พบ “น้องอร” ผู้เข้าประกวดนางสาวสมิหลา 2020 ที่ตกรอบ 5 คนสุดท้าย ตัดสินใจพาเพื่อนสาวงามทวงถามคำตอบจากคณะกรรมการ ก่อนบุกขึ้นเวทีเรียกร้องความยุติธรรม พบผลคะแนนนำโด่งแต่ตกรอบน่ากังขา สุดท้ายเงินรางวัล 3 แสน หาร 10 ไม่มีใครคว้ามงไป พี่เลี้ยงแจงรู้ดีมีแพ้มีชนะ แต่ตกรอบแบบหาสาเหตุไม่ได้ก็เสียหาย
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ในการประกวดนางสาวสมิหลา 2020 รอบตัดสิน ณ เวทีสระบัว แหลมสมิหลา ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นในระหว่างที่มีการประกวดในช่วงตอบคำถามรอบ 5 คนสุดท้าย พบว่า ตัวแทนผู้เข้าประกวดที่ไม่ผ่านเข้ารอบ 5 คนสุดท้าย นำโดย น.ส.อรณพรรณ ณ เชียงใหม่ ยืนเรียงหน้ากระดานต่อหน้าคณะกรรมการ เข้าไปคุยกับผู้จัดการประกวดเพื่อถามถึงผลคะแนน หลัง น.ส.อรณพรรณ และผู้เข้าประกวดรายอื่นกังขาผลการตัดสินที่ออกมา ระหว่างนั้นพิธีกรบนเวที กล่าวว่า การตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด และต้องให้ความเคารพต่อความทรงเกียรติของจังหวัดสงขลา ท่ามกลางเสียงกองเชียร์ต่างโห่ร้องถึงความไม่โปร่งใส เป็นที่วิจารณ์ว่าผู้เข้าประกวดที่ตอบคำถามฉะฉานหลายคนตกรอบ
ชมคลิป คลิกที่นี่
ทันใดนั้น น.ส.อรณพรรณ ขึ้นมาบนเวที กล่าวว่า “ขอโทษนะคะ คือว่าหนูอยากเป็นตัวแทนของเพื่อนๆ ทุกคนที่ตกรอบ หนูกับเพื่อนๆ ทุกคนอีก 5 คน เคยประกวดมาหลายที่ พวกเรารู้จัก รู้จักแพ้ รู้จักชนะ พวกเรารู้พวกเราทำถูก พวกเรารู้ว่าตอบคำถามไม่ดี พวกเรารู้ พวกเราไม่สมควรได้รับมงกุฎ แต่ในค่ำคืนนี้ อรเชื่อว่าทุกคน ...” ก่อนที่เสียงไมค์จะหายไป โดยเธอเรียกร้องให้มีการเปิดเผยคะแนนเพื่อความโปร่งใส จากนั้นพี่เลี้ยงนางงามได้เดินไปที่หลังเวทีเพื่อพูดคุยกับฝ่ายกองประกวด ระหว่างนั้นมีการแสดงหลักฐานใบให้คะแนนจากคณะกรรมการ พบว่าผู้เข้าประกวดบางคนได้ 0-3 คะแนนแบบน่ากังขา ส่วน น.ส.อรณพรรณ ได้ 9 คะแนน แต่กลับตกรอบ ซึ่งไม่มีเหตุผลเพียงพอ ภายหลังกองประกวดตัดสินใจนำเงินรางวัลทั้งหมด 300,000 บาท หารผู้เข้าประกวด 10 คนสุดท้าย ทุกคนจะได้รับเงินคนละ 30,000 บาท โดยที่ปีนี้จะไม่มีใครได้รับตำแหน่งนางสาวสมิหลา 2020
น.ส.อรณพรรณ กล่าวชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ ว่า ตนไม่ได้มีเจตนาที่จะสื่อว่าผู้เข้าประกวดบนเวทีอีก 5 คนที่ผ่านเข้ารอบไม่สมควรหรือไม่เหมาะสม และขอโทษผู้จัดงานทุกคนรวมทั้งแฟนคลับและพี่เลี่้ยงทุกคน ตนไม่ได้มีเจตนาที่อยากจะก้าวร้าวหรือรุนแรงออกไปแบบนั้น สิ่งที่ทำลงไป เดินไปตรงนั้นเพียงแค่อยากจะขอคำอธิบายและคำชี้แจงจากกองประกวดถึงผลคะแนนที่พวกตนตกรอบไป แต่สิ่งที่หลุดออกไป ภาพและคลิปที่อาจจะดูว่าตนรุนแรงเกิดจากการที่ตนไม่ได้รับคำตอบและคำอธิบายที่สมเหตุสมผล ในงานนั้นเสียงค่อนข้างดัง ในตอนนั้นผู้ใหญ่ไม่ได้ยินจึงต้องตะโกนหรือตะเบงตรงนั้นทำให้ดูไม่ดี และมีจังหวะหนึ่งได้มีโอกาสพูดผ่านไมค์แต่ว่ายังไม่พูดไม่จบ และกองประกวดได้ตัดไมค์ไป จึงได้พูดด้วยเสียงตัวเอง อยากให้ทุกคนตรงนั้นได้ยินจึงตะเบงออกไป ทำให้ถูกมองว่าตนมีอาการรุนแรงต่อผู้ใหญ่ จึงขอโทษทุกคนด้วย ตนไม่ได้มีเจตนาที่อยากจะทำลายงานนางสาวสมิหลา หรือทำลายการประกวด และไม่ได้มีเจตนาให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้พี่เลี้ยงเป็นคนชี้แจงมากกว่า เพราะรู้ทุกอย่างและอธิบายทุกอย่างได้ดีกว่านี้
ด้านพี่เลี้ยงของ น.ส.อรณพรรณ กล่าวว่า ในเวลานั้นทุกคนย่อมมีอารมณ์และเหตุผลของตัวเอง ซึ่งหาคำชี้แจงจากใครสักคนไม่ได้เลย กติกาของการประกวดรู้ดีว่า ทุกเวทีเรารู้แพ้ รู้ชนะ ประกวดมาทุกประเทศ ยินดีกับสิ่งที่ได้รับมาตลอด และไม่ยินดีบ้างแต่ต้องเก็บอารมณ์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้สุดๆ จริงๆ กับความรู้สึกนั้น ก่อนที่จะเข้าประกวดได้รับฟังข่าวสารและการกระทำต่างๆ เกิดขึ้น บริบทของงานต้องการคนเก่งและคนสวย จึงได้นำคนสวยมา พยายามฝึกปรือให้เก่งเพื่อนำไปต่อสู้กัน แต่พอถึงเวลาจริงๆ ผลออกมาแบบนั้น เลยมีความรู้สึกว่า สิ่งที้เด็กต่อสู้มาผลเป็นแบบนี้เหรอ ใครชี้แจงให้เขาได้บ้าง นอกเหนือจากนั้นคือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด เด็กต่อ 1 คนที่รับผิดชอบไม่ต่ำกว่า 5-7 พันบาทในการมา ซึ่งพี่เลี้ยงที่มามีค่าใช้จ่ายหมดเลย ไม่ได้มีเงินทองที่จะเข้ามารองรับไว้เพื่อความสนุกสนานอย่างเดียว เขามีการลงทุน จึงเกิดอารมณ์อยากหาข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กกลุ่มนี้ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ เขาไม่สวยเหรอ เขาผิดพลาดตรงไหนเหรอ ครั้งต่อไปจะได้ปรับปรุงตัวเอง
ทั้งนี้ คนทุกคนมีอารมณ์ มีความรู้สึก ไม่จำเป็นต้องหรอกว่าในวันนี้เด็กกลุ่มนี้จะคอนโทรลตัวเองไม่ได้ แต่กล้าที่จะยืนยันว่า ถ้าเป็นคุณ คุณอาจจะทำมากกว่าพวกเขาก็ได้ เพราะฉะนั้นอยากจะขอบอกว่า อย่าไปรู้สึกกับน้องพวกนี้ว่าจะปล้นชิงตำแหน่งขนาดนั้น ทุกคนเคยประกวดมา ทุกคนมีตำแหน่ง เขาก็เคยตกรอบ แต่ถ้าตกรอบแล้วหาสาเหตุไม่ได้ ผลกระทบที่ตามมาคือความเสียหาย เขาจำเป็นต้องเกิดขึ้นแบบนั้น แต่ทั้งหมดเกิดจากอารมณ์ ความร้อน ความโมโห ตรงนี้เป็นพี่เลี้ยงนางงามมา 20 กว่าปี ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ตนจะพูดเสมอว่า ช่างมันเถอะ แต่ในวันนี้จะใช้คำว่าช่างมันไม่ได้จริงๆ จะบอกว่าอย่าไปโกรธน้อง แต่ให้มองที่เจตนา แล้วให้มองว่าทำไมเหตุการณ์แบบนี่้เกิดขึ้น แล้วถ้าคุณอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้จะควบคุมตัวเองได้ขนาดไหน วุฒิภาวะเด็กไม่ได้เยอะกว่าเรา จึงขอโทษผู้ใหญ่ที่จัดงาน ขอโทษคณะกรรมการ และขอโทษทีมงานหลายคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และพยายามจะทำให้งานโปร่งใสจริงๆ แต่อาจจะเกิดความเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน