กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีต รมว.คลัง ระบุข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เผย 4 มาตรการทางเศรษฐกิจสกัดพิษก่อนเศรษฐกิจโคม่า หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เตือนทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ต้องเตรียมพร้อม
วันนี้ (19 ส.ค.) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij” เกี่ยวกับวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ในขณะนี้เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมแนะนำ 4 มาตรการสกัดพิษและโอกาสของประเทศไทย ซึ่งอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ระบุข้อความว่า
“ประเทศไทย ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2 (YoY) ติดลบ 12.2% เทียบไตรมาสเดียวกันกับปีก่อน ซึ่งทำให้ตัวเลขทั้งปีอาจติดลบ 7-9%
เมื่อลองมองเทียบเศรษฐกิจประเทศใหญ่ (YoY)
อเมริกา -32.9
ญี่ปุ่น -27.8
อังกฤษ -21.7
จีน +3.2%
เมื่อลองเทียบเศรษฐกิจเพื่อนบ้าน (YoY)
สิงคโปร์ -13.2
มาเลเซีย -17.1
ฟิลิปปินส์ -16.5
อินโด -5.32
เวียดนาม +0.36 (ได้อานิสงส์จากจีนโดยตรง)
จากตัวเลขเปรียบเทียบกับหลายๆ ประเทศจะเหมือนว่า อาการของเรายังไม่ป่วยหนักกว่าเขา แต่ถ้าดูในเชิงลึกแล้วนั้นปกติช่วงไตรมาส 2 ปกติจะเป็น Low season ของการท่องเที่ยว ดังนั้นจึงยังไม่ส่งผลทางลบกับเศรษฐกิจเท่ากับไตรมาสอื่น
คำถามที่สำคัญหลังจากนี้ คือ ปีนี้จะมีการท่องเที่ยวจากต่างประเทศหรือไม่ หากไม่ ผลกระทบต่อ GDP จะแรงกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
อีกสาเหตุที่การปรับลดลงของเราไม่แรงเหมือนหลายประเทศ ก็เพราะเศรษฐกิจเราไม่ดีมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้ฐานเปรียบเทียบค่อนข้างต่ำ (GDP ปี 2019 โตเพียง 2.4%)
จากนี้ไป ผมมองว่าทีมเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น และต้องกระตุ้นเศรษฐกิจใน 4 เรื่องสำคัญทันที ไม่เช่นนั้น พิษบาดแผลทางเศรษฐกิจอาจลุกลามจนประเทศโคม่าได้
1. “ผ่าตัด” งบประมาณรัฐ - หากผมเป็นรัฐบาล ผมจะรื้อแผนการใช้เงิน พ.ร.ก.ทั้งสามฉบับ เพื่อให้วงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาทเข้าสู่ระบบ ซึ่งหมายถึงทำให้เงินอยู่ในมือประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยตรงที่สุด และต้องเร็วที่สุด
ผมจะยิงเงินส่วนที่เหลือให้ผู้เดือดร้อนโดยตรง โดยเฉพาะแรงงานภาคท่องเที่ยวและบริการ ประชาชนที่ตกงาน ประชาชนกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ แม่ลูกอ่อน คนพิการ ฯลฯ)
ผมจะอัดเม็ดเงินช่วยเหลือทั้งทางตรง และวงเงินกู้ด่วนแก่กลุ่มธุรกิจ SME พร้อมมีมาตรการลดภาระค่าใช้จ่าย (เงินเดือน ค่าเช่า ดอกเบี้ย) รวมถึงต้องปรับเกณฑ์แบงก์ชาติให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้จริง เพิ่มความเชื่อมั่นโดยการเปลี่ยนจากเงินกู้เป็นเงินลงทุน
ผมจะปรับการใช้เงินกู้ 400,000 ล้านใหม่ทั้งหมด เพราะที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่เป็นโครงการจิปาถะ ใช้เงินไม่ตรงจุด เบิกจ่ายล่าช้า ขัดกับเป้าหมายการกู้แต่แรก อัดฉีดเงินฉุกเฉินไม่เข้าเป้า
2. “ฉีดยาแรง” กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก - เราพึ่งพาการค้าการลงทุนกับต่างประเทศได้ยากในช่วงที่ทั้งโลกยังถดถอย เราต้องเน้นโครงการ ‘พึ่งพาตัวเอง’ เช่น โรงไฟฟ้าชุมชนที่รัฐบาลลังเลมายาวนาน โครงการนี้เปิดโอกาสให้มีการกระจายการผลิตไปที่ผู้ประกอบการรายเล็กทั่วประเทศ เป็นการเสริมความมั่นคงทางพลังงาน และที่สำคัญเป็นแหล่งรายได้ยั่งยืนให้แก่เกษตรกร
การเร่งช่วยประชาชนต้องนึกเสมอว่า “นโยบายที่ดีจะต้องเป็นกุศโลบายที่ยิงกระสุนนัดเดียว ช่วยคนได้หลายกลุ่ม”
ทีมเศรษฐกิจใหม่ควรถือโอกาสในการทบทวน “ปัญหาการทำมาหากิน” ของคนไทยหลากหลายอาชีพ เนื่องจากนโยบาย และข้อกฎหมายของรัฐบาลในอดีต ไม่ว่าจะเป็นประมงชายฝั่ง ผู้ค้า Street food สุราพื้นบ้าน ฯลฯ เหล่านี้ถูกจำกัดด้วยกฎหมายล้าสมัย ซึ่งหากกฎหมายทันสมัยเพียงพอ ประชาชนจะมีช่องทางทำกินอีกมาก
3. “สร้างภูมิต้านทาน” ในการดำรงชีวิต - จัดสวัสดิการดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบ สภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองมีแนวโน้มจะอยู่กับเราไปอีกนาน เราต้องปรับการดูแลความอยู่รอดของประชาชนอย่างเป็นระบบ ใครว่างงานหรือรายได้ตํ่ากว่ามาตรฐาน ควรได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงโดยอาศัยหลักคิดแนว Basic Income
4. เสริมจุดแข็งของประเทศ - เรามีทุนหลายด้านที่เข้มแข็งมาก ตอนนี้ที่เด่นชัดที่สุดคือ ทุนจากความเป็นมืออาชีพในวงการสาธารณสุข เราควบคุมโควิดได้ดีเยี่ยม รัฐบาลควรส่งเสริมแนวคิด Work from Thailand ดึงกลุ่ม Expat แรงงานต่างชาติกำลังซื้อสูงเข้าประเทศ ด้วยการกักตัวใน State Quarantine หากปลอดโรค ก็ให้ทำงานต่อ ด้วยการขยายวีซ่าเป็น 1-2 ปี เล็งเป้าเมืองที่มีความพร้อม ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดจากการท่องเที่ยว เช่นภูเก็ต สุราษฎร์ เชียงใหม่ หรือ อุบลราชธานี เป็น Official State Quarantine Zone
ทั้งหมดนี้ล่าช้าไม่ได้ครับ ในวิกฤตมีโอกาส และโอกาสครั้งนี้ไทยเรายังมีแสงสว่างปลายอุโมงค์ที่ต้องรีบคว้าไว้ ขอให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่เตรียมพร้อม แล้วนำพาประเทศไทยก้าวพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน”