ในสมัยรัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมราชบพิตรจะเสด็จไปชมภาพยนตร์รอบปฐมฤกษ์ซึ่งเป็นรอบการกุศลเป็นประจำ รอบนี้จึงมีผู้ร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลเต็มโรงทุกรอบ และถือเป็นงานใหญ่ในชีวิตของเจ้าของหนังและฝ่ายโรงภาพยนตร์ แต่รายการแบบนี้แม้ฝ่ายจัดรายการจะทุ่มเทจิตใจเพื่อถวายความจงรักภักดีอย่างสุดชีวิตแล้วก็ตาม แต่บางครั้งก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ทำเอาหัวใจจะวายไปตามกัน ผู้จัดการโรงถึงกับครวญว่า “ถึงผมหัวจะขาดก็สมควรแล้ว” และต่อมาเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ทีไร ขนหัวก็ลุกทุกที
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในรอบปฐมฤกษ์ของภาพยนตร์เรื่อง “การะเกด” ซึ่งสร้างโดย สุพรรณ พราหมณ์พันธ์ จัดเป็นรอบการกุศล กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทอดพระเนตรที่ศาลาเฉลิมกรุง โดย พิศมัย วิไลศักดิ์ นางเอกซึ่งกำลังดังเรื่องรำฉุยฉายพราหมณ์ จะรำเบิกโรงถวายทอดพระเนตร
ตามหมายกำหนดการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จถึงในเวลา ๒๐.๔๐น. มีการถวายการต้อนรับหน้าโรงแล้วจึงเสด็จเข้าที่ประทับ จอมพลประภาส จารุเสถียร นายกสมาคมศิษย์เก่าวชิราวุธผู้จัด จะกราบทูลถวายรายงานหน้าม่าน จากนั้นพิศมัยจะออกรำในเวลา ๒๑.๐๐ น.
แต่ ๑๙.๒๐ น.พิศมัยก็ยังมาไม่ถึงเฉลิมกรุงเพื่อเตรียมตัว กายสิทธิ์ ตันติเวชกุล ผู้จัดการโรง จึงโทรศัพท์ไปที่บ้าน คนรับสายบอกว่าออกไปแล้ว คอยจน ๒ ทุ่มกว่าพิศมัยก็ยังมาไม่ถึง กายสิทธิ์และคณะกรรมการจัดงานเริ่มกระสับกระส่าย จน ๒๐.๓๐ น.ตำรวจปิดการจราจรหน้าโรงเตรียมรับเสด็จ คนที่กระสับกระส่ายต่างก็หน้าซีดจนหาสีไม่เจอกันทั้งขบวน พอ ๒๐.๔๐ น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึง แต่ก็ยังไม่เห็นพิศมัย หัวใจกายสิทธิ์จะหยุดเต้นให้ได้
จนพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าที่ประทับ พิศมัยจึงกระหืดกระหอบวิ่งขึ้นมาหลังเวที
แต่...ยังไม่ได้แต่งตัวเลย!
จอมพลประภาสเข้ามาที่หลังม่าน เตรียมจะออกไปกราบทูลถวายรายงาน สังเกตเห็นหลังเวทีชุลมุนวุ่นวาย จึงถามกายสิทธิ์ว่า
“เป็นไง เรียบร้อยมั๊ย?”
กายสิทธ์เข้าไปค้อมตัวใกล้ๆ แล้วกระซิบว่า
“ท่านกรุณากราบทูลให้ช้าๆหน่อยได้มั๊ยครับ”
จอมพลประภาสส่ายหน้าก่อนจะออกไปหน้าม่าน
กายสิทธิ์วิ่งเข้าไปที่ห้องแต่งตัว เห็นพิศมัยยืนกางแขนในท่าหุ่นไล่กา มีคน ๕-๖ คนช่วยกันรุมแต่งตัว พอจอมพลประภาสกราบบังคมทูลเสร็จ พิศมัยก็แต่งตัวเสร็จพอดี ดนตรีขึ้น ม่านเปิด พิศมัยในชุดฉุยฉายพราหมณ์ก็พลิ้วออกไปหน้าเวที กายสิทธิ์ถอนหายใจแล้วเข่าอ่อนทรุดอยู่ตรงนั้น
หลังรำจบไต่ถามถึงสาเหตุ ก็ได้ความว่า บ้านพิศมัยอยู่ซอยรางน้ำ มาเฉลิมกรุงในทางเดียวกับเส้นทางเสด็จ เมื่อตำรวจกั้นรถให้ขบวนเสด็จผ่าน รถที่ถูกกั้นจึงมีรถพิศมัยรวมอยู่ด้วย
“วันนั้นถ้าคุณหมัยมาไม่ทัน ทำให้ต้องรอทอดพระเนตร ถึงผมหัวจะขาดก็สมสมควรแล้ว เพราะต้องรับผิดชอบอยู่เต็มประตู” กายสิทธิ์รำลึกความหลังกับผู้เขียนเมื่อเหตุการณ์ผ่านมาหลายปี
นอกจาก “ฉุยฉายพราหมณ์เป็นเหตุ” แล้ว ยังมี “ไต้ฝุ่นทำพิษ” ด้วย ซึ่งเกิดขึ้นในการเสด็จไปทอดพระเนตรภาพยนตร์ในรอบปฐมฤกษ์การกุศลเช่นกัน
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นรอบปฐมฤกษ์ภาพยนตร์เรื่อง “พรายพิฆาต” ของ น้อย กมลวาทิน และรัตนาภรณ์ อินทรกำแหง ที่นำนางงามจักรวาล อาภัสรา หงสกุล มาเป็นนางเอก จัดเป็นรอบการกุศล กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทอดพระเนตร ที่ศาลาเฉลิมกรุงเช่นกัน
สมัยนั้นฟิล์มภาพยนตร์ยังล้างในเมืองไทยไม่ได้ ต้องส่งไปล้างที่ฮ่องกง แล้วพิมพ์เป็นฟิล์ม “เวิร์คพลิ้นท์” เข้ามาตัดต่อ จากนั้นจึงส่งไปพิมพ์เป็นฟิล์มฉายเข้ามา ซึ่งหนังไทยในยุคนั้นก็มักจะมีอุปสรรคในการถ่ายทำอยู่บ่อยๆ จึงมักพิมพ์ฟิล์มฉายมาฉิวเฉียดกับกำหนดฉายอยู่เป็นประจำ
ในเรื่องนี้ ตามกำหนดการ ผู้ประสานงานกับแล็ปฮ่องกง จะเป็นผู้หิ้วฟิล์มขึ้นเครื่องบินไทยอินเตอร์ออกจากสนามบินไคตั๊กในเช้าวันนั้น มาถึงดอนเมืองราว ๑๐ โมงเศษ นัดเซนเซอร์ไว้ตอนบ่าย ฉายทันทอดพระเนตรคืนนั้นพอดี
แต่พอ ๘ โมงเศษวันนั้น ผู้ประสานงานทางฮ่องกงก็โทรศัพท์มาถึงกายสิทธิ์ ตันติเวชกุล บอกว่าไต้ฝุ่นกำลังถล่มฮ่องกง เครื่องบินทุกลำขึ้นไม่ได้ และยังไม่รู้ว่าจะเบาลงเมื่อใด รัตนาภรณ์รู้ข่าวก็ได้แต่นั่งร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก
กายสิทธิ์โทรศัพท์ติดต่อกับทางฮ่องกงตลอดด้วยความระทึกใจ จนบ่ายไต้ฝุ่นก็ยังไม่เบาลงเลย กายสิทธิ์คิดไม่ตกว่าจะแก้ไขสถานการณ์เรื่องนี้อย่างไร จึงติดต่อไปยังผู้จัดการโรงภาพยนตร์คิงส์ที่มีสายสัมพันธ์กันด้วยดี ขอยืมหนังฝรั่งเรื่องเด่นที่สุดเท่าที่มีอยู่ แต่ต้องเป็นหนังใหม่ที่ยังไม่เคยฉาย จะเอามาสำรองไว้หากเกิดเหตุที่แก้ไขไม่ได้ จะขอฉายถวายทอดพระเนตรเพียง ๑ รอบ ผจก.คิงส์ก็คัดเลือกหนังประวัติศาสตร์เรื่องเด่นของอิตาลีมาให้ นำแสดงโดยดาราอเมริกัน เอ็ดมันด์ เพอร์ดอม กายสิทธิ์คิดว่าถ้าฟิล์ม “พรายพิฆาต” มาไม่ได้จะเอาหนังเรื่องนี้ฉายถวาย ยังไงก็ดีกว่าไม่มีฉายเลย
พอบ่ายเกือบ ๓ โมง ทางฮ่องกงก็โทรศัพท์รายงานมาว่า ตอนนี้ไต้ฝุ่นเบาลงบ้างแล้ว แต่เครื่องไทยอินเตอร์ซึ่งตอนนั้นใช้รุ่นคาราเวลล์ ลำเล็กยังขึ้นไม่ไหว แต่เจแปนแอร์ไลน์ ใช้เครื่อง DC ๘ ขนาด ๔ เครื่องยนต์ จะบินขึ้นก่อน จึงฝากฟิล์ม “พรายพิฆาต” มาแล้ว
กายสิทธิ์ขอตำรวจมอเตอร์ไซด์ของสำนักพระราชวังให้ช่วยไปรับฟิล์มที่มาถึงดอนเมือง ๔ โมงเย็น แล้วติดต่อทางกองเซนเซอร์ขอให้มาดูพร้อมทอดพระเนตร เจ้าหน้าที่เซนต์เซอร์เห็นใจ จึงผ่อนผันขอดูในตอนเช้า
รอบปฐมฤกษ์ “พรายพิฆาต” จึงผ่านไปอย่างใจหายใจคว่ำ
เหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนนี้เกิดขึ้นที่หลังจอ ซึ่งคนที่จัดการต่างหัวใจจะวายไปตามๆกัน แต่หน้าจอก็ยังเป็นปกติ คนดูไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น “The Shoe Must Go On” เดินไปได้อย่างราบรื่นหน้าจอ
ในชีวิตการทำงานเป็นผู้จัดการ ศาลาเฉลิมกรุงมา ๑๗ ปี กายสิทธ์ ตันติเวชกุล มีความปลื้มใจอย่างสุดชีวิตเมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานกระดุมข้อมือเชิร์ต จารึก ภปร. จากพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในวันไปรับพระราชทานนั้น เป็นวันเดียวกับที่ จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร และพลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ ไปรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ด้วย แต่ทั้ง ๓ ท่านคอยรับอยู่ชั้นล่าง ส่วนกายสิทธิ์ได้ขึ้นไปรับถึงห้องทรงพระอักษรเป็นการส่วนพระองค์ ปัจจุบันลูกสาว ๒ คนนำกระดุมนี้ไปทำจี้ห้อยคอคนละข้าง
นี่ก็เป็นความภูมิใจครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ซึ่งทำให้ชีวิตสงบของเขาในวัยเกษียร มีความสุขอย่างยิ่งในพระมหากรุณาธิคุณ