1.“สมคิด-4 กุมาร” ไขก๊อกพ้น รมต. ไม่อยากให้นายกฯ ลำบากใจปรับ ครม. ด้าน “บิ๊กตู่” เสียดาย!
สถานการณ์การเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลัง 4 กุมารได้ตัดสินใจลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) คือ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและอดีตหัวหน้าพรรค, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและอดีตเลขาธิการพรรค, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิจัยและนวัตกรรมและอดีตรองหัวหน้าพรรค และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง และอดีตกรรมการบริหารพรรค และได้เกิดกระแสกดดันเรียกร้องจากบางคนในพรรค พปชร.ให้ 4 กุมารลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี เพื่อคืนโควต้ารัฐมนตรีให้พรรค พปชร.
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ค. นายอุตตม-นายสนธิรัตน์-นายสุวิทย์-นายกอบศักดิ์ ได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี ซึ่งไม่ใช่แค่ 4 กุมารเท่านั้นที่ลาออก แต่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นลาออกด้วย
โดยหลังจากยื่นหนังสือลาออกต่อนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว นายอุตตม-นายสนธิรัตน์-นายสุวิทย์-นายกอบศักดิ์ ได้เข้าหารือกับนายสมคิดที่ห้องทำงาน ก่อนจะออกมาแถลงถึงการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี โดยนายอุตตม กล่าวว่า การลาออกมีผลตั้งแต่วันนี้ (16 ก.ค.) เป็นต้นไป ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสมคิดได้ขอให้ทั้ง 4 คนลาออกไปพร้อมกันหรือไม่ นายอุตตม กล่าวว่า “ไม่หรอกครับ หารือและเห็นพ้องกัน ก่อนหน้านี้ทราบว่า นายสมคิดมีปัญหาเรื่องสุขภาพ จึงเห็นพร้อมกันว่า ควรที่จะไปพร้อมกัน จะได้พักผ่อนด้วย และนายสมคิดไม่ได้บอกเล่าถึงการพูดคุยระหว่างนายสมคิดกับนายกฯ ตามที่มีข่าวให้ทราบแต่อย่างใด”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การลาออกครั้งนี้เหมือนถูกบีบหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เคยระบุว่าจะยังทำหน้าที่รัฐมนตรีต่อไป นายอุตตม กล่าวว่า เห็นตรงกันว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ เหตุการณ์ทั้งหมดที่เห็นกันอยู่ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ความคลุมเครือหายไป และมีส่วนช่วยลดความกดดันทางการเมืองที่มีต่อนายกฯ เวลานี้ที่อาจทำให้การบริหารบ้านเมืองชะงักไป จึงมาคิดว่าจะลาออกในช่วงเวลานี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนทั้งในเรื่องของการปรับคณะรัฐมนตรีและเรื่องต่างๆ เพื่อให้การบริหารบ้านเมืองพ้นวิกฤตไปได้
ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า “สิ่งที่เราเป็นห่วงที่สุดของการตัดสินใจที่ได้พูดคุยกัน คือสถานการณ์บ้านเมืองเป็นสถานการณ์ที่ต้องการพลังในการทำงาน ไม่อยากเห็นการเมืองเป็นอุปสรรคต่อการที่จะขับเคลื่อนบ้านเมือง เราอยากมีส่วนในการที่จะช่วยให้บรรยากาศบ้านเมืองได้พัฒนาหรือปรับให้มีกลไกบริหารบ้านเมืองที่ไม่ต้องคลุมเครือต่อไป พวกเรายินดีที่จะมีส่วนในการที่จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มโอกาสในการพัฒนาบ้านเมืองโดยใช้พลังของทุกภาพส่วนได้อย่างเต็มที่ นั่นคือที่มาของการที่ตัดสินใจยื่นใบลาออกในวันนี้”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ก.ค. มีรายงานว่า ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะออกเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ไป จ.ระยอง ได้ส่งข้อความทางไลน์ ไปหานายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า “รู้สึกลำบากใจ รู้สึกแย่ ไม่รู้จะพูดต่อหน้าอย่างไร” โดยเมื่อนายสมคิด ได้อ่านข้อความ ก็ได้โทรศัพท์ไปหานายกฯ จากนั้นนายกฯ ได้พูดกับนายสมคิดว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องปรับรัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจ ด้วยเหตุผลทางการเมือง ซึ่งนายสมคิด ตอบนายกฯ ว่า ไม่มีปัญหา ขอให้สบายใจได้ รู้ถึงความจำเป็น เข้าใจว่าในทางการเมือง นายกฯ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องกังวล โดยส่วนตัว อย่างที่ได้แจ้งกับนายกฯไว้ อยากกลับไปรักษาสุขภาพ เพราะสุขภาพแย่มาก ส่วนเรื่องของ 4 กุมาร นายสมคิดระบุว่า ขอให้นายกฯ ไม่ต้องเป็นห่วง เปิดทางให้นายกฯ ปรับ ครม.ได้อยู่แล้ว ปรับได้เลยไม่ต้องกังวล เข้าใจถึงเหตุผลทางการเมือง รู้ว่านายกฯ ลำบากใจ
เมื่อนายสมคิดพูดมาถึงช่วงนี้ นายกฯ ได้เงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะกล่าวกับนายสมคิดว่า “ยังไงอาจารย์ ก็อย่าทิ้งผมไป ขอให้อยู่ข้างหลังผมด้วย” นายสมคิด กล่าวว่า ที่ผ่านมา การที่มาช่วยตรงนี้ เพราะนายกฯ และนายกฯ ก็ให้เกียรติกันและกัน เมื่อมาถึงวันนี้ ในความสัมพันธ์ก็ถือว่าได้ใจกันไปแล้ว และมาถึงจุดหนึ่งที่นายกฯ ต้องตัดสินใจ ก็เข้าใจดี ถือเป็นการดีแล้วที่นายกฯ มีความชัดเจน เนื่องด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจเวลานี้ จากผลกระทบโควิด ทำให้บรรยากาศอึมครึม ไม่เป็นผลดี ส่วนตัวไม่มีปัญหา ต่อให้ในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่มีปัญหาเรื่องการเมืองก็ตาม เพราะผมตั้งใจจะไปรักษาสุขภาพอยู่แล้ว ตั้งแต่หลังเลือกตั้ง แต่เห็นว่า นายกฯ ไม่มีใครช่วย จึงต้องอยู่ช่วยก่อน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงการปรับ ครม.หลังการลาออกของนายสมคิด-นาย-นายสนธิรัตน์-นายสุวิทย์-นายกอบศักดิ์ ว่า “ผมเองเพิ่งทราบเมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมาเหมือนกัน ยอมรับก็ได้มีการพูดคุยกันมาเป็นระยะอยู่แล้ว... แต่ละคนก็ถามเรื่องสุขภาพกันมานานแล้ว และนายสมคิดบอกผมมานานว่า พร้อมที่จะทำตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้มีอะไรกับท่าน ยังเคารพท่านเหมือนเดิม ...เมื่อสถานการณ์การเมืองมันเปลี่ยนแปลงไป เรามองในมิติการเมือง เรื่องของการเมือง ท่านก็ออกไป จะบอกว่าก็เสียดาย แต่มันก็จำเป็น ด้วยสถานการณ์ทางการเมือง ผมก็ไม่คุ้นเคยแบบนี้ แต่จำเป็นต้องตัดสินใจ ก็จากกันด้วยดี ไม่มีการให้ร้ายอะไรซึ่งกันและกัน ผมไม่เคยทำร้ายใคร”
ส่วนการปรับ ครม.นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องปรับเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างมากนัก ต้องทำให้เร็วเท่าที่ทำได้ และไม่กดดัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อถามว่า จะใช้เวลาเท่าไหร่ในการปรับ ครม. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่เกินเดือน ส.ค.นี้
2.ศบค.ทบทวนมาตรการผ่อนคลายต่างชาติเข้าไทย หลังทหารอียิปต์-ลูกทูตซูดานติดโควิด-19 ด้าน “บิ๊กตู่” ขอโทษ-จะไม่ให้เกิดขึ้นอีก!
สถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในไทย ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 13 ก.ค. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ศบค.) แถลงว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย โดยทั้งหมดพบในสถานกักดันโรคของรัฐ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ รายแรกเป็นชาย กลับจากคูเวต อาชีพรับจ้าง รายที่สอง เป็นหญิงอาชีพรับจ้าง กลับจากบาห์เรน รายที่ 3 เป็นชาย เป็นทหารอียิปต์ เดินทางมาถึงไทยวันที่ 8 ก.ค. และเข้าพักในสถานกักกันโรคของรัฐ จ.ระยอง เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ออกจากโรงแรมไปทำภารกิจทางทหารที่ประเทศจีน และเดินทางกลับมาไทยอีกครั้งในเวลาเกือบเที่ยงคืนวันเดียวกัน และเข้าพักโรงแรมแห่งเดิม ผลตรวจเชื้อวันที่ 10 ก.ค.พบเชื้อ แต่ลูกเรือ 30 ราย ไม่พบเชื้อ แต่ผลตรวจยังไม่ชัดเจน จึงตรวจซ้ำ และวันที่ 11 ก.ค. ได้เดินทางกลับอียิปต์ โดยผลตรวจออกมาวันที่ 12 ก.ค.
ทั้งนี้ ทหารอียิปต์ดังกล่าว สามารถเดินทางเข้าไทยได้ เนื่องจากอยู่ใน 11 กลุ่มที่ไทยอนุญาตให้เข้าได้ตามมาตรการคลายล็อกระยะที่ 5 คือกลุ่มที่เป็นลูกเรือ หรือผู้ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะที่จำเป็นต้องเข้ามาในภารกิจหรือมีกำหนดเดินทางออกจากราชอาณาจักรที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ทหารอียิปต์กลุ่มนี้ไม่ได้กักตัวเองอยู่ในโรงแรมที่เข้าพัก คือ โรงแรมดีวารี (Dvaree) จ.ระยอง แต่ได้มีการออกจากโรงแรมไปเดินห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง แม้จะสวมหน้ากากอนามัยก็ตาม ได้แก่ ห้างแหลมทอง และห้างเซ็นทรัลระยอง ในวันที่ 10 ก.ค. เมื่อ ศบค.แถลงการพบทหารอียิปต์กลุ่มนี้ 1 รายติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เพราะเกรงว่าจะเกิดการระบาดของโควิดรอบ 2 ในไทย ส่งผลให้นักท่องเที่ยวยกเลิกการจองโรงแรมในพื้นที่จำนวนมาก และยังส่งผลให้โรงเรียนใน จ.ระยอง ปิดเรียนประมาณ 200 แห่ง
ทั้งนี้ ศบค.แถลงว่า ได้มีการกักตัว 14 วันผู้ที่มีความเสี่ยงสูงกรณีใกล้ชิดทหารอียิปต์ที่ติดเชื้อดังกล่าว ประกอบด้วย แท็กซี่ที่รับ-ส่งทหารดังกล่าวไปเดินห้าง, ผู้จัดการและพนักงานของโรงแรมดีวารี 7 คน,พนักงานขับรถตู้ส่งทหารดังกล่าวไปยังโรงแรม นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำอีก 9 คน คือ ทีมสอบสวนโรคและทีมตรวจคนเข้าเมือง จ.ระยอง
นอกจากกรณีทหารอียิปต์ 1 รายติดเชื้อโควิด-19 แล้ว นพ.ทวีศิลป์ ยังแถลงด้วยว่า มีกรณีเด็กหญิง 9 ขวบจากประเทศซูดาน ที่เดินทางเข้าไทยพร้อมครอบครัวทูตซูดานรวม 5 คน ติดเชื้อโควิด-19 ด้วย โดยครอบครัวนี้เดินทางเข้าไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 9 ก.ค. มีการตรวจหาเชื้อที่สนามบินฯ ก่อนเดินทางเข้าพักที่คอนโดวันเอ็กซ์ วันที่ 10 ก.ค. เจ้าหน้าที่โทรแจ้งว่า เด็กหญิงดังกล่าวติดเชื้อโควิด-19 ทางครอบครัวจึงพาเข้ารักษาที่ รพ.พญาไทเกษตรนวมินทร์ ระหว่างรักษา ผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบ จึงขอย้ายไปรักษายัง รพ.เด็กในวันที่ 12 ก.ค. หลังจากนั้นครอบครัวทูตซูดานได้ย้ายไปพักบ้านพักทูตทั้งหมดระหว่างวันที่ 10-12 ก.ค.
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ผู้ป่วยและครอบครัวอยู่ในห้อง ไม่มีใครออกไปใช้สระน้ำหรือส่วนกลางของคอนโดวันเอ็กซ์ คอนโดฯ นี้เคยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มาแล้ว 2 คน เมื่อเดือน มี.ค. จึงประกาศมาตรการและจำกัดคนขึ้นลิฟท์ทำความสะอาดทุก 1 ชม. ถูพื้นด้วยน้ำยาฟอกขาว การประเมินผู้สัมผัสเสี่ยงสูงมี 7 คน ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 15 คน ส่วนที่มีข่าวว่าเด็กหญิงรายนี้ได้ออกจากพื้นที่คอนโดฯ และไปสถานที่ต่างๆ รวมถึงใช้รถขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้านั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ด้าน นพ.ชวินทร์ ศิรินาค ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และ นพ.ปรีขา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของคอนโดวันเอ็กซ์ ก่อนเผยว่า เด็กหญิง 9 ขวบที่ติดโควิด-19 มีการตรวจหาเชื้อด้วยการคัดกรองโรคที่ด่านตรวจสนามบินสุวรรณภูมิ ผลเป็นบวก แต่ทางครอบครัว 5 คนรวมผู้ป่วยได้เข้าพักที่คอนโดฯ ดังกล่าว “ตรวจคัดกรองที่สนามบินมีผลเป็นบวก แต่ด้วยระบบสิทธิทางการทูต มีข้อยกเว้นว่า ให้เข้ากักกันในพื้นที่ของสถานทูตเอง แต่ช่วงนั้นอาจจะมีความแออัด จึงได้เข้าพักที่คอนโดแห่งนี้ก่อน แต่ขณะนี้ได้ถูกส่งตัวไปกักกันโรคแล้วตามระบบ และผู้ป่วยอาการดีขึ้นแล้ว”
หลังเกิดกรณีทหารอียิปต์ติดเชื้อโควิด 1 ราย และเด็กหญิง 9 ขวบจากซูดานติดเชื้อโควิดอีก 1 ราย ศบค.ได้ขอโทษประชาชนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่ทราบมาก่อนว่า จะมีเครื่องบินลงจอดที่สนามบินอู่ตะเภา เพราะเดิมคาดว่า ลูกเรือของเครื่องบินที่ได้รับการผ่อนปรนก่อนหน้านี้ จะลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น ศบค.จึงได้มีมติทบทวนมาตรการผ่อนปรนการเดินทางเข้าไทยของชาวต่างชาติ โดยมีมติแก้ไขดังนี้ 1.จะทบทวนมาตรการผ่อนคลายมาตรการกักกันตัวของบุคคลในคณะทูต โดยเฉพาะคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว 2.ให้กระทรวงการต่างประเทศยกเลิกการอนุญาตการบินเข้าของเที่ยวบินกองทัพอากาศที่ได้อนุญาตไปแล้ว 8 เที่ยวบิน คือระหว่างวันที่ 17-20 ก.ค. และ 25-29 ก.ค. และ 3.ให้ชะลอการอนุญาตเดินทางเข้าไทยแบบผ่อนคลายมาตรการ State Quarantine ตามข้อกำหนดฉบับที่ 12 (2) (3) (11) ออกไปก่อน เพื่อทบทวนมาตรการควบคุมให้รัดกุมและรอบคอบก่อนดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ หลังเกิดกรณีทหารอียิปต์ติดเชื้อโควิด-19 เข้าไทยที่ จ.ระยอง จนเป็นที่หวั่นเกรงว่าจะเกิดการระบาดของโควิด-19 รอบสองในไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.ระยอง เพื่อขอโทษและปลอบขวัญชาวระยองเมื่อวันที่ 15 ก.ค. พร้อมยืนยันจะไม่ให้เกิดกรณีแบบนี้อีก
ส่วนสถานการณ์โควิด-19 ในไทย ล่าสุด วันนี้ (18 ก.ค.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย ยอดผู้ป่วยสะสมรวม 3,246 ราย รักษาหายกลับบ้านรวม 3,096 ราย ยังรักษาตัวใน รพ. 92 ราย ผู้เสียชีวิตรวมคงที่ 58 รักษาโดยผู้ป่วยรายใหม่ทั้งหมดเดินทางกลับจากต่างประเทศ แบ่งเป็น จากสหรัฐอเมริกา 2 ราย เข้าพักสถานกักกันของรัฐใน กทม. จากบาห์เรน 1 ราย เข้าพักในกักกันของรัฐที่ จ.ชลบุรี และกลับจากอียิปต์ 4 ราย เดินทางถึงไทยวันที่ 17 ก.ค. มีอาการ เช่น น้ำมูก ไอ เจ็บคอ บางคนเข้าเกณฑ์ เลยตรวจเชื้อวันที่ 17 ก.ค. ผลพบเชื้อ เข้ารับการรักษาที่ รพ.สมุทรปราการ
3.ส.ว.เสียงแตก หลัง ”คำนูณ” เสนอให้นายกฯ ออก กม.นิรโทษกรรมคดีชุมนุมการเมือง ด้าน “บิ๊กตู่” ยังไม่คิด!
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ได้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติปี 2562 พร้อมรายงานของคณะกรรมาธิการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และการจัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.อภิปรายว่า ในส่วนแผนแม่บทความมั่นคงนั้น เมื่อการเมืองมีปัญหา ขาดเสถียรภาพ ความสงบในประเทศยอมไม่ยั่งยืนตามไปด้วย การปฏิบัติให้บรรลุผลตามยุทธศาสตร์ชาติย่อมไม่สำเร็จ จึงขอเสนอการสร้างความปรองดองว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องเร่งตรากฎหมายนิรโทษกรรมประชาชนจากความผิดที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2548-2563 เพราะความขัดแย้งทำให้สังคมแยกเป็น 2 ขั้ว และแยกย่อยมากขึ้นทุกที ร้าวลึกถึงระดับครอบครัว มีผู้มีคดีอยู่ในกระบวนการยุติธรรมนับร้อยคน เชื่อมโยงไปถึงมวลชนอีกนับล้านคน ที่เมื่อมีคดีตัดสินออกมา จะเกิดวิวาทะทางออนไลน์
นายคำนูณ กล่าวอีกว่า “นายกฯ จะรวมไทยสร้างชาติได้อย่างไร ในเมื่อคนกลุ่มหนึ่งถูกทิ้งให้ขึ้นศาลทุกสัปดาห์ จะไปต่างประเทศต้องรายงานต่อศาล หลายคนถูกยึดทรัพย์ การนิรโทษกรรมไม่ใช่เรื่องใหม่ สมัยสงครามคอมมิวนิสต์ยังจบได้ ด้วยคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ด้วยการนิรโทษกรรมให้อภัย เปิดโอกาสให้พลังทุกภาคส่วนมาร่วมพัฒนาชาติไทย ถึงเวลาต้องมีกฎหมายนิรโทษกรรม การทำผิดของคนที่มาชุมนุมการเมืองหรือทำผิดอาญาที่มีเหตุเกี่ยวเนื่องชุมนุมทางการเมืองนั้น ไม่ใช่มีจิตเป็นอาชญากรโดยแท้ แต่ต้องการสังคมที่ดีกว่า ต้องการการเมืองใหม่ การปฏิรูปประเทศ การกระทำทางการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทำผิดกฎหมาย จึงต้องนิรโทษกรรมประชาชนทุกกลุ่ม ดังนั้นนายกฯ อย่าลังเล”
ส่วนคนหนีคดีจะทำอย่างไรนั้น นายคำนูณ กล่าวว่า ในหลักการอธิบายรายละเอียดได้ คือ 1.นิรโทษกรรมแก่ผู้ทำผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองโดยตรง 2.นิรโทษกรรมเบื้องต้นเฉพาะผู้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว 3.ใครยังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือหนีคดีไปนั้น ถ้ากลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และเมื่อผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการพิจารณาที่จะออกแบบตั้งขึ้นมา ย่อมได้สิทธินี้ และ 4.อาจจะต้องตีความนิยามการชุมนุมทางการเมืองผ่านการออกแบบจากคณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นมา จึงอยากให้นายกฯ แสดงเจตจำนงนำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน อาจเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 จะต้องนำไปพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา จะเป็นการสร้างบารมีให้นายกฯ เพื่อสร้างระบบประชาธิปไตยที่มั่นคง มีธรรมาภิบาล ถ้านายกฯ รวมใจคนทุกภาคส่วนเข้ามา โดยมีร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นก้าวแรกก็จะก้าวต่อไปได้ จึงขอฝากความหวัง นำจิตสำนึกผู้รักชาติทุกคน ทุกสี ที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองตลอด 15 ปี เพื่อพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวกรณีนายคำนูณเสนอให้สร้างความปรองดองด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชนในคดีที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองช่วง 15 ปีที่ผ่านมา โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ยังไม่ได้คิด ยังไม่เห็นเรื่อง”
ด้านนายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.กล่าวถึงข้อเสนอของนายคำนูณว่า เป็นความเห็นของนายคำนูณ แต่ต้องมาดูว่า มีทางเลือกอื่นหรือไม่ที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาในอนาคต และดีกว่าการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะการออก พ.ร.บ.ดังกล่าวเหมือนกับเมื่อมีการกระทำผิดแล้วมานิรโทษกรรม ทำให้การเมืองไม่สงบ ควรมีทางอื่นหรือไม่ โดยไม่เสียหลักการทางกฎหมาย อาทิ การให้ผู้กระทำผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วได้รับบทลงโทษสักระยะก่อนที่จะใช้วิธีพักโทษ ดูแล้วน่าจะเป็นวิธีเหมาะสมที่สุดในการแก้ปัญหา เพราะคนทำผิด จำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมายดีกว่าที่จะไปนิรโทษกรรมอย่างเดียว เรื่องนี้คณะกรรมาธิการการเมือง วุฒิสภา ที่เป็นประธาน จะนำประเด็นดังกล่าวไปหารือกันใน กมธ.เพื่อพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป
4.กสทช.สั่งช่อง 8 จอดำช่วงรายการ “ช่องส่องผี” 1 ครั้งฐานบิดเบือนประวัติศาสตร์ ด้าน “บ๊วย” เตรียมนำทีมขอขมา “ย่าโม” 19 ก.ค.นี้!
เมื่อวันที่ 13 ก.ค. นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เผยความคืบหน้ากรณีพิธีกรรายการช่องส่องผี ให้ข้อมูลบิดเบือนประวัติศาสตร์ ลบหลู่ดูหมิ่นวีรสตรีท้าวสุรนารี (ย่าโม) และนางสาวบุญเหลือ ว่า จากการที่นายเชษฐวุฒิ วัชรคุณ หรือบ๊วย พิธีกรรายการดังกล่าว ได้ประสานทางโทรศัพท์กล่าวขออภัยและแสดงความสำนึกผิดกับการกระทำที่ไม่เหมาะสม โดยจะมาทำพิธีขอขมาต่อดวงวิญญาณท้าวสุรนารีและนางสาวบุญเหลือในวันอาทิตย์ที่ 19 ก.ค.นั้น อยู่ระหว่างประสานกับผู้เกี่ยวข้องในการกำหนดพิธีให้เหมาะสมและเป็นไปตามจารีตประเพณี รวมทั้งเป็นที่พึงพอใจของชาวโคราช
นายวิเชียร กล่าวอีกว่า “ส่วนคลิปวิดีโอรายการช่องส่องผียังมีการเผยแพร่ทางช่องยูทูบ ขอให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องลบคลิปออกจากสื่อออนไลน์ ไม่ควรปล่อยเป็นประเด็นถกเถียง ขัดแย้งกันในเชิงประวัติศาสตร์ได้ และขอให้ กสทช.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีมาตรการบังคับให้ช่องส่องผีลบคลิปดังกล่าวออกโดยเร็ว”
วันต่อมา (14 ก.ค.) นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าฯ นครราชสีมา เผยหลังประชุมหารือกับผู้เกี่ยวข้องถึงแนวทางการขอขมาของผู้ดำเนินรายการช่องส่องผีและกอบกู้ภาพลักษณ์ท้าวสุรนารีและนางสาวบุญเหลือว่า ที่ประชุมมีมติให้ประกอบพิธีขอขมาลาโทษท้าวสุรนารีและนางสาวบุญเหลืออย่างถูกต้องและสมเกียรติในวันที่ 19 ก.ค.เวลา 14.00 น. โดยผู้ดำเนินรายการช่องส่องผีจะเดินทางมาทำพิธีขอขมา 2 แห่ง คือ บริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีและภายในวัดศาลาลอย สถานที่ถ่ายทำรายการ โดยจัดเครื่องเซ่นไหว้ให้เต็มรูปแบบตามจารีตขนบธรรมเนียมของชาวโคราช มีคำกล่าวแสดงออกถึงความเสียใจและการขอโทษอย่างแท้จริง รวมทั้งค่าใช้จ่ายทุกขั้นตอน รายการช่องส่องผีต้องรับผิดชอบทั้งหมด
นอกจากนี้ให้รายการช่องส่องผีนำเนื้อหาการขอขมาเผยแพร่สู่สาธารณะให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบและเยียวยาความรู้สึกของผู้ที่รักศรัทธาย่าโมและนางสาวบุญเหลือ ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารพิธีขอขมาตามช่องทางสื่อมวลชนต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเดินทางมา นายวิเชียร กล่าวด้วยว่า หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ จ.นครราชสีมา มีแผนการจัดกิจกรรมฟื้นฟูเกียรติคุณบารมีของท้าวสุรนารีและนางสาวบุญเหลือ โดยความร่วมมือของลูกหลานชาวโคราช
ส่วนความเคลื่อนไหวจากทาง กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) นั้น เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ เพื่อหารือสรุปกรณีรายการช่องส่องผี ที่มีกเนื้อหารายการบิดเบือนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยทีมงานฝ่ายกฎหมาย ช่อง 8 ได้เข้าชี้แจงถึงข้อเท็จจริงต่อ กสทช. ด้วย
หลังประชุม พลโท ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ กสทช. ในฐานะประธานการประชุม เผยว่า การประชุมวันนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญภายนอกจากกระทรวงมหาดไทย มาให้ความเห็นกรณีการรับบริจาคของรายการช่องส่องผี และผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงวัฒนธรรมให้ความเห็นเรื่องประวัติศาสตร์ ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานให้ความเห็นต่างกัน โดยกรณีการรับบริจาค ต้องดูอีกครั้งว่าการขอบริจาคทางสื่อจะเข้าข่ายผิดหรือไม่ผิด ส่วนกระทรวงวัฒนธรรมให้ความเห็นกรณีประวัติศาสตร์ว่า เป็นการนำเสนอที่ขาดความน่าเชื่อถือ เป็นความเชื่อนอกระบบ ไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
จากคำให้การของผู้เชี่ยวชาญภายนอก สรุปแล้วเห็นว่า การนำเสนอรายการนี้มีปัญหา 2 ข้อ คือ 1.การทรงเจ้าหรือร่างทรง เป็นการใช้ความเชื่อนอกระบบที่พิสูจน์ไม่ได้ จึงไม่ควรนำมาเสนอผ่านรายการทางโทรทัศน์ เพราะจะทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องเชื่อว่าเป็นความจริง 2.เนื้อหาในเชิงประวัติศาสตร์ต่อบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่มีเนื้อหาที่สามารถพิสูจน์ได้ เป็นการกล่าวอ้างของร่างทรง ซึ่งวิเคราะห์แล้วเห็นตรงกันว่า ผิดเพี้ยน เนื้อหารายการจึงส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบุคคลที่ประชาชนเคารพนับถือ
สำหรับบทลงโทษในครั้งนี้ ทางอนุคณะกรรมการมีคำตัดสินว่า รายการดังกล่าว เป็นการออกอากาศที่ผิด ขัดต่อมาตรา 37 ซึ่งโทษปรับได้สูงสุด 500,000 บาท แต่คณะอนุกรรมการฯ ได้ยกระดับให้หยุดทำรายการ และระงับรายการ 1 ครั้ง แต่เนื่องจากทางช่องได้มีความรับผิดชอบส่วนตัว และมีวิจารณญาณที่ดีมาก ได้ถอดรายการออกไป จึงสั่งให้จอดำ 1 ครั้ง ในช่วงเวลาที่เคยออกอากาศ "ช่องส่องผี" แม้ว่าทางช่องจะถอดรายการออกไปแล้วก็ตาม โดยการสั่งระงับในครั้งนี้ต้องการให้สังคมรู้ว่า ทางช่อง 8 และ กสทช.ได้แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
5.“ฌอน” เลื่อนให้ปากคำตำรวจคดีเงินบริจาคดับไฟป่า ด้านตำรวจนัดใหม่ 21 ก.ค.นี้ หากเบี้ยว เตรียมออกหมายจับ!
ความคืบหน้ากรณีนายฌอน บูรณะหิรัญ ไลฟ์โค้ชชื่อดัง เปิดบัญชีรับบริจาคเงินช่วยเหลือดับไฟป่าดอยสุเทพ และชี้แจงยอดเงินบริจาคต่ำกว่าความเป็นจริง รวมทั้งมีการโอนเงินบริจาคเพื่อจ่ายบัตรเครดิตและถอนเงิน ซึ่งอาจนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์นั้น เมื่อวันที่ 12 ก.ค. นายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ ปลัดอำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่ กล่าวถึงกรณีมีข่าวมีผู้ใหญ่ติดต่อนำนายฌอนมาชี้แจงการเปิดรับบริจาคเงินช่วยเหลือจิตอาสาดับไฟป่าดอยสุเทพว่า ไม่ใช่ผู้ใหญ่หรือคนมีชื่อเสียง แต่เป็นผู้ประสานงานติดต่อมาเท่านั้น ตนไม่ทราบว่าเป็นใคร ซึ่งทางอำเภอทำหนังสือเรียกตัวมาชี้แจงแล้ว ถ้าไม่มา อาจทำหนังสือเรียกมาอีกครั้ง
นายบุญญฤทธิ์ กล่าวอีกว่า “มีสัญญาณว่า นายฌอนอยากมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ เพื่อชี้แจง พร้อมแสดงความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งนายฌอนกำลังรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ แต่ยังไม่กำหนดวันที่จะมาพบเจ้าหน้าที่” ส่วนการตรวจสอบเงินบริจาคของนายฌอน เพื่อชำระบัตรเครดิต โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัว โอนให้บริษัทแห่งหนึ่งรวมเป็นเงินกว่า 1.2 ล้านบาท และสร้างบ้านมูลค่า 20 ล้านบาทนั้น นายบุญญฤทธิ์ กล่าวว่า อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง ต้องรอนายฌอนมาชี้แจงก่อน จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2563 เวลา 05.09 น. นายฌอนถอนเงินครั้งแรก 6 หมื่นบาท จากยอดในบัญชีบริจาคทั้งหมดกว่า 1.1 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายบัตรเครดิต และระหว่างวันที่ 3-4 เม.ย.2563 ถอนอีก 4 ครั้ง ครั้งละ 5 หมื่นบาท รวม 5 ครั้ง เป็นเงิน 2.5 แสนบาท และจากการตรวจสอบเฟซบุ๊กของนายฌอนเมื่อวันที่ 5 เม.ย. ได้โพสต์ข้อความไฟป่าฆ่าเชียงใหม่และโพสต์ภาพผู้เสียชีวิต โดยมีผู้แสดงความเห็นจำนวนมากและมีการแสดงการโอนร่วมบริจาคเงินในบัญชีธนาคารกสิกรไทย
นายบุญญฤทธิ์ เผยอีกว่า “ต่อมาวันที่ 7 เม.ย.เวลา 11.38-11.39 น. นายฌอนได้ถอนเงินจากบัญชีบริจาค 2 ครั้ง ครั้งละ 5 แสนบาท เข้าบัญชี To SCB SEAN B รวมเป็นเงิน 1 ล้านบาท คงเหลือยอดในบัญชี 118,332.70 บาท การถอนเงินที่ขอรับบริจาครวม 1,260,000 บาท ระยะเวลากว่า 1 สัปดาห์ หลายฝ่ายข้องใจว่า นำไปช่วยเจ้าหน้าที่ผู้เสียชีวิตที่ทำหน้าที่ดับไฟป่าที่ป่าเชียงใหม่ ตามที่นายฌอนโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กจริงหรือไม่”
วันต่อมา นายบุญญฤทธิ์ เผยอีกครั้งว่า ได้ทำหนังสือถึงนายภาคิน คำวิลัยศักดิ์ หรือโตโน่ นักร้องและนักแสดงชื่อดัง เพื่อมาให้ปากคำ กรณีโตโน่ได้แนะนำให้นายฌอนเปิดบัญชีส่วนตัวรับบริจาคดังกล่าวทางเฟซบุ๊ก พร้อมโอนเงินเข้าบัญชีนายฌอน 1 แสนบาท เมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นเงินบริจาคที่มากที่สุดจากผู้บริจาค 5,960 ราย โดยขอความร่วมมือให้มาชี้แจงด้วยตนเองภายใน 7 วัน นับจากวันที่ส่งหนังสือดังกล่าว เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสำนวนคดีดังกล่าว
ด้าน พ.ต.อ.พงศ์จักร ปรีชาการุณพงศ์ ผู้กำกับการ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เผยเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ว่า นายฌอนได้ติดต่อขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน คดีเงินบริจาคช่วยดับไฟป่าที่ จ.เชียงใหม่ จากวันนี้ (14 ก.ค.) โดยให้เหตุผลว่า อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนำข้อมูลมามอบให้พนักงานสอบสวน ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 2 เพื่อให้นายฌอนเข้าให้ปากคำอีกครั้งในวันที่ 21 ก.ค.นี้ เวลา 09.00 น. หากยังไม่มาให้ปากคำอีก ทางตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเสนอต่อศาลให้ออกหมายจับต่อไป