เฟซบุ๊ก สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เผยแพร่ข้อเรียกร้องของนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ที่ได้ตั้งข้อสังเกตกรณีที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิตในปี 2555 ทำให้มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมแห่งคดีและข้อพิรุธ ทั้งการหลบหนี และการทำคดีที่ล่าช้า มีการประวิงคดีขอเลื่อนนัดมากกว่า 5 ครั้ง แต่ตำรวจก็เพิกเฉยไม่ได้เร่งรัดติดตาม จนทำให้คดีขาดอายุความหลายข้อหา จนถึงที่มาของคำสั่งไม่ฟ้องและตำรวจไม่คัดค้าน ที่สำคัญคือการรับทราบข่าวในเรื่องนี้เกิดจากสื่อมวลชนต่างประเทศนำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ซึ่งนายกสมาคมทนายความฯ ได้เรียกร้องให้อัยการ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยรายละเอียดของคดี และชี้แจงเหตุผลที่สั่งไม่ฟ้อง โดยระบุว่า
"สืบเนื่องกรณีความเห็นของอัยการสูงสุด ที่สั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 นั้น ได้สร้างความสงสัยกับประชาชนทั้งประเทศ และมีการตั้งคำถามมากมายในคดีนี้
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ มีความเป็นมาตั้งแต่วันเกิดเหตุ ว่า นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ได้ขับรถยนต์เฟอร์รารี ทะเบียน ญญ 1111 กรุงเทพมหานคร ชนดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 แต่ไม่หยุดรถ แล้วทำให้รถยนต์ลากร่างดาบวิเชียรไปจากจุดชนถึงประมาณ 200 เมตร จนถึงแก่ความตาย
หลังเกิดเหตุ นายวรยุทธฯ ได้หลบหนี ตำรวจติดตามไปยังบ้านพักและได้รับทราบว่า พ่อบ้านของครอบครัวนายวรยุทธ รับสมอ้างว่าเป็นคนขับรถคันดังกล่าว แต่ตำรวจไม่เชื่อ จนจับได้ว่าอาจมีการเปลี่ยนตัวผู้ขับรถยนต์คันนี้ ต่อมา พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนคดีนี้ แต่การสอบสวนเป็นไปอย่างล่าช้า และถูกกระแสสังคมกดดันอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด พนักงานสอบสวน สน. ทองหล่อ ซึ่งได้แจ้งข้อหานายวรยุทธ ฯ ผู้ต้องหารวม 4 ข้อหา คือ
(1) ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
(2) เกิดอุบัติเหตุแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ
(3) ขับรถในขณะมึนเมา
(4) ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
โดยความผิดตาม (1)-(2) มีอายุความ 1 ปี
ส่วนความผิดตาม (3) มีอายุความ 5 ปี ซึ่งข้อหาทั้ง 3 ข้อหาได้ขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2560
คงเหลือข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท) อายุความ 15 ปี ซึ่งจะขาดอายุความในวันที่ 3 กันยายน 2570
ระหว่างการสอบสวน ก่อนตำรวจส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการนั้น นายวรยุทธฯ ได้หลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันนี้ นานถึง 8 ปี หลังจากผู้ต้องหาหลบหนีไปแล้ว มีข่าวคราวของผู้ต้องหาไปปรากฏตัวในต่างประเทศหลายประเทศ จนทำให้ประชาชนทั่วไปที่ติดตามข่าวนี้ ได้มีการแสดงความคิดเห็นและไม่พอใจ การทำหน้าที่ของตำรวจ และมีคำถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจนถึงพนักงานอัยการที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องคดีนี้ ให้ทำการติดตามจับกุมเพื่อนำผู้ต้องหามาฟ้องศาล แต่ไม่สามารถติดตามตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทยได้ จนข่าวคราวเรื่องนี้ค่อยๆ เงียบหายไปจากความสนใจขอประชาชน
แต่ต่อมา วันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ปรากฏข่าวจากสื่อจากต่างประเทศ ว่าคดีอาญาเรื่องนี้ ตำรวจได้มีการเพิกถอนหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้ โดยอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมาแล้ว โดยข่าวนี้ คนไทยในประเทศไม่เคยทราบและรับรู้มาก่อน สร้างความงุนงงและความสงสัยเคลือบแคลงให้กับคนไทยทั้งประเทศ ในการทำหน้าที่ของตำรวจและอัยการเกี่ยวกับคดีนี้
สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ขอเรียนว่า แม้อัยการจะมีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งไม่ฟ้องในเรื่องนี้ แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและติดตามความคืบหน้ามาโดยตลอด จึงอยากตั้งข้อสังเกตุที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมแห่งคดีและข้อพิรุธต่างๆ เกี่ยวกับคดี ดังนี้
1. (ทำไมชนแล้วหนี) ภายหลังเกิดเหตุผู้ต้องหาได้ขับหนีทันที โดยไม่ได้ลงมาช่วยเหลือหรือดูแลคนตายแต่อย่างใด ซึ่งหากความผิดเกิดจากการกระทำของคนตาย ก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องขับหนีในทันที
2. (เมาแล้วขับ) ผู้ต้องหาอยู่ในอาการมึนเมาสุราเพราะมีข้อหาเมาแล้วขับ
3. (พยายามหนีความผิด) มีการพยายามเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาโดยให้คนใช้มาอ้างว่าเป็นคนขับ แต่ไม่สำเร็จ
4. (คดีไม่มีข้อยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน) สำนวนเดิมที่อัยการสั่งฟ้อง บนพื้นฐานของพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคลและพยานทางวิทยาศาสตร์อย่างครบถ้วน เพียงพอในการฟ้องคดีต่อศาล
5. (คดีล่าช้า) การดำเนินการสอบสวนล่าช้า ประวิงคดี สังเกตได้จากผู้ต้องหาขอเลื่อนนัดมากกว่า 5 ครั้ง อ้างว่าอยู่ต่างประเทศ แต่ตำรวจก็เพิกเฉยไม่ได้เร่งรัดติดตาม จนทำให้คดีขาดอายุความหลายข้อหา
6. (ที่มาของคำสั่งไม่ฟ้อง) กระบวนการช่วยเหลือและต่อสู้ในเรื่องการขอความเป็นธรรมให้ผู้ต้องหา จนนำไปสู่คำสั่งไม่ฟ้องของอัยการและตำรวจไม่คัดค้าน ทั้งๆ ที่ผู้ต้องหาได้หลบหนีตั้งแต่เหตุเกิดไม่ได้อยู่ในประเทศไทยถึง 8 ปี
7. ไม่มีการชี้แจงถึงเหตุผล และรายละเอียดในการสั่งไม่ฟ้องคดี โดยกล่าวอ้างลอยๆ ว่าหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสามารถหักล้างจากสำนวนเดิมที่อัยการสั่งฟ้องไว้แล้วแต่อย่างใด
8. เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีแต่อัยการไม่ได้แถลงข่าวในเรื่องนี้ให้สื่อมวลชนได้รับทราบ แต่การรับทราบข่าวเรื่องนี้เกิดจากสื่อมวลชนต่างประเทศนำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563
จากข้อสังเกตที่ตั้งไว้ในเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการจะเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของประชาชนในการใช้อำนาจตามกฎหมาย ดังนั้นหากอัยการและสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะทำให้ประชาชนเชื่อว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่สุจริตทั้งสองหน่วยงาน โดยเฉพาะสำนักงานอัยการสูงสุด จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดของคดีทั้งหมดว่ามีพยานหลักฐานครบถ้วนในการสั่งไม่ฟ้อง โดยสามารถหักล้างพยานหลักฐานในสำนวนเดิมที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องตั้งแต่เหตุเกิด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องชี้แจงเหตุผลว่าทำไมไม่คัดค้านคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการ เพราะหากไม่สามารถชี้แจงเรื่องดังกล่าวบนข้อเท็จจริงได้ จะทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อสำนักงานอัยการสูงสุด รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันเป็นต้นทางของกระบวนการสอบสวนและฟ้องคดี
สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย มีความห่วงใยในกรณีดังกล่าว โดยไม่อยากให้สังคมไทยได้เกิดความคิดและความเชื่อมั่นว่า คนรวยเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริงมากกว่าคนจน"
"สืบเนื่องกรณีความเห็นของอัยการสูงสุด ที่สั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 นั้น ได้สร้างความสงสัยกับประชาชนทั้งประเทศ และมีการตั้งคำถามมากมายในคดีนี้
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ มีความเป็นมาตั้งแต่วันเกิดเหตุ ว่า นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ได้ขับรถยนต์เฟอร์รารี ทะเบียน ญญ 1111 กรุงเทพมหานคร ชนดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 แต่ไม่หยุดรถ แล้วทำให้รถยนต์ลากร่างดาบวิเชียรไปจากจุดชนถึงประมาณ 200 เมตร จนถึงแก่ความตาย
หลังเกิดเหตุ นายวรยุทธฯ ได้หลบหนี ตำรวจติดตามไปยังบ้านพักและได้รับทราบว่า พ่อบ้านของครอบครัวนายวรยุทธ รับสมอ้างว่าเป็นคนขับรถคันดังกล่าว แต่ตำรวจไม่เชื่อ จนจับได้ว่าอาจมีการเปลี่ยนตัวผู้ขับรถยนต์คันนี้ ต่อมา พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนคดีนี้ แต่การสอบสวนเป็นไปอย่างล่าช้า และถูกกระแสสังคมกดดันอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด พนักงานสอบสวน สน. ทองหล่อ ซึ่งได้แจ้งข้อหานายวรยุทธ ฯ ผู้ต้องหารวม 4 ข้อหา คือ
(1) ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
(2) เกิดอุบัติเหตุแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ
(3) ขับรถในขณะมึนเมา
(4) ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
โดยความผิดตาม (1)-(2) มีอายุความ 1 ปี
ส่วนความผิดตาม (3) มีอายุความ 5 ปี ซึ่งข้อหาทั้ง 3 ข้อหาได้ขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2560
คงเหลือข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท) อายุความ 15 ปี ซึ่งจะขาดอายุความในวันที่ 3 กันยายน 2570
ระหว่างการสอบสวน ก่อนตำรวจส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการนั้น นายวรยุทธฯ ได้หลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันนี้ นานถึง 8 ปี หลังจากผู้ต้องหาหลบหนีไปแล้ว มีข่าวคราวของผู้ต้องหาไปปรากฏตัวในต่างประเทศหลายประเทศ จนทำให้ประชาชนทั่วไปที่ติดตามข่าวนี้ ได้มีการแสดงความคิดเห็นและไม่พอใจ การทำหน้าที่ของตำรวจ และมีคำถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจนถึงพนักงานอัยการที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องคดีนี้ ให้ทำการติดตามจับกุมเพื่อนำผู้ต้องหามาฟ้องศาล แต่ไม่สามารถติดตามตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทยได้ จนข่าวคราวเรื่องนี้ค่อยๆ เงียบหายไปจากความสนใจขอประชาชน
แต่ต่อมา วันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ปรากฏข่าวจากสื่อจากต่างประเทศ ว่าคดีอาญาเรื่องนี้ ตำรวจได้มีการเพิกถอนหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้ โดยอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมาแล้ว โดยข่าวนี้ คนไทยในประเทศไม่เคยทราบและรับรู้มาก่อน สร้างความงุนงงและความสงสัยเคลือบแคลงให้กับคนไทยทั้งประเทศ ในการทำหน้าที่ของตำรวจและอัยการเกี่ยวกับคดีนี้
สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ขอเรียนว่า แม้อัยการจะมีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งไม่ฟ้องในเรื่องนี้ แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและติดตามความคืบหน้ามาโดยตลอด จึงอยากตั้งข้อสังเกตุที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมแห่งคดีและข้อพิรุธต่างๆ เกี่ยวกับคดี ดังนี้
1. (ทำไมชนแล้วหนี) ภายหลังเกิดเหตุผู้ต้องหาได้ขับหนีทันที โดยไม่ได้ลงมาช่วยเหลือหรือดูแลคนตายแต่อย่างใด ซึ่งหากความผิดเกิดจากการกระทำของคนตาย ก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องขับหนีในทันที
2. (เมาแล้วขับ) ผู้ต้องหาอยู่ในอาการมึนเมาสุราเพราะมีข้อหาเมาแล้วขับ
3. (พยายามหนีความผิด) มีการพยายามเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาโดยให้คนใช้มาอ้างว่าเป็นคนขับ แต่ไม่สำเร็จ
4. (คดีไม่มีข้อยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน) สำนวนเดิมที่อัยการสั่งฟ้อง บนพื้นฐานของพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคลและพยานทางวิทยาศาสตร์อย่างครบถ้วน เพียงพอในการฟ้องคดีต่อศาล
5. (คดีล่าช้า) การดำเนินการสอบสวนล่าช้า ประวิงคดี สังเกตได้จากผู้ต้องหาขอเลื่อนนัดมากกว่า 5 ครั้ง อ้างว่าอยู่ต่างประเทศ แต่ตำรวจก็เพิกเฉยไม่ได้เร่งรัดติดตาม จนทำให้คดีขาดอายุความหลายข้อหา
6. (ที่มาของคำสั่งไม่ฟ้อง) กระบวนการช่วยเหลือและต่อสู้ในเรื่องการขอความเป็นธรรมให้ผู้ต้องหา จนนำไปสู่คำสั่งไม่ฟ้องของอัยการและตำรวจไม่คัดค้าน ทั้งๆ ที่ผู้ต้องหาได้หลบหนีตั้งแต่เหตุเกิดไม่ได้อยู่ในประเทศไทยถึง 8 ปี
7. ไม่มีการชี้แจงถึงเหตุผล และรายละเอียดในการสั่งไม่ฟ้องคดี โดยกล่าวอ้างลอยๆ ว่าหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสามารถหักล้างจากสำนวนเดิมที่อัยการสั่งฟ้องไว้แล้วแต่อย่างใด
8. เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีแต่อัยการไม่ได้แถลงข่าวในเรื่องนี้ให้สื่อมวลชนได้รับทราบ แต่การรับทราบข่าวเรื่องนี้เกิดจากสื่อมวลชนต่างประเทศนำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563
จากข้อสังเกตที่ตั้งไว้ในเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการจะเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของประชาชนในการใช้อำนาจตามกฎหมาย ดังนั้นหากอัยการและสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะทำให้ประชาชนเชื่อว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่สุจริตทั้งสองหน่วยงาน โดยเฉพาะสำนักงานอัยการสูงสุด จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดของคดีทั้งหมดว่ามีพยานหลักฐานครบถ้วนในการสั่งไม่ฟ้อง โดยสามารถหักล้างพยานหลักฐานในสำนวนเดิมที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องตั้งแต่เหตุเกิด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องชี้แจงเหตุผลว่าทำไมไม่คัดค้านคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการ เพราะหากไม่สามารถชี้แจงเรื่องดังกล่าวบนข้อเท็จจริงได้ จะทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อสำนักงานอัยการสูงสุด รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันเป็นต้นทางของกระบวนการสอบสวนและฟ้องคดี
สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย มีความห่วงใยในกรณีดังกล่าว โดยไม่อยากให้สังคมไทยได้เกิดความคิดและความเชื่อมั่นว่า คนรวยเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริงมากกว่าคนจน"