ พล.อ.ประยุทธ์"
แกนนำผู้ชุมนุม กล่าวอีกว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ลาออกใน 3 วัน ราษฎรจะกลับมาอีกครั้ง และข้อเรียกร้องจะไปไกลกว่ารัฐบาล
ทั้งนี้ หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศว่า เตรียมยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯ เร็วๆ นี้ ปรากฏว่า ได้มีการประกาศในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 22 ต.ค.
ล่าสุด วันนี้ (24 ต.ค.) กลุ่มคณะราษฎร 63 นำโดยนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ที่ศาลอนุญาตให้ประกันตัวแล้ว ได้แถลงที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เชิญชวนราษฎรทุกคนให้ออกแบบการชุมนุมร่วมกัน พร้อมย้ำจุดยืนเดิม 3 ข้อ 1.พลเอกประยุทธ์ต้องลาออกจากตำแหน่ง 2.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 3.ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ “กิจกรรมในวันนี้ยืนยันจะปักหลักค้างคืนที่นี่ต่อ เพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ เพื่อรอท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ หลังจากที่กลุ่มคณะราษฎรได้ยื่นข้อเรียกร้อง โดยกำหนดเวลาไว้ 3 วัน โดยขีดเส้นตายในเวลา 22.00 น. ของวันนี้ หากไม่ทำตามข้อเรียกร้องต่างๆ กลุ่มคณะราษฎร 63 พร้อมยกระดับการเคลื่อนไหวต่อไปทันที ส่วนจะยกระดับอย่างไรจะรอให้ราษฎรมาออกแบบร่วมกัน"
เป็นที่น่าสังเกตว่า วันนี้ (24 ต.ค. ) เพจเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความในลักษณะที่ทำให้หลายคนมองว่าเป็นการข่มขู่สถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ โดยใช้หัวข้อว่า “ปฏิรูป VS ปฏิวัติ” โดยระบุว่า “ปฏิรูปกับปฏิวัติ ต่างก็คือ การเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงแบบปฏิรูปก็ต่างจากการเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติ ปฏิรูป คือ คงรูปแต่เปลี่ยนปรับปรุงเนื้อหาสาระใหม่ ปฏิวัติ คือ ทำลายสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดแล้วสร้างสิ่งใหม่ ปฏิรูป ต้องอาศัยความยินยอมพร้อมใจจากฝ่ายที่ครองอำนาจที่ต้องถูกปฏิรูป และร่วมมือกับฝ่ายเรียกร้องให้ปฏิรูป ปฏิวัติ ต้องอาศัยพลังและการต่อสู้ของคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงเข้าทำลายสิ่งที่เป็นอยู่ ในขณะที่ฝ่ายที่ครองอำนาจไม่ยินยอมเปลี่ยนแปลงแต่ก็ต้านทานไม่อยู่ ปฏิรูป คนที่ครองอำนาจอยู่อาจควบคุมและได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงได้อยู่บ้าง ปฏิวัติ คนที่ครองอำนาจอยู่เดิมสูญเสียอำนาจไปหมดสิ้น ปฏิรูป ไม่มีวันเกิด หากคนที่ครองอำนาจไม่ให้ความร่วมมือ เช่นกัน ปฏิวัติเกิดขึ้นได้ เมื่อคนที่ครองอำนาจไม่ให้ความร่วมมือ แต่ก็พ่ายแพ้ไป ดังนั้น ปฏิรูปหรือปฏิวัติ จะออกทางไหน มีเส้นบางๆ กั้นอยู่ ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อสถาบันกษัตริย์ยินยอมด้วย แล้วอะไรถึงจะดลใจให้สถาบันกษัตริย์ยินยอมปฏิรูปด้วยกัน แล้วอะไรจะเกิดขึ้น หากสถาบันกษัตริย์ไม่ยินยอมปฏิรูป #ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์”
ขณะเดียวกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กพูดถึงนายปิยบุตร โดยใช้หัวข้อ “#ขู่แบบนี้แสดงว่าใกล้จบ” เนื้อหาระบุว่า “นายปิยบุตร ออกมาขู่อีกแล้วครับ เปรียบเทียบปฏิรูปกับปฏิวัติ แสดงว่า ถ้าไม่ยอมปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ก็จะปฏิวัติ ทั้งๆ ที่ยังนึกไม่ออกว่า สถาบันฯ สร้างปัญหาอะไรให้ประเทศ ที่คุณคิดแต่จะล้มล้าง สิ่งที่ปิยบุตรขู่ออกมา แสดงว่า เก็บอาการไม่อยู่ คงอยากหาทางลง เราต้องอดทนที่จะต้องทำการเมืองสะอาด ขจัดนักการเมืองชั่ว พวกที่จ้องทำร้ายประเทศ หลอกลูกหลานประชาชนมาบังหน้า แต่ตัวเองนอนอยู่บ้าน ปั่นคีย์บอร์ด และไม่เคยทำประโยชน์ใดๆ เก็บอาการไม่อยู่ ขู่ออกมาแบบนี้ แสดงว่า ใกล้จบละครับ พวกเราต้องตั้งหลักกันให้ดีๆ #การเมืองสะอาดขจัดนักการเมืองชั่ว”
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ไม่กี่ชั่วโมง นพ.วรงค์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “#ทรงพระเจริญ” โดยระบุว่า "ในหลวงและพระราชินี เข้าไปทักทายผู้ชายที่ถือรูปพระองค์ในดงม็อบ (ไม่กี่วันที่ผ่านมา) พร้อมชมว่า กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ ส่วนพระราชินี บอกว่า ขอบคุณมาก แค่เห็นภาพนี้ขนาดพวกเรายังซึ้งมาก นี่คือ วิถีไทย สังคมไทย ที่เอื้ออาทร ช่วยเหลือเกื้อกูล ร่วมกันปกป้อง วันนี้ถือว่า สถาบันท่านปรับตัวลงมาใกล้ชิดประชาชนมาก สร้างความประทับใจอย่างที่สุด ผมคิดว่า ธนาธร บุตร ช่อ พวกคุณควรหยุดได้แล้ว ปล่อยให้ลูกหลานประชาชนกลับไปเรียนหนังสือ เพื่ออนาคตที่ดีของเขา น่าจะดีกว่าที่จะดื้อดึงต่อไป #การปกป้องสถาบันคือการปกป้องอนาคตที่ดีของประเทศ”
2.“บิ๊กตู่” แถลง “ถอยคนละก้าว” ป้องกัน ปท.สู่หายนะ ใช้เวทีรัฐสภาหาทางออกข้อเรียกร้องม็อบ 26 ต.ค.นี้!
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายฝ่ายเสนอว่า ควรนำปัญหาเกี่ยวกับการชุมนุมและข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมกลุ่มคณะราษฎรเข้าหารือในสภา เพื่อเป็นการหาทางออกโดยระบบรัฐสภา ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 19 ต.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมายืนยันว่า รัฐบาลสนับสนุนการเปิดประชุมสภาวิสามัญ เพื่อให้มีการพิจารณาร่วมกัน นำข้อเท็จจริงมาพูดจากัน ดีกว่าให้เป็นเรื่องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว เพื่อลดความขัดแย้งลงให้ได้มากที่สุด
ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้เรียกหัวหน้าพรรคการเมือง ตัวแทน ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล รวมถึงคณะรัฐมนตรี ถึงการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเป็นการเร่งด่วน ก่อนการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญปกติ เพื่อให้รัฐสภาหาทางออกให้กับบ้านเมืองจากสถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง ซึ่งปรากฏว่า ทุกฝ่ายเห็นด้วยกับการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ซึ่งโดยขั้นตอน จะมีการทูลเกล้าฯ พ.ร.ฎ.ขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญดังกล่าว
ต่อมา วันที่ 21 ต.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงสถานการณ์การชุมนุม สรุปความบางช่วงบางตอนว่า “ตนในฐานะผู้นำประเทศ ต้องดูแลทุกคนในประเทศไทย ...ทำให้คนไทยทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกัน ประเทศเดียวกัน และอยู่ร่วมกันบนผืนแผ่นดินเดียวกันได้ ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นไปทางไหน เชื่อว่าทุกคนรักผืนแผ่นดินนี้ด้วยกันทั้งสิ้น”
“ผมต้องทำให้แน่ใจว่าบ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย ...มีความเจริญก้าวหน้า และต้องปกป้องประเทศจากพลังมืด ไม่ว่าจะมาจากไหนก็ตาม ไม่ให้สร้างความเสียหายให้กับประเทศของเรา ต้องทำให้แน่ใจว่า ประเทศไทยยังคงมีความยุติธรรมในสังคม มีความเท่าเทียมกันของคนไทยทุกคน ที่อยู่ร่วมกันภายใต้กฎหมายเดียวกัน...”
“ผมต้องบริหารประเทศบนพื้นฐานหลักการตามกฎหมาย และตามแนวทางและการตัดสินใจของรัฐสภา ...เราไม่สามารถบริหารประเทศตามเสียงประท้วงหรือความต้องการของผู้ประท้วงกลุ่มต่างๆ ทุกกลุ่มประท้วงได้ ...การบริหารประเทศโดยทำตามข้อเรียกร้องจากการประท้วงเป็นเหมือนวงจรอุบาทว์ เคยทำให้หลายๆ รัฐบาลต้องถูกบังคับให้ทำตามความต้องการของม็อบกลุ่มต่างๆ มาแล้ว แม้ว่าสิ่งที่เรียกร้องจะมีทั้งมีเหตุผลและไม่มีเหตุผลก็ตาม แต่เราต้องทำลายวงจรนี้ ไม่ให้ทำร้ายประเทศของเราอีก...”
“...ในเวลานี้ เราต้องถอยกันคนละก้าว เพื่อออกห่างจากทางที่นำไปสู่ปากเหว เส้นทางที่จะพาประเทศไทยของเราค่อยๆ ตกลงไปสู่หายนะ และสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมจะเริ่มเกิดขึ้นมากขึ้นๆ การใช้อารมณ์ความรู้สึกนำ ก็จะยิ่งสร้างอารมณ์ความรู้สึกร้อนมากยิ่งขึ้น และการใช้ความรุนแรงจะยิ่งนำมาซึ่งความรุนแรงมากกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้สอนเรามาแล้วหลายครั้ง ตอนจบของทุกครั้งก็คือ ความเสียหายทิ้งไว้กับประเทศ...”
“...เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ...เราได้เห็นการกระทำน่าหดหู่ใจอย่างมากที่เกิดขึ้นกับตำรวจ มีการทุบตีทำร้ายตำรวจด้วยคีมเหล็กขนาดใหญ่ และพฤติกรรมรุนแรงอีกหลายอย่างต่อเจ้าหน้าที่ ...เราจะไม่สามารถได้มาซึ่งสังคมแบบที่เราต้องการ ด้วยการใช้คีมเหล็กขนาดใหญ่ตีใส่กัน ...หรือด้วยการโจมตีสถาบันอันเป็นที่รักและเคารพยิ่งของคนไทย ขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถได้มาซึ่งสังคมแบบที่เราต้องการ ด้วยการใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงด้วยเช่นเดียวกัน ...เราจะทำให้เกิดสังคมแบบที่เราต้องการได้ ด้วยการพูดคุยกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน พร้อมรับฟังและเข้าใจกัน และพร้อมที่จะประนีประนอม วิธีเดียวที่เราจะได้ทางออกของปัญหา ...คือการพูดคุยกันผ่านระบบและกระบวนการของรัฐสภา...”
“...วันนี้ผมจะเป็นคนที่เริ่มก้าวแรก เพื่อที่จะลดอุณหภูมิความรุนแรง ผมกำลังเตรียมที่จะยกเลิก พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯ เร็วๆ นี้ ยกเว้นหากมีสถานการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ในเวลาเดียวกัน ผมก็ขอให้ผู้ประท้วงแสดงความจริงใจในเจตนาดีของท่านที่มีต่อประเทศดังที่ท่านพูด โดยการเคารพกฎหมาย เคารพระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ขอให้ท่านแสดงความคิดความต้องการผ่านผู้แทนราษฎรของท่าน ซึ่งมีขั้นตอน กำหนดเวลาไปตามลำดับ”
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (21 ต.ค.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พ.ร.ฎ.เรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ สมควรที่จะเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 122 และ 165 ของรัฐธรรมนูญฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พ.ร.ฎ.เรียกประชุมสมัยวิสามัญฯ ตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.2563
3.เกิดเหตุท่อก๊าซ ปตท.ระเบิดที่บางบ่อ สมุทรปราการ ดับ 3 เจ็บหลายสิบราย สาเหตุยังไม่แน่ชัด!
เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ได้เกิดระเบิดและไฟไหม้บริเวณที่ว่างเปล่าริมถนนเทพราช-ลาดกระบัง หมู่ 9 ต.เปร็ง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ห่างจาก สภ.เปร็งไม่ถึง 200 เมตร โดยเปลวเพลิงได้พวยพุ่งขึ้นฟ้าอย่างรุนแรง และถูกลมหอบไปตกฟื้นที่ใกล้เคียง ทำให้บ้านเรือนและรถยนต์ได้รับความเสียหายจำนวนมาก แม้แต่รถปิกอัพสายตรวจที่จอดอยู่ลานจอดด้านหน้าและด้านข้าง สภ.เปร็ง ยังถูกไฟไหม้ไปด้วย โดยมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบราย
ด้านเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและกู้ภัยรีบเข้าดับเพลิงและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ โดยพบว่า จุดเกิดเหตุเป็นที่ว่าง อยู่ห่างจากผิวถนนประมาณ 100 เมตร เป็นแนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติของ บมจ.ปตท. ท่อส่งก๊าซขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 36 นิ้ว ถูกแรงระเบิดจนขาดโผล่พ้นพื้นดิน นอกจากนี้เปลวไฟที่พุ่งออกจากท่ออย่างรุนแรง ยังส่งผลให้บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างในรัศมี 200 เมตร ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด ขณะที่โรงเรียนเปร็งวิสุทธาธบดี ซึ่งอยู่ห่างไปทางด้านหลังเกือบ 100 เมตร กระจกประตูหน้าต่างแตกเสียหายจำนวนหนึ่ง ส่วนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ ถูกเพลิงเผาอย่างน่ากลัว นอกจากนี้แรงระเบิดยังทำให้สายไฟฟ้าแรงสูงขาดพาดขวางถนน เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าต้องตัดกระแสไฟ เจ้าหน้าที่ระดมฉีดน้ำสกัดเพลิงกว่า 1 ชม. กระทั่งเจ้าหน้าที่ ปตท.ปิดวาล์วตัดก๊าซ จึงควบคุมเพลิงไว้ได้
ตรวจสอบเบื้องต้น บริเวณหลุมระเบิด มีรถแบ็กโฮ 1 คัน และรถปิกอัพ 1 คัน ถูกเพลิงเผาเสียหายทั้งคัน รวมทั้งแคมป์คนงานก่อสร้าง ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงถูกเผาเสียหายทั้งหมด
ด้านนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าฯ สมุทรปราการ เผยหลังลงพื้นที่สำรวจความเสียหายพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า เบื้องต้นมีรายงาน มีผู้เสียชีวิต 3 ราย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 ราย เสียชีวิตที่ รพ.บางบ่อ 2 ราย ผู้บาดเจ็บ 52 คน อยู่ รพ.บางบ่อ, รพ.รวมชัยประชารักษ์, รพ.จุฬารัตน์, รพ.ลาดกระบัง, รพ.บ้านโพธิ์ และ รพ.บางเสาธง บ้านเรือนเสียหาย 34 หลัง รถยนต์เสียหาย 62 คัน รถจักรยานยนต์เสียหาย 59 คัน และเครื่องจักรเสียหาย 12 เครื่อง
ขณะที่นายธีระ ผุดผ่อง เจ้าหน้าที่มวลชนสัมพันธ์จากบริษัท ปตท.จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทได้สั่งการให้ลงมาดูและเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด รวมทั้งสำรวจทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย พร้อมสนับสนุนอาหารจนกว่าภารกิจจะลุล่วง ส่วนสาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด ฝ่ายวิศวกรรมอยู่ระหว่างสำรวจและสอบสวน ส่วนก๊าซ เป็นก๊าซธรรมชาติ แนวท่อมาจาก อ.บางปะกง เพื่อส่งไปปลายทางที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
ด้านนายถวัลย์ ธนกิจเจริญพัฒน์ รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กระทรวงพลังงาน เผยว่า เจ้าหน้าที่ ธพ.ได้เข้าไปยังที่เกิดเหตุแล้ว เบื้องต้นคาดว่า สาเหตุเกิดจากการที่รถแบ็กโฮเข้าไปขุดพื้นที่บริเวณใกล้ท่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งสรุปสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง
ขณะที่นายโชคชัย ธนเมธี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท.กล่าวว่า ปตท.ได้ร่วมกับ จ.สมุทรปราการ จัดตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ในพื้นที่วัดเปร็งราษฎร์บำรุง ทั้งนี้ ปตท.พร้อมดูแลรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงการเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต
ด้านนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวเมื่อวันที่ 23 ต.ค.ว่า ปตท.ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งญาติผู้เสียชีวิต ซึ่งล่าสุดมีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 66 ราย กลับบ้านได้แล้ว 37 ราย ปตท. พร้อมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
โดย ปตท.จะมอบเงินเยียวยาเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต รายละ 5,000,000 บาท ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสรายละ 500,000 บาท ผู้ที่ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลรายละ 200,000 บาท และผู้ได้รับบาดเจ็บที่ไม่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลรายละ 50,000 บาท สำหรับการชดเชยบ้านเรือนและทรัพย์สินที่เกิดความเสียหาย อยู่ระหว่างประเมินมูลค่าและจะบรรเทาผลกระทบให้ดีที่สุดโดยเร็ว นอกจากนั้น ปตท. ได้ร่วมกับจังหวัดสมุทรปราการ จัดเตรียมที่พักชั่วคราวที่วัดเปร็งราษฎร์บำรุง จัดหาอาหาร น้ำดื่ม และเครื่องใช้ที่จำเป็นให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกครัวเรือน และจัดหาที่พักรองรับในช่วงระหว่างการซ่อมแซมบ้านเรือน
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ร่วมกับมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เชิญถุงพระราชทาน เครื่องนอนเครื่องครัว ไปมอบแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากเหตุท่อก๊าซธรรมชาติระเบิดในพื้นที่ ต.เปร็ง เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
4.พบหญิงชาวฝรั่งเศสติดโควิด-19 หลังพ้นกักตัว 14 วัน เริ่มแสดงอาการวันที่ 17 ที่เกาะสมุย ยังไม่ชัด ติดในไทยหรือไม่!
เมื่อวันที่ 23 ต.ค. นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้แถลงผลตรวจหญิงชาวฝรั่งเศส อายุ 57 ปี ติดเชื้อโควิด-19 โดยตรวจพบหลังจากพ้นระยะเวลากักตัว ASQ ในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ 14 วันแล้ว จากนั้นได้เดินทางไปยังเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา เริ่มมีไข้ ไอ มีเสมหะ ปวดกล้ามเนื้อ ในวันที่ 17 ต.ค. โดยมีการเดินทางไปห้างสรรพสินค้าและร้านค้าสะดวกซื้อ จากนั้นไปตรวจที่โรงพยาบาลกรุงเทพสมุย วันที่ 20 ต.ค. แต่ไม่มีไข้ เจ้าหน้าที่จึงเก็บตัวอย่างส่งตรวจ และผลตรวจพบเชื้อโควิด-19 ในวันที่ 21 ต.ค. ขณะนี้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ขณะที่สามีและลูก ผลตรวจไม่พบเชื้อ แต่ให้กักตัวเพื่อสังเกตอาการที่โรงพยาบาล ส่วนเพื่อนใกล้ชิด ยังคงรอผลตรวจ
นพ.โสภณ กล่าวถึงระยะเวลาในการกักตัวว่า การกักตัว 14 วัน น่าจะเพียงพอ แต่ต้องเพิ่มการติดตามหลังจากพ้นเวลากักตัวแล้ว เพราะในหลายประเทศพบการติดเชื้อได้ แต่มีจำนวนน้อยมาก “การป่วยของชาวฝรั่งเศสคนนี้ เกิดขึ้นหลังจากมาถึงไทยแล้ว 17 วัน ปกติระยะฟักตัวยาวที่สุด 14 วัน เป็นไปได้อาจจะติดที่สนามบินนอกประเทศไทย หรือมาติดในไทย ทีมสอบสวนโรคจะประเมินข้อมูลและผลตรวจของคนที่เกี่ยวข้อง”
ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายดังกล่าวเดินทางมาจากเมือง Limoges ประเทศฝรั่งเศส พร้อมครอบครัว 3 คน ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG933 เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา และเข้าสู่กระบวนการกักตัว (ASQ) 14 วัน โดยทีมแพทย์เก็บตัวอย่างเชื้อ 2 ครั้ง ผลปรากฏเป็นลบ
จากนั้นวันที่ 15 ต.ค. ออกจาก ASQ ไปยังสถานทูตฝรั่งเศส ก่อนเดินทางไป อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เที่ยวบิน PG167 และมีเพื่อนมารับกลับไปบ้านพักด้วยรถส่วนตัว กระทั่งเริ่มมีอาการวันที่ 17 ต.ค. ก่อนเข้ารับการตรวจวันที่ 20 ต.ค. และทราบผลว่าติดโควิด-19 ในวันที่ 21 ต.ค.
ขณะที่ นพ.วีระศักดิ์ หล่อทองคำ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกาะสมุย เผยว่า จากกรณีพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่เกาะสมุย พบว่า มีกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ประกอบด้วย สามีและลูกชายผู้ติดเชื้อ แพทย์ให้เข้ารับการตรวจและพักในห้องแยก โรงพยาบาลเกาะสมุย ตรวจครั้งที่ 1 แล้ว ผลเป็นลบ และยังต้องรอตรวจอีกเป็นครั้งที่ 2 ส่วนผู้โดยสารที่เดินทางมาพร้อมกัน 10 ราย ลูกเรือ 2 ราย จะเชิญมาตรวจในวันที่ 24 ต.ค. และอยู่ในห้องแยก จนกว่าผลการตรวจจะยืนยัน สำหรับเพื่อนที่ไปรับที่สนามบิน กำลังรอผลตรวจ ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ จำนวน 21 ราย กำลังอยู่ระหว่างการเฝ้าระวังสังเกตอาการ
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงพื้นที่เกาะสมุยเมื่อวันที่ 23 ต.ค. พร้อมนำยาฟาวิพิราเวียร์ 1,000 เม็ด ไปด้วยเพื่อรับมือกับการควบคุมโรคโควิด-19
5.“หมวดจรูญ” เฮ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีหวย 30 ล้าน ด้าน “ครูปรีชา” ขอสู้ต่อชั้นฎีกา!
เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 คดีที่นายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ รับของโจร โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องหมวดจรูญ
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้องหมวดจรูญ เนื่องจากพิจารณาพยานหลักฐานต่างๆ แล้ว เชื่อได้ว่า ครูปรีชาไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ ซึ่งคือสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดที่ถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 5 ใบ เมื่อครูปรีชาไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับหมวดจรูญ
หลังฟังคำพิพากษา หมวดจรูญ และภรรยา พร้อมด้วยนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ ได้เดินออกจากห้องพิจารณาคดีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โดยนายษิทรา เผยว่า ศาลมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้องหมวดจรูญ โดยศาลให้ความสำคัญกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ทั้งคลิปเสียงการสนทนา สัญญาณโทรศัพท์ของครูปรีชา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ใช้พิสูจน์ว่า คำให้การของครูปรีชาที่อ้างว่าเดินทางไปซื้อลอตเตอรี่ที่ตลาดเรดซิตี้ในวันที่ 31 ต.ค.2560 นั้นไม่เป็นความจริง เนื่องจากสัญญาณโทรศัพท์ระบุว่าในวันดังกล่าว ครูปรีชาออกจากโรงเรียน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ครูปรีชาทำงานอยู่ในเวลา 16.26 น. และไปรับลูกของครูที่โรงเรียนอีกแห่งใน ต.ท่าล้อ อ.ท่าม่วง ในเวลา 16.56 น. แต่ในคำให้การของครูปรีชาระบุว่า ในวันดังกล่าวครูปรีชาได้แวะทำธุระที่ตลาดเรดซิตี้ และแวะซื้อลอตเตอรี่กับเจ๊บ้าบิ่น โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก่อนเดินทางไปรับลูก
“จากสัญญาณโทรศัพท์ของครูปรีชาระบุชัดเจนว่า ในเวลา 16.46 น. ครูปรีชายังขับรถจอดติดสัญญาณไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกอู่ทอง ใกล้เคียงกับตลาดเรดซิตี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ครูปรีชาจะใช้เวลา 10 นาทีลงไปซื้อลอตเตอรี่ที่ตลาดเรดซิตี้ และเดินทางไปรับลูกที่โรงเรียนในเวลา 16.56 น.ตามที่กล่าวอ้าง อีกทั้งช่วงเวลาดังกล่าวยังมีคลิปเสียงการสนทนาของครูปรีชาที่ใช้โทรศัพท์อยู่ตลอดช่วงเวลา จึงเชื่อได้ว่า วันดังกล่าวครูปรีชาไม่ได้ซื้อลอตเตอรี่จากเจ๊บ้าบิ่นที่ตลาดเรดซิตี้จริง ซึ่งหลักฐานเหล่านี้ ทำให้ศาลพิจารณายกฟ้องลุงจรูญ ตามศาลชั้นต้นในที่สุด”
ด้านหมวดจรูญ กล่าวว่า วันนี้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง คืนความเป็นธรรมให้กับตนเรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปตนจะได้ทวงความเป็นธรรมให้กับตัวเอง โดยฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่พยายามใส่ร้ายดำเนินคดีกับตนทั้งหมดทุกคน
ขณะที่ครูปรีชา ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า "ต้องขอขอบคุณศาลอุทธรณ์ภาค 7 ผมเคารพในคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ แต่เราก็ต้องใช้สิทธิ์ตามกฎหมายต่อไป คือเราจะนำประเด็นต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยไปปรึกษากับทนายความ เพื่อมาดูว่ามันบกพร่องตรงจุดไหนในการอุทธรณ์"
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นยกฟ้องหมวดจรูญ ตรงนี้ครูยังยืนยันว่าลอตเตอรี่นั้นเป็นของครูอยู่หรือไม่ ครูปรีชาตอบว่า อย่างที่ได้เรียนไปแล้วว่า ผมเคารพในคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ภาค 7 แต่มีอยู่บางประเด็นที่จะต้องนำไปปรึกษากับทนายความ ที่เราจะต้องใช้สิทธิ์ตามกฎหมายต่อไป เพราะความจริงก็คือความจริง
ด้านนายวชิระ ทานท่า ทีมงานทนายความของครูปรีชาที่มาร่วมรับฟังคำพิพากษา กล่าวว่า เป็นไปตามที่ครูปรีชาชี้แจงว่า เราเคารพในคำตัดสิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรายังไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาในหลายประเด็น ดังนั้นเราคงจะต้องใช้สิทธิ์ในการยื่นฎีกาต่อไป