xs
xsm
sm
md
lg

สมาคมทนายความชี้คดี “บอส อยู่วิทยา” คำสั่งไม่ฟ้องมีพิรุธ จี้กางหลักฐาน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เผยข้อสังเกตคำสั่งไม่ฟ้อง “ทายาทกระทิงแดง” ของอัยการ พบพิรุธหลายจุด จี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชี้แจงหลักฐานข้อเท็จจริง ลบครหาคุกมีไว้ขังคนจน

เมื่อวันที่ 25 ก.ค. นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก “สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย” ระบุข้อความว่า สืบเนื่องกรณีความเห็นของอัยการสูงสุด ที่สั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 นั้น ได้สร้างความสงสัยแก่ประชาชนทั้งประเทศ และมีการตั้งคำถามมากมายในคดีนี้

ข้อเท็จจริงในคดีนี้ มีความเป็นมาตั้งแต่วันเกิดเหตุว่า นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ได้ขับรถยนต์เฟอร์รารี ทะเบียน ญญ 1111 กรุงเทพมหานคร ชนดาบตำรวจ วิเชียร กลั่นประเสริฐ ที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 แต่ไม่หยุดรถแล้วทำให้รถยนต์ลากร่างดาบวิเชียรไปจากจุดชนถึงประมาณ 200 เมตร จนถึงแก่ความตาย

หลังเกิดเหตุ นายวรยุทธได้หลบหนี ตำรวจติดตามไปยังบ้านพักและได้รับทราบว่า พ่อบ้านของครอบครัวนายวรยุทธ รับสมอ้างว่าเป็นคนขับรถคันดังกล่าว แต่ตำรวจไม่เชื่อ จนจับได้ว่าอาจมีการเปลี่ยนตัวผู้ขับรถยนต์คันนี้ ต่อมา พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนคดีนี้ แต่การสอบสวนเป็นไปอย่างล่าช้า และถูกกระแสสังคมกดดันอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ซึ่งได้แจ้งข้อหานายวรยุทธ ผู้ต้องหารวม 4 ข้อหา คือ
(1) ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
(2) เกิดอุบัติเหตุแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ
(3) ขับรถในขณะมึนเมา
(4) ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

โดยความผิดตาม (1)-(2) มีอายุความ 1 ปี ส่วนความผิดตาม (3) มีอายุความ 5 ปี ซึ่งข้อหาทั้ง 3 ข้อหาได้ขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2560 คงเหลือข้อหา ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท) อายุความ 15 ปี ซึ่งจะขาดอายุความในวันที่ 3 กันยายน 2570

ระหว่างการสอบสวน ก่อนตำรวจส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการนั้น นายวรยุทธได้หลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ นานถึง 8 ปี หลังจากผู้ต้องหาหลบหนีไปแล้ว มีข่าวคราวของผู้ต้องหาไปปรากฏตัวในต่างประเทศหลายประเทศ จนทำให้ประชาชนทั่วไปที่ติดตามข่าวนี้ได้มีการแสดงความคิดเห็นและไม่พอใจการทำหน้าที่ของตำรวจ และมีคำถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดจนถึงพนักงานอัยการที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องคดีนี้ ให้ทำการติดตามจับกุมเพื่อนำผู้ต้องหามาฟ้องศาล แต่ไม่สามารถติดตามตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทยได้ จนข่าวคราวเรื่องนี้ค่อยๆเงียบหายไปจากความสนใจขอประชาชน

แต่ต่อมา วันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ปรากฏข่าวจากสื่อจากต่างประเทศว่าคดีอาญาเรื่องนี้ ตำรวจได้มีการเพิกถอนหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้ โดยอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมาแล้ว โดยข่าวนี้คนไทยในประเทศไม่เคยทราบและรับรู้มาก่อน สร้างความงุนงงและความสงสัยเคลือบแคลงให้แก่คนไทยทั้งประเทศในการทำหน้าที่ของตำรวจและอัยการเกี่ยวกับคดีนี้

สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ขอเรียนว่า แม้อัยการจะมีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งไม่ฟ้องในเรื่องนี้ แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและติดตามความคืบหน้ามาโดยตลอด จึงอยากตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมแห่งคดีและข้อพิรุธต่างๆ เกี่ยวกับคดี ดังนี้

1. (ทำไมชนแล้วหนี) ภายหลังเกิดเหตุผู้ต้องหาได้ขับหนีทันทีโดยไม่ได้ลงมาช่วยเหลือหรือดูแลคนตายแต่อย่างใด ซึ่งหากความผิดเกิดจากการกระทำของคนตาย ก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องขับหนีในทันที
2. (เมาแล้วขับ) ผู้ต้องหาอยู่ในอาการมึนเมาสุราเพราะมีข้อหาเมาแล้วขับ
3. (พยายามหนีความผิด) มีการพยายามเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาโดยให้คนใช้มาอ้างว่าเป็นคนขับ แต่ไม่สำเร็จ
4. (คดีไม่มีข้อยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน) สำนวนเดิมที่อัยการสั่งฟ้อง บนพื้นฐานของพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคลและพยานทางวิทยาศาสตร์อย่างครบถ้วน เพียงพอในการฟ้องคดีต่อศาล
5. (คดีล่าช้า) การดำเนินการสอบสวนล่าช้า ประวิงคดี สังเกตได้จากผู้ต้องหาขอเลื่อนนัดมากกว่า 5 ครั้ง อ้างว่าอยู่ต่างประเทศ แต่ตำรวจก็เพิกเฉยไม่ได้เร่งรัดติดตาม จนทำให้คดีขาดอายุความหลายข้อหา
6. (ที่มาของคำสั่งไม่ฟ้อง) กระบวนการช่วยเหลือและต่อสู้ในเรื่องการขอความเป็นธรรมให้ผู้ต้องหา จนนำไปสู่คำสั่งไม่ฟ้องของอัยการและตำรวจไม่คัดค้าน ทั้งๆ ที่ผู้ต้องหาได้หลบหนีตั้งแต่เหตุเกิดไม่ได้อยู่ในประเทศไทยถึง 8 ปี
7. ไม่มีการชี้แจงถึงเหตุผล และรายละเอียดในการสั่งไม่ฟ้องคดี โดยกล่าวอ้างลอยๆ ว่าหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสามารถหักล้างจากสำนวนเดิมที่อัยการสั่งฟ้องไว้แล้วแต่อย่างใด
8. เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีแต่อัยการไม่ได้แถลงข่าวในเรื่องนี้ให้สื่อมวลชนได้รับทราบ แต่การรับทราบข่าวเรื่องนี้เกิดจากสื่อมวลชนต่างประเทศนำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563

จากข้อสังเกตที่ตั้งไว้ในเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการจะเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของประชาชนในการใช้อำนาจตามกฎหมาย ดังนั้น หากอัยการและสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะทำให้ประชาชนเชื่อว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่สุจริตทั้งสองหน่วยงานโดยเฉพาะสำนักงานอัยการสูงสุด จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดของคดีทั้งหมดว่ามีพยานหลักฐานครบถ้วนในการสั่งไม่ฟ้อง โดยสามารถหักล้างพยานหลักฐานในสำนวนเดิมที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องตั้งแต่เหตุเกิด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องชี้แจงเหตุผลว่าทำไมไม่คัดค้านคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการ เพราะหากไม่สามารถชี้แจงเรื่องดังกล่าวบนข้อเท็จจริงได้จะทำให้ประชาชน ขาดความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อสำนักงานอัยการสูงสุดรวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันเป็นต้นทางของกระบวนการสอบสวนและฟ้องคดี

สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย มีความห่วงใยในกรณีดังกล่าว โดยไม่อยากให้สังคมไทยได้เกิดความคิดและความเชื่อมั่นว่า คนรวยเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริงมากกว่าคนจน


กำลังโหลดความคิดเห็น