xs
xsm
sm
md
lg

มหาเถรคันฉ่องทูลสมเด็จพระนเรศวร เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามกีฬา! ท้าพม่าสร้างเจดีย์แข่งกัน!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค



ในหนังสือ “อุตตมะ ๘๔ ปี” ซึ่งพิมพ์ในวาระอายุครบ ๘๔ ปี ของ หลวงพ่ออุตตมะ หรือ พระราชอุดมมงคล เมื่อปี ๒๕๓๗ หลวงพ่อได้เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ของมอญ ที่เกี่ยวกับการสร้างเจดีย์ใหญ่องค์หนึ่งในเมืองมะละแหม่ง ไว้ว่า

“สมัยสมเด็จพระนเรศวรรบกับพม่า ได้ยกกองทัพไล่ติดตามทัพม่าที่ถอยหนีไปจนถึงมะละแหม่ง ตั้งพระทัยจะตามไปให้ถึงมัณฑะเลย์ มหาเถรคันฉ่อง ชาวมอญมะละแหม่งซึ่งเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวร ได้ทูลถามว่าจะไปรบเพื่อใคร สมเด็จพระนเรศวรทรงตอบว่ารบเพื่อมอญ มหาเถรคันฉ่องจึงทูลว่า ถ้าเช่นนั้นขอให้เลิกรบเถิด เพราะเท่าที่รบกันมา พม่าตายไปไม่กี่คน แต่มอญตายไปมากกว่ามาก ที่มะละแหม่งนี้มีมอญจำนวนมากที่จิตใจฝักใฝ่พม่า ตอนนี้พม่าอ่อนกำลังหนีไปถึงเมาะตะมะแล้ว ถ้าทรงตามไปอีก ขากลับจะเป็นอันตรายได้ ดังนั้นแทนที่จะรบกัน ขอให้ท้าพม่าสร้างเจดีย์แข่งกันจะดีกว่า ฝ่ายใดสร้างเสร็จก่อนถือว่าฝ่ายนั้นชนะ พม่าก็รับข้อเสนอนี้ สมเด็จพระนเรศวรจึงให้ตั้งทัพอยู่ในมะละแหม่ง เกณฑ์ไพร่พลปั้นอิฐเตรียมสร้างเจดีย์ ฝ่ายพม่ามาสังเกตการณ์แล้วเห็นท่าว่าคงสร้างไม่ทันฝ่ายไทยแน่ จึงใช้วิธีสานไม้ไผ่เป็นโครงเจดีย์ ใช้ผ้าขาวคลุม แล้วนำชฎา (หลวงพ่อใช้เรียกยอดเจดีย์แบบพม่าหรือมอญ) มาครอบลง ถือว่าเจดีย์ของพม่าเสร็จแล้ว ฝ่ายไทยเห็นพม่าใช้วิธีเจ้าเล่ห์ จึงอธิษฐานขอให้เจดีย์ของไทยสร้างเสร็จโดยเร็ว แล้วระดมกันสร้างเจดีย์จนสำเร็จในคืนเดียวเท่านั้น แม้จะแพ้พม่า แต่ว่าได้เจดีย์ใหญ่ที่เป็นเจดีย์แท้จริง ไม่มีชฎาอยู่บนยอด เพราะสมเด็จพระนเรศวรว่าเจดีย์แบบไทยไม่มีชฎา

เจดีย์ใหญ่ที่มะละแหม่งจึงเป็นแบบไม่มีชฎามาจนปัจจุบันนี้ เจดีย์องค์นี้ชื่อ ชานลัน (คำว่าชานแปลว่าไทย ลันแปลว่าขึ้นสูง ความหมายคืออธิษฐานแล้วพุ่งขึ้นสูงในคืนเดียว)”

ปัจจุบัน เจดีย์ซานลานซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขากลางงเมืองมะละแหม่ง มีภูเขาและแม่น้ำล้อมรอบ พม่าได้บูรณะขึ้นใหม่อย่างสวยงาม และเรียกชื่อใหม่ว่า ไจ๊ตาลาน เนื่องจากเป็นเจดีย์สูงจึงมีลิฟท์ขึ้นด้วย เป็นจุดเด่นของเมืองมะละแหม่ง สามารถชมเมืองได้รอบทิศ ๓๖๐ องศา และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงาม ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะไม่พลาดจุดนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันประวัติศาสตร์เรื่องนี้ ก็คือข้างๆพระเจดีย์ยังมีป้ายภาษาพม่าและภาษาไทยเขียนไว้ว่า “เจดีย์ไทย”

คนพม่าที่มีบ้านอยู่ข้างพระเจดีย์เล่าให้ฟังว่า แม้พม่าจะเรียกเจดีย์แห่งนี้ว่า ไจ๊ตาลาน แต่คนมอญยังเรียกว่า ไจ๊ซานลาน มาจนถึงวันนี้ ส่วนเจดีย์ที่พม่าสร้างแข่งกับไทยนั้น อยู่ในเมืองเมาะตะมะ ฝั่งตรงข้ามฝั่งแม่น้ำอิรวดีกับเจดีย์ไจ๊ซานลาน มองเห็นกันถนัด ปู่ย่าตายายเล่าให้ฟังว่า พม่าใช้ความฉลาดสร้างโครงไม้ไผ่ เอาผ้าขาวคลุม แล้วทาด้วยปูนขาว ซึ่งผุพังไปหมดแล้ว เจดีย์ที่เห็นในวันนี้เป็นเจดีย์สร้างใหม่ในที่เดิม เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน และทาสีขาวเหมือนเดิม มีชื่อวา ไจ๊เพียงกู หมายถึงใช้ผ้าช่วย ส่วนไจ๊ตาลาน หมายถึงไทยแพ้ เป็นสีทองเหลืองอร่าม กลางคืนมีสปอร์ทไลท์ส่อง มองเห็นแต่ไกล เป็นจุดเด่นของเมืองมะละแหม่ง ซึ่งพม่าเรียกว่า เมาะลำไย

เจดีย์ไจ๊ตาลาน นอกจากจะเป็นอนุสรณ์ของสงครามไทยพม่าแล้ว ยังเป็นอนุสรณ์รักของ “เจ้าน้อย” ศุขเกษม ทายาทของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่ กับ “มะเมี๊ยะ" แม่ค้าสาวพม่า ตำนานรักในเพลง “มะเมี๊ยะ” ของ จรัล มโนเพชร ด้วย ทั้งสองทั้งเคยมาสาบาณรักต่อกันที่เจดีย์แห่งนี้ และเมื่อถูกการเมืองพรากรัก มะเมี๊ยะก็มาบวชชีอยู่ที่วัดไจ๊ตาลานตลอดชีวิต ซึ่งผู้เขียนได้เคยเขียนไว้ในคอลัมน์นี้มาแล้วในชื่อ “มะเมี๊ยะ..เหมือนโดนมีดสับ ดาบฟันหัวใจ๋! เจ้าชายรูปงามตรอมใจตายที่ต้องจากชายาแม่ค้าบุหรี่มวนโต!!

แต่อย่างไรก็ตาม เจดีย์ที่ไทยกับพม่าแข่งกันสร้างนี้ แม้ไทยจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่สิ่งที่สร้างด้วยความจริง ยังยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ของปลอมที่สร้างด้วยเล่ห์กล แม้แต่ซากก็ยังไม่เหลือ

ของจริงกับของปลอมจึงต่างกันตรงนี้






กำลังโหลดความคิดเห็น