1.“ธนาธร” เปิดหน้าร่วมชุมนุม 14 ต.ค. ยันต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ด้าน “เสื้อแดงอีสาน-ใต้” ขอปกป้องสถาบัน-ไม่ร่วมชุมนุม!
เมื่อวันที่ 8 ต.ค. ที่ท้องสนามหลวง น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง, นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์, นายอานนท์ นำภา, นายกรกช แสงเย็นพันธ์ หรือปอ, นายลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ แกนนำกลุ่มนักเรียนเลว, น.ส.สุวรรณา ตาลเหล็ก และนายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือฟอร์ด ตัวแทนกลุ่มการชุมนุม ในนามคณะราษฎร 2563 ได้แถลงแนวทางการชุมนุมในวันที่ 14 ต.ค.นี้
โดยนายอานนท์ กล่าวว่า ที่เลือกชุมนุมวันที่ 14 ต.ค. เพราะ 14 ต.ค.เป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการชุมนุมขับไล่เผด็จการ จึงจัดกิจกรรมขับไล่เผด็จการอีกครั้ง โดยนัดหยุดงาน และหยุดเรียน ขอให้นักศึกษามารวมตัวกันเวลา 14.00 น. ที่ร้านแมคโดนัลด์ ก่อนทวงคืนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันนั้นจะไม่มีสิ่งใดมากีดขวางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เราจะยกต้นไม้คืน กทม.ทั้งหมด จากนั้นจะชุมนุมปราศรัยพร้อมปักหลักค้างคืน โดยใช้วิธีการกินข้าวทีละคำ จะค้างอย่างน้อย 1 คืน อย่างมากก็เป็นเดือน คาดว่าจะมีคนมาร่วมชุมนุมไม่น้อยกว่าวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา
นายอานนท์ กล่าวอีกว่า การชุมนุมครั้งนี้ยังไม่มีการกำหนดทั้งสถานที่ การเคลื่อนชุมนุมและวันเวลายุติกิจกรรม เบื้องต้นแจ้งชุมนุมกับตำรวจไปแล้ว หากเจ้าหน้าที่ต้องการเจรจา ก็พร้อมตั้งโต๊ะพูดคุยกัน หากรัฐบาลยังคงไม่ตอบรับข้อเสนอ ก็จะมีมาตรการชุมนุมเชิงกดดันต่อไป
นายอานนท์ กล่าวถึงข้อเรียกร้องในการชุมนุมวันที่ 14 ต.ค.นี้ด้วยว่า 1. ประยุทธ์ต้องออกไปจากการเป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงทุกองคาพยพด้วย 2.เปิดประชุมวิสามัญทันที เพื่อรับร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจากประชาชนทั้งฉบับ และ 3.ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้กลับมาอยู่ตามครรลองภายใต้รัฐธรรมนูญระบบประชาธิปไตยที่แท้จริง นายอานนท์ ยังอ้างด้วยว่า "ข้อเรียกร้องข้างต้นมิใช่การล้มล้างการปกครอง หากแต่เป็นการทําให้ประเทศไทย กลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง เพื่อมิให้ต้องมีผู้ต้องอดอยากแร้นแค้น สูญเสียโอกาส สูญเสียอนาคตจากการบริหารที่ผิดพลาดและกฎกติกาที่บิดเบี้ยว"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวันที่ 14 ต.ค.นี้ คาดว่าจะมีขบวนเสด็จ เสด็จผ่าน นายอานนท์ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ เราไม่มีเจตนาที่จะขวางขบวนเสด็จ เพราะเราได้แจ้งล่วงหน้าก่อนแล้วว่าจะมีการชุมนุมในวันดังกล่าว ในช่วงที่มีขบวนเสด็จ เราคาดว่าประชาชนอาจจะไม่เต็ม ดังนั้นถ้ารถทั่วๆไปผ่านได้ ขบวนเสด็จก็สามารถผ่านได้ ไม่มีการขัดขวางขบวนเสด็จ
นายอานนท์ กล่าวด้วยว่า รับรองว่าในวันชุมนุมมีเซอร์ไพรส์แน่นอน เราจะสู้จนชนะ แต่ถ้ามวลชนมาน้อยก็อยู่ที่มวลชนแล้ว ถ้าพูดกันตรงๆ เรามากันไกลมาก ไม่มีการยอมแพ้ หรือหาทางลงแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ขณะนี้มีความขัดแย้งในกลุ่มแกนนำเยาวชน โดยเฉพาะเรื่องการคุกคามทางเพศ จะส่งผลต่อคนที่มาร่วมชุมนุมหรือไม่ นายอานนท์ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องการปรับตัว ถ้ามีการผิดพลาดก็ต้องขออภัยกัน เรื่องนี้สำคัญที่จะเรียนรู้ร่วมกัน และการปรับตัวกัน ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก
ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงการชุมนุมในวันที่ 14 ต.ค.ว่า คณะก้าวหน้าเข้าร่วมการชุมนุมแน่นอน และว่า นักศึกษาประชาชนได้ส่งเสียงความต้องการแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่มีการเรียกร้องด้วยอุดมการณ์เดียวกันทั่วประเทศ ดังนั้นต้องถามผู้มีอำนาจว่า พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ พร้อมที่จะรับผิดกับการกระทำที่ผ่านมาและหาทางออกกับสังคมร่วมกันหรือไม่ เมื่อถามว่า จะขึ้นเวทีปราศรัยหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ตนไม่ได้ถูกทาบทามให้ขึ้นเวทีปราศรัย
นายธนาธร ยังกล่าวในงานเสวนาเพื่อรำลึกครบรอบ 44 ปี 6 ตุลา เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยยืนยันจำเป็นต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยบอกว่า ในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของสายธารประวัติศาสตร์ เป็นผู้รับภารกิจการต่อสู้มาจากคนยุค 6 ตุลา มีภารกิจที่เราต้องทำร่วมกันให้สำเร็จ คือการแก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ หากทำเช่นนั้นได้ เราจึงจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนเสื้อแดงจำนวนมากที่รักสถาบันและพร้อมปกป้องสถาบันกษัตริย์ พร้อมยืนยัน ไม่เข้าร่วมชุมนุมวันที่ 14 ต.ค.นี้ เช่น นายอานนท์ แสนน่าน ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย นายสมชัย แสงทอง อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคเหนือ นางนิตยา นาโล อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคอีสาน นายองอาจ วิเศษ ประธานเครือข่ายภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่นไทย ได้ร่วมประชุมกับอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัดเมื่อวันที่ 7 ต.ค. เพื่อขับเคลื่อน “เศรษฐกิจพอเพียง” ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
โดยนายอานนท์ แสนน่าน กล่าวว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประกอบสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตามประเพณีการปกครองของไทย ประชาชนทุกคนจึงถือเป็นหน้าที่สำคัญยิ่งยวดในอันที่จะเชิดชูสถาบันนี้ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยจะใช้มาตรการทางกฎหมาย มาตรการทางสังคม จิตวิทยา และมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ในการดำเนินการต่อผู้คะนองปาก ย่ามใจหรือประสงค์ร้าย มุ่งสั่นคลอนสถาบันหลักของชาติ
นายอานนท์ กล่าวอีกว่า สำหรับกลุ่มคนที่ออกมาจาบจ้วงสถาบันในขณะนี้ก็ขอโปรดพึงสังวรเอาไว้ว่า ถ้าไม่มีพระมหากษัตริย์ไทย คงไม่มีแผ่นดินให้คนรุ่นใหม่ได้มีที่ยืนในวันนี้ คงเป็นทาสของต่างชาติ หรือไม่ก็จะไม่มีชาติให้ได้ภาคภูมิใจเหมือนเช่นทุกวันนี้ การที่พวกเรา “ยุบและสลายหมู่บ้านเสื้อแดง” เข้ามาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยเป็นเครือข่าย “รวมไทยสร้างชาติ เรารักประเทศไทย” ก็ต้องการที่จะทำงานด้วยจิตอาสาเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพราะที่ผ่านมาพวกเราเป็นคนเสื้อแดง และแยกออกมาเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ก็จะใช้สโลแกนที่ว่า “หมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เพราะพวกเราซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์
นายอานนท์ กล่าวย้ำว่า พวกเราอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสาน จึงเดินทางมาขอพรกับ “องค์เจ้าปู่ศรีสุทโธ” และ “องค์เจ้าย่าศรีปทุมมา” ณ วังนาคินทร์คำชะโนด ให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไป โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศ และร่วมกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ทรงเป็นประมุขของประเทศไทยต่อไป "พวกเราขอยืนยันว่า กลุ่มอดีตหมู่บ้านเสื้อแดงและสมาชิกคนเสื้อแดงภาคอีสานจะขอปกป้องสถาบัน และไม่เคยคิดจะเข้าร่วมชุมนุมในวันที่ 14 ต.ค.2563 แต่อย่างใด"
ล่าสุด วันนี้ (10 ต.ค.) นายทวี ประหยัด อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคใต้ ร่วมกับคนไทยมุสลิม ประชาชน แกนนำคนเสื้อแดง และอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง ทั้ง 14 จังหวัด ภาคใต้ ได้ประกาศเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่ขอเข้าร่วมชุมนุม 14 ต.ค.นี้ อย่างเด็ดขาด
2.“นิพนธ์” ข้องใจ ป.ป.ช.ด่วนสรุปชี้มูลความผิด ม.157 ทั้งที่ศาลปกครองสูงสุดยังไม่มีคำพิพากษา!
เมื่อวันที่ 7 ต.ค.นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช.แถลงกรณีกล่าวหานายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยจากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา ละเว้นไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ โดยเรื่องนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐาน จากการไต่สวนข้อเท็จจริง พยานหลักฐานรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2556 อบจ.สงขลาได้มีประกาศเรื่อง จัดซื้อรถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ ชนิด 10 ล้อ เครื่องยนต์ดีเซล มีกำลังไม่น้อยกว่า 200 แรงม้า 2 คัน งบประมาณ 51 ล้านบาท ปรากฏว่า บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูล โดยเสนอราคาต่ำสุด เป็นเงิน 50,850,000 บาท อบจ.สงขลา โดยนายอุทิศ ชูช่วย นายก อบต.สงขลาในขณะนั้น จึงทำสัญญาซื้อขายรถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ดังกล่าวจากบริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด
แต่นายนิพนธ์ยังไม่เบิกจ่ายเงินให้แก่บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด โดยอ้างว่า การเสนอราคากระทำโดยมีเจตนาไม่สุจริต มีพฤติกรรมสมยอมกันในการเข้าเสนอราคาต่อ อบจ.สงขลา และทำให้ไม่เป็นการแข่งขันอย่างเป็นธรรม บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด จึงยื่นฟ้อง อบจ.สงขลา ต่อศาลปกครอง โดยคดีดังกล่าว ศาลปกครองสงขลามีคำพิพากษาให้ อบจ.สงขลา ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินค่ารถทั้งสองคันพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงิน 52,062,041 บาท ให้แก่บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด
คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว มีมติว่า การกระทำของนายนิพนธ์ บุญญามณี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา มีมูลความผิดฐานเป็นความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมีพฤติการณ์กระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 มาตรา 79 ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐานไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจ และไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนพิจารณาดำเนินการต่อไป
ด้านนายนิพนธ์ ได้เปิดแถลงว่า ที่ ป.ป.ช.ระบุว่า มีคนไปร้องคดีฮั้วประมูลเมื่อปี 2561 นั้น อยากชี้ให้เห็นว่า ไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกว่า ตนทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 เพราะการจะผิดมาตรา 157 นอกจากจะมีเจตนาธรรมดาแล้ว ต้องมีสิ่งพิเศษว่า ไปกลั่นแกล้งใครหรือไม่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องกลั่นแกล้งใคร แต่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของ อบจ.สงขลา เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ตนต้องไปเอาเอกสารมาจากต่างประเทศเอง ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ และเรื่องการซื้อขายรถลักษณะนี้ไม่ใช่มีแต่ที่ อบจ.สงขลาเท่านั้น ยังมีทั่วประเทศ ขณะนี้กำลังร้องเรียนกันอยู่
นายนิพนธ์ กล่าวอีกว่า ขอตั้งคำถามที่ ป.ป.ช.ระบุว่า การไม่จ่ายเงินกับการฮั้วประมูลต้องแยกคดีกันนั้น ตนแปลกใจวา ทำไมต้องแยกส่วนกัน ทั้งที่เกี่ยวเนื่องกัน เพราะหากตนจ่ายไปแล้ว ต่อมาสืบทราบภายหลังว่า บริษัทมีการฮั้วกันจริง จะทำอย่างไร ป.ป.ช.ควรจะตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ด้วย เพราะเรื่องทั้งหมดอยู่ใน ป.ป.ช.แล้ว และอยู่ในศาลปกครองสูงสุด จะมาด่วนสรุปได้อย่างไรว่าเรื่องนี้ผิด ตนยังมีความมั่นใจ และจะส่งเรื่องทั้งหมดไปให้ ป.ป.ช.อีกครั้ง เชื่อว่าเรื่องทั้งหลายไม่ผิด และเรื่องนี้กำลังสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้ ป.ป.ช. เพราะจะสร้างความสับสนให้ระบบราชการ
นายนิพนธ์ กล่าวด้วยว่า “ส่วนที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้แสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรักษามาตรฐานและอุดมการณ์ของพรรค ปชป.นั้น มาตรฐานครั้งนี้กับครั้งก่อนๆ เป็นคนละกรณีกัน ครั้งนี้เกิดขึ้นขณะที่ผมเป็นนายก อบจ.สงขลา ไม่ได้เกิดจากตำแหน่งที่พรรคมอบหมาย จึงไม่ได้ทำให้พรรคเสียหายหรือเสียชื่อเสียง มั่นใจว่าเป็นการรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน ไม่มีการทุจริต”
3.บอร์ดองค์การสวนสัตว์ฯ ตั้ง คกก.ตรวจสอบสวนสัตว์ทั่ว ปท.คลายข้อสงสัยแหล่งค้าสัตว์ป่า หลังเก้งเผือกหาย-ยิง ผอ.!
ความคืบหน้ากรณีนายสุริยา แสงพงค์ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ถูก นสพ.ภูวดล สุวรรณะ ยิงเสียชีวิตภายในที่ทำการสวนสัตว์สงขลา ขณะลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีลูกเก้งเผือกสายพันธุ์พระราชทานหายไป 2 ตัวเมื่อวันที่ 3 ต.ค.
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 6 ต.ค. นายชวลิต ชูขจร ประธานคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ฯ ได้ประชุมคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ฯ เพื่อพิจารณาผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง 2 เรื่อง คือ เก้งเผือกหาย และคดียิง ผอ.องค์การสวนสัตว์ฯ
หลังประชุม นายชวลิต แถลงว่า บอร์ดองค์การสวนสัตว์ฯ มีมติแต่งตั้งนายสมิทธิ ดารากร ณ อยุธยา กรรมการองค์การสวนสัตว์ฯ เป็นรักษาการ ผอ.องค์การสวนสัตว์ฯ เพื่อแก้ปัญหาภายในสวนสัตว์ จากนั้นจะเร่งสรรหาซีอีโอตัวจริง ซึ่งได้แต่งตั้งกรรมการสรรหาแล้ว อาจต้องใช้เวลาประมาณ 90 วัน
ส่วนกรณีเก้งเผือกหายไป 2 ตัวนั้น นายชวลิต กล่าวว่า ตัวแรกหายไปภายในเดือน ก.พ.2563 จากนั้นพบซากกระดูกในเดือน เม.ย.2563 ส่วนตัวที่ 2 หายไปในวันที่ 22 ก.ย.2563 ซึ่งตัวที่ 2 ชัดเจนแล้วว่า ถูกงูเหลือมกิน พบซากเก้งเผือกอยู่ในท้องงูบริเวณโรงเลี้ยงเก้งเผือก คณะกรรมการแจ้งว่า พบงูอยู่ในโพรง จึงพยายามดึงงูออกมา ปรากฏว่า งูเหลือมที่กินเก้งเผือกอายุ 9 เดือน ซึ่งตัวเริ่มใหญ่แล้ว เมื่อถูกดึงจากโพรงที่มีขนาดเล็ก ทำให้ท้องงูแตก และพบซากเก้งอยู่ในท้อง ซึ่งขณะนี้ซากอยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นเก้งเผือกจริงๆ แต่ปัญหาเกิดจากการที่ ผอ.สวนสัตว์ฯ ไม่รายงานต่อซีอีโอในทันที กลายเป็นเรื่องบานปลายไป ซึ่ง ผอ.สวนสัตว์สงขลาชี้แจงว่า จะรายงานตามรอบเดือนตามระเบียบอยู่แล้ว ทำให้เข้าใจผิดว่าเก้งเผือกหายซ้ำซ้อนกันอีก
นายชวลิต กล่าวอีกว่า ส่วนเก้งเผือกตัวแรกหายไปโดยไม่สามารถสรุปได้ ยังเป็นสมมุติฐานว่า ถูกคนขโมย หรือหลุดหายไปเอง หรือถูกสัตว์อื่นกินเข้าไป ซึ่งซากที่นำไปตรวจกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ ปรากฏผลออกมายังไม่ชัดเจน กรรมการสอบสวนจึงมีมติว่า อาจต้องส่งซากไปตรวจอีกครั้งในระดับเซลล์ อาจต้องมีเนื้อเยื่อ หรือองค์ประกอบของซากเพิ่มเติม เพื่อตรวจได้อย่างแม่นยำ หากตรวจสอบพบว่า ซากดังกล่าวเป็นเก้งเผือกตัวเดียวกัน ปัญหาก็จบ แต่ถ้าไม่ใช่เก้งเผือก ปัญหาคือ มีคนขโมยไปใช่หรือไม่
นายชวลิต กล่าวด้วยว่า “สุดท้ายแล้ว เรื่องนี้ถูกโยงว่า สวนสัตว์เป็นแหล่งค้าสัตว์ป่าหรือไม่ มีการอาศัยช่องว่างต่างๆ เช่น เจ้าหน้าที่สวนสัตว์หาประโยชน์จากตรงนี้หรือไม่ โดยทางกระทรวงทรัพยากรฯ ได้คัดสรรผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก เพื่อความโปร่งใส ในส่วนของบอร์ด ได้ส่ง รศ.เจษฏ์ โทณวณิก กรรมการองค์การสวนสัตว์ฯ เข้าเป็นกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 6 คน ซึ่งไม่ใช่แค่ตรวจสอบสวนสัตว์สงขลาเท่านั้น แต่ทุกสวนสัตว์ในสังกัดองค์การสวนสัตว์ฯ ทั่วประเทศ”
ด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เผยเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ว่า ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสวนสัตว์ว่ามีความไม่ชอบมาพากลหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการฟันธงว่ามีการทุจริตหรือไม่ โดยให้เวลาทำงาน 45 วัน ในการหาคำตอบ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า เราจะทำงานอย่างตรงไปตรงมา หากมีหลักฐานการกระทำผิด เราจะดำเนินคดีทางกฎหมายให้ถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ ไม่ได้จะเข้าไปจับผิดหรือหาเรื่ององค์การหรือบุคลากร แต่เพื่อสร้างความกระจ่างสร้างความสบายใจให้พี่น้องประชาชน เพราะสวนสัตว์เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน
ขณะที่นายดำรงค์ พิเดช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย (ทป.) อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ เชื่อว่า เวลานี้เก้งเผือก 2 ตัวที่อ้างว่าหายไปและถูกงูเหลือมกินนั้น ยังอยู่ เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น อาจจะอยู่ประเทศที่ 3 ประเทศไหนสักแห่ง แต่เชื่อว่ายังไม่ตายแน่นอน
นายดำรงค์ กล่าวอีกว่า “ของสำคัญและมีเพียงไม่กี่ตัวในโลก หากขายออกไปต่างประเทศ ราคาไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท ไม่มีใครปล่อยให้หายหรือตายไปแน่นอน ที่บอกว่างูเหลือมกิน ผมก็ว่าไม่น่าจะใช่ เพราะหากเป็นงูเหลือมเข้ามากินจริงๆ ทำไมถึงเลือกกินแต่เก้งขาว ทำไมไม่กินเก้งแดงตัวอื่นๆ ด้วย สำหรับนอแรดที่หาย ผมว่าน่าจะตั้งโชว์อยู่ในบ้านใครสักคนในประเทศไทยนี่แหละ ซึ่งกรมอุทยานฯ ต้องไปหามาให้ได้ และต้องไปตรวจสอบดูว่า ในบัญชีการครอบครองนอแรดนั้น มีใครครอบครองบ้าง”
4.“สารสาสน์ฯ” ปลด ผอ.เก่า ตั้งใหม่ หลังครูทำร้ายเด็ก เตรียมเอาผิดครูจุ๋ม ฐานบิดเบือน!
ความคืบหน้ากรณีครูหลายคนของโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ จ.นนทบุรี ทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียนอนุบาล จนผู้ปกครองแห่เข้าแจ้งความดำเนินคดี รวมทั้งมีการตรวจสอบพบว่า ครูหลายคนของโรงเรียนดังกล่าวไม่มีอนุญาตประกอบวิชาชีพครูนั้น
เมื่อวันที่ 5 ต.ค. นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กระทรวงศึกษาธิการ แถลงว่า ทางโรงเรียนสารสาสน์ฯ ได้ถอดถอนนางนันทิภา ยงค์กมล ผอ.โรงเรียนคนเก่าออกแล้ว เนื่องจากหย่อนยานในการปฏิบัติหน้าที่ และแต่งตั้งนางรัตนาภรณ์ มูรี่ ผอ.คนใหม่ ซึ่งมีดีกรีปริญญาเอก และใบประกอบผู้บริหารสถานศึกษา โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.เป็นต้นไป โดย สช.ได้แนะนำให้โรงเรียนตั้งรอง ผอ.อีก 3 คน ให้แล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค.นี้
ขณะที่ครูที่ทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียน ซึ่งถูกผู้ปกครองแจ้งความดำเนินคดี และตำรวจ สภ.ชัยพฤกษ์ ได้ออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งนอกจาก น.ส.อรอุมา ปลอดโปร่ง หรือครูจุ๋ม ที่ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว ยังมีครูคนอื่นๆ ทยอยเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเช่นกัน ได้แก่ น.ส.ญาณวัฒนา จิตตวิมล หรือครูบลู, น.ส.ทิพย์สุดา หินทราย หรือครูอิ้ว, น.ส.เบญจมาพร บาทเงิน หรือครูเจี๊ยบ, น.ส.นิษาชล พัฒนาแสง หรือครูนิ, น.ส.แพรวนภา ศรีพูด หรือครูแพรว, น.ส.นภาพร คำเนตร หรือครูส้ม,น.ส.อนรรฆอร พานบัว หรือครูแพร, น.ส.โชษิตา ชมเชย หรือครูอิง, น.ส.อภัสรา ทองสุก หรือครูมิ้ว, น.ส.ภารินี กลิ่นเดช หรือครูกิ๊ฟ โดยตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับความกระทบกระเทือนทางร่างกายและจิตใจ ความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก มาตรา 26 การกระทำหรือละเว้นอันเป็นการทารุณกรรม
ส่วนผู้อำนวยการโรงเรียน(คนเดิม) ตอนแรกทางตำรวจได้ออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 7 ต.ค. แต่ทาง ผอ.ขอเลื่อนออกไป โดยอ้างว่าติดภารกิจ ทางตำรวจจึงออกหมายเรียกใหม่ให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 14 ต.ค.
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ตำรวจ สภ.ชัยพฤกษ์ ได้นำตัวครูและพี่เลี้ยงโรงเรียนสารสาสน์ฯ 10 คน ไปยื่นคำร้องผัดฟ้องฝากขังต่อศาลแขวงนนทบุรี ในข้อหาทำร้ายร่างกายและจิตใจผู้อื่น เป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ และกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายและจิตใจเด็ก ผัดละ 6 วัน ซึ่งต่อมา ศาลอนุญาตให้ประกันตัว 7 คน โดยใช้หลักทรัพย์เงินสดคนละ 8,000 บาท อย่างไรก็ตาม มี 3 คนที่ตำรวจฝากขังไม่ทัน คือ ครูอิง ครูมิ้ว และครูกิ๊ฟ จึงต้องนำตัวผัดฟ้องฝากขังอีกครั้งในวันที่ 8 ต.ค.
เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างที่ผู้ปกครองรายหนึ่งกำลังแจ้งความดำเนินคดีครูจุ๋ม ปรากฏว่า ครูจุ๋มได้โทรศัพท์เข้ามาหาผู้ปกครองรายดังกล่าว โดยครูจุ๋มกล่าวว่า ฝากขอโทษผู้ปกครองทุกคนที่ครูจุ๋มทำร้ายเด็ก ส่วนกรณีที่ครูจุ๋มแจ้งความดำเนินคดีกับนายชาญวิทย์ น้อยสุขยิ่ง พ่อน้องเสือ ข้อหาทำร้าย(กระโดดถีบ)ครูจุ๋มนั้น เพราะโรงเรียนบีบให้ทำ โดยให้บอกว่า ครูจุ๋มอยากแจ้งความเอง และติดต่อทนายเอง ตอนนี้ครูจุ๋มอยากถอนแจ้งความผู้ปกครอง และอยากขอโทษผู้ปกครองทุกคน ขอรับผิดสิ่งที่ทำลงไป มันไม่ถูกต้อง บางครั้งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ น้องๆ ก็ซนไม่ยอมฟังตอนสอน ขอรับผิดทุกอย่าง พร้อมจะกราบขอโทษ ขอขมา ขอให้แม่พิงค์เป็นตัวแทนไปคุยกับกลุ่มผู้ปกครองให้ด้วย ตอนนี้ครูจุ๋มและกลุ่มครูเหมือนถูกโรงเรียนให้เป็นแพะแทนโรงเรียน
ขณะที่ น.ส.ณัฐมณกาญจน์ ลิ่มอติบูลย์ หรือพิ้งค์ แม่ของน้องรีวิว กล่าวตอบครูจุ๋มว่า จะไปคุยปรึกษากับกลุ่มผู้ปกครองและพ่อน้องเสือให้ พร้อมรับปากว่า หากนัดเจอเพื่อขอโทษ จะไม่มีใครทำร้ายครูจุ๋มแน่นอน
ขณะที่ทางโรงเรียนสารสาสน์ฯ ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวการบังคับให้ครูจุ๋ม แจ้งความผู้ปกครอง พร้อมเตรียมดําเนินคดี หากสอบสวนแล้วพบว่าครูจุ๋มให้ข้อมูลบิดเบือน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ได้สรุปความคืบหน้ากรณีครูโรงเรียนสารสาสน์ฯ ทำร้ายเด็กนักเรียนว่า จนถึงวันนี้มีคดีเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกายทั้งหมด 36 คดี มีผู้ปกครองมาแจ้งความทั้งหมด 16 ราย มีผู้ต้องหาในคดีนี้ทั้งหมด 16 คน มีผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหาและดำเนินคดีแล้ว 13 คน วันนี้มีผู้ครูที่ตกเป็นผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มอีก 3 คน รวมเป็น 16 คน ถือว่าครบแล้ว
5.ผู้ใช้สิทธิ “บัตรทอง” เฮ “สปสช.” ไฟเขียวรักษาได้ทุก รพ.ในระบบ นำร่อง กทม.-ปริมณฑล 1 พ.ย.นี้!
เมื่อวันที่ 5 ต.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เผยหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการ สปสช.ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบข้อเสนอ สปสช.เพื่อยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรณีผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) สามารถไปรับบริการที่ไหนก็ได้ เพื่อลดขั้นตอน แก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้ารับบริการให้กับประชาชนผู้มีสิทธิ ตามที่ได้มอบนโยบายให้ สปสช.ไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ข้อเสนอ สปสช.มี 4 เรื่อง ประกอบด้วย 1.ประชาชนเจ็บป่วย ไปรับบริการกับหมอประจำครอบครัวในหน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่ในระบบบัตรทอง ตามนโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่” เบื้องต้นนำร่องในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะเริ่มต้นได้ในวันที่ 1 พ.ย.นี้
2.ผู้ป่วยใน ไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว เดิมผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่เข้ารับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล มีส่วนหนึ่งต้องนอนรักษาต่อเนื่องด้วยสาเหตุทางการรักษา ซึ่งกรณีที่ใบส่งตัวครบกำหนด การจะใช้สิทธิบัตรทองต่อเนื่อง ผู้ป่วยหรือญาติต้องกลับไปยังหน่วยบริการประจำ เพื่อขอใบส่งตัวใหม่ ทำให้เกิดความไม่สะดวกและเป็นปัญหา โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ต่างจังหวัด ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกกรณีนี้ สปสช.ได้ปรับระบบผู้ป่วยใหม่ ให้สามารถรักษาต่อเนื่องได้ทันทีตามการวินิจฉัยของแพทย์โดยไม่ต้องมีใบส่งตัว ใช้เพียงบัตรประชาชนตรวจสอบตัวตนผู้ป่วย โดยจะนำร่องในพื้นที่เขต 9 นครราชสีมา เริ่มวันที่ 1 พ.ย.นี้ ส่วนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะเริ่มวันที่ 1 ม.ค.2564 ก่อนขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไป
3.โรคมะเร็ง ไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม เพราะโรคมะเร็งต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ลุกลามและเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด แต่ด้วยขั้นตอนการส่งตัวผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง บางครั้งเป็นอุปสรรคทำให้ผู้ป่วยมะเร็งไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้โดยเร็ว สปสช.จึงได้ปรับระบบการดูแลผู้ป่วยกลุ่มที่ถูกวินิจฉัยแล้วว่าเป็นมะเร็ง จะได้รับใบรับรองและประวัติ หรือโค้ดเพื่อเลือกไปรับบริการที่อื่นผ่าน 3 ช่องทาง คือ สายด่วน สปสช.1330 แอพพ์ สปสช. และติดต่อที่หน่วยบริการโดยตรง เฉพาะที่โรงพยาบาลรักษามะเร็งที่มีความพร้อมเข้าร่วม ให้บริการตามโปรโตคอลรักษามะเร็ง บริการระบบสาธารณสุขทางไกล บริการปรึกษาเภสัชกรทางไกล และการให้ยาเคมีบำบัดที่บ้าน โดยค่าบริการให้ส่งข้อมูลเบิกจ่ายมายัง สปสช.ซึ่งได้มีการออกแบบการบริหารจัดการไว้แล้ว จะเริ่มในวันที่ 1 ม.ค.2564 ในโรงพยาบาลที่มีความพร้อมทั่วประเทศ
4.ย้ายหน่วยบริการ ได้สิทธิทันที ไม่ต้องรอ 15 วัน โดยประชาชนสามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการใหม่ได้ทันทีหลังเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ รวมถึงกรณีที่ประชาชนเปลี่ยนแปลงหน่วยบริการเองผานแอพพ์ สปสช. โดยหน่วยบริการสามารถพิสูจน์สิทธิและเบิกจ่ายค่าบริการผ่านบัตรประชาชนสมาร์ท การ์ด ทั้งนี้ จะเริ่มพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 ม.ค.2564