อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนชี้ภัยคุกคามไทยในสถานศึกษา มาจาก NGO กลุ่มสิทธิเด็กและเยาวชน เข้ามาในโรงเรียน แลกเฟซแลกเบอร์ ดึงเด็กหัวก้าวหน้าปลูกฝังอย่างต่อเนื่อง เสนออย่าใช้ความรุนแรง อธิบายให้เข้าใจหน้าที่พลเมือง และอธิบายการเมืองยุคนี้เป็นอย่างไร ชี้ไม่ใช่ความคิดเด็ก แต่เป็นความคิดและบงการโดยกลุ่มคนคิดร้ายต่อชาติ
วันนี้ (19 ส.ค.) มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Prajak Monprasert อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน โพสต์ข้อความในหัวข้อ “ภัยคุกคามไทยในสถานศึกษา” ระบุว่า “หลายท่านคงเห็นในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เช่น เด็กมัธยมประท้วงปิดปากยืนนิ่งๆ หน้าเสาธง เด็กยืนถือกระดาษเปล่าประท้วงอย่างสงบ เด็กไม่เชื่อฟังคำสั่งห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองภายในโรงเรียน เด็กชูสามนิ้วขณะร้องเพลงชาติ ครูไหว้ขอโทษนักเรียน ครูกราบขอบคุณนักเรียนที่มีงานทำ หลายคนคงสงสัยว่ามันเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นได้อย่างไร? ผมขอเฉลยให้ท่านทั้งหลายได้รู้เบื้องหลังครับ
เมื่อครั้งผมเป็น ผอ.โรงเรียนมัธยมในกรุงเทพฯ จะมีหนังสือจากกระทรวงฯ อนุญาตให้ NGO กลุ่มสิทธิเด็กและเยาวชนเข้ามาบรรยายให้เด็กฟังเกี่ยวกับสิทธิเด็กและเยาวชนตามสิทธิหลักสิทธิมนุษยชนสากล บางปี NGO จะมาขออนุญาตโดยมีหนังสือจากหน่วยงาน NGO บางครั้งเริ่มสนิทกับครูแนะแนวก็ขอมาบรรยายในชั่วโมงแนะแนว ผมเป็น ผอ.ที่สนิทกับนักเรียน จะอบรมนักเรียนแทบทุกเช้า จะเล่นกีฬากับเด็กทั้งชายและหญิงช่วงพักกลางวันหรือหลังเลิกเรียน เป็นทั้ง พ่อ ทั้งพี่ ทั้งเพื่อนของเด็ก
เมื่อ NGO บรรยายเสร็จ ว่างๆ ผมก็จะถามเด็กว่าเขาพูดอะไรให้ฟังบ้าง เด็กจะเล่าให้ผมฟังหมด เช่น เขาบอกว่าพ่อแม่รักสนุกเลยทำเราเกิดมา พ่อแม่เลี้ยงดูเราเพราะเป็นหน้าที่ เป็นต้น เด็กเล่าต่อ หลังจากบรรยายเสร็จ NGO ก็จะเลือกขอเฟซบุ๊ก, เบอร์โทรศัพท์เด็กที่พูดเก่ง กล้าแสดงออกเพื่อติดต่อประสานงานปลูกฝังอย่างต่อเนื่อง เขาจะเลือกเข้าบรรยายโรงเรียนขนาดใหญ่ขึ้นไปจะได้เด็กที่มีมันสมองดีหน่อย ส่วนขนาดกลางและขนาดเล็กจะไม่เข้าบรรยาย
สำหรับโรงเรียนผมจะไม่ประสบความสำเร็จในการปลูกฝังสิทธิเด็กและเยาวชน เนื่องจากผมจะแก้ข้อกล่าวหาการบรรยายหน้าเสาธงทันทีที่ผมทราบข้อมูล และผมเป็น ผอ.ที่สอนให้นักเรียนรู้จักอ่าน เขียน คิด วิเคราะห์ หน้าเสาธงอยู่เสมอ (ลองหาในกูเกิล อ่าน คิดวิเคราะห์ เขียน ราชวินิตบางแคปานขำดูก็ได้)
ดังนั้นขอเสนอวิธีแก้ปัญหาเด็กที่ถูกครอบงำจาก NGO
1. โรงเรียนอย่าใช้ความรุนแรงกับเด็กเหล่านี้ ต้องหาครูที่เด็กศรัทธา เด็กรัก พูดคุยกับเด็กได้ สอบถามว่า ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และเด็กได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง
2. อธิบายให้เด็กเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่พลเมืองตามรัฐธรรมนูญ
3. อธิบายว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นเผด็จการอย่างไร รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการลงประชามติจากประชาชนอย่างไร ใครคุกคามเด็กอย่างไรจริงหรือไม่ ยุบสภาตอนนี้ประเทศชาติและประชาชนจะเกิดปัญหาอย่างไร แก้รัฐธรรมนูญแล้วประชาชนได้ประโยชน์ หรือนักการเมืองฝ่ายค้านต้องการทวงคืนอำนาจ อนาคตของเด็กจะดีหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับไล่นายกฯ ออกหรือไม่
ผมอยากเสนอรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการสักนิด แต่ละโรงเรียนเขาสร้างอัตลักษณ์ของโรงเรียนมานานนับทศวรรษ การปกครองนักเรียนควรให้เป็นอำนาจของทางโรงเรียน ท่านไม่ควรเข้าไปยุ่งก้าวก่ายเกินเหตุ เช่น ทรงผมนักเรียนที่เด็กหญิงไว้ผมยาวได้ เด็กชายไว้ผมยาวแต่ไม่เกินตีนผมนั้น มันเกิดในสมัยรัฐมนตรีพงษ์เทพ เทพกาญจนาแล้ว ซึ่งเป็นประชานิยมหาเสียงกับเด็ก ส่วนโรงเรียนใดจะไว้ทรงตัดเกรียนหรือผู้หญิงต้องตัดสั้นหรือยาว ให้เป็นระเบียบตามอัตลักษณ์ของทางโรงเรียน ซึ่งระเบียบมาจากครู ผู้ปกครอง และกรรมการสถานศึกษา และไม่ผิดระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการอยู่แล้ว
หรือการที่ครูสั่งห้ามนักเรียนชู 3 นิ้ว ขณะเคารพธงชาติ ก็เป็นเรื่องที่ครูไทยทราบถึงธงชาติ คือ สิ่งแทน 3 สถาบันหลัก ที่ควรเคารพด้วยความสำนึกนอบน้อม ใช้การยืนตรงเป็นการเคารพ 3 สถาบันหลัก หาใช่สิทธิเด็กตามที่ท่านพูดไม่ หากนักเรียนคนใดไม่ชอบอยู่ในระเบียบวินัยของทางโรงเรียน พ.ร.บ.การศึกษา ก็มีทางให้เลือกอยู่แล้วที่จะไปเรียนการศึกษานอกระบบ หรือเรียนตามอัธยาศัยเรียนที่บ้าน ที่ครอบครัว หรือโรงเรียนของ NGO ก็มีอยู่มากมาย
สิ่งที่รัฐมนตรีควรดำเนินการแก้ไขปัญหา คือ คัดเลือกคณะวิทยากรลงสู่โรงเรียน บรรยายให้นักเรียนทราบถึงสิทธิเสรีภาพตามหน้าที่พลเมืองไทยที่ดี และเวลาเลือกคนไปเป็นวิทยากร ต้องพูดสนุก เสียงดังฟังชัด เป็นกันเองกับเด็กได้ มีความรู้เรื่องสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
สรุปว่า 1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความคิดเด็ก แต่เป็นความคิดและบงการโดยกลุ่มคนคิดร้ายต่อชาติ 2. ม็อบปลดแอกไม่ใช่ความคิดที่บริสุทธิ์ของนักศึกษา แต่เป็นม็อบจัดตั้งที่เตรียมการมาหลายปี 3. ม็อบทั้งเด็กมัธยมฯ และนักศึกษา รวมถึงประชาชนมีสี เกิดจากนักการเมือง NGO และมีนายทุนทั้งกลุ่มการเมืองและต่างชาติอยู่เบื้องหลัง ด้วยความรักและเป็นห่วงหวงแหนแผ่นดินไทย”