โฆษก ศบค.เผยไทยติดเชื้อโควิด-19 สะสมอันดับ 35 มากสุดสหรัฐฯ ตัวเลขล่าสุด 1,651 ราย หน้าใหม่ 127 มาจากสัมผัสกลุ่มสนามมวย-ผับ เสียชีวิตสะสม 10 ราย เคสล่าสุดนักดนตรีมีโรคประจำตัวทั้งเบาหวาน-มะเร็ง นายกฯ ขอบคุณประชาชนปรบมือให้กำลังใจ ขอบคุณ “อีเจี๊ยบ เลียบด่วน” เตือนห้ามเล่นมุกติดโควิดวันโกหกโลก
วันนี้ (31 มี.ค.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แถลงข่าวสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่าทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อสะสม 784,381 ราย อาการหนัก 29,597 ราย โดยพบว่าสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุด 163,479 ราย พบผู้ป่วยรายใหม่ 21,698 ราย รองลงมาคือ อิตาลี สเปน จีน และเยอรมนี ส่วนประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 35
ส่วนสถานการณ์ในประเทศไทยพบว่า มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,651 ราย มีรายใหม่เพิ่มขึ้น 127 ราย เสียชีวิต 10 ราย รายล่าสุดอายุ 48 ปี เป็นนักดนตรี มีโรคประจำตัวเบาหวาน มะเร็ง กลับจากกรุงเทพฯ มารักษาตัวที่โรงพยาบาลทางภาคอีสานด้วยอาการปวดท้อง ไข้ ไอ หายใจหอบ พบปอดอักเสบ รุนแรงขึ้นจนหายใจล้มเหลว ติดเชื้อในกระแสเลือดเสียชีวิต สำหรับจังหวัดผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุดยังเป็นกรุงเทพมหานคร 869 ราย ภาคใต้ 206 ราย ภาคกลาง 172 ราย ภาคอีสาน 77 ราย ภาคเหนือ 55 ราย โดยกลุ่มอายุ 30-39 ปี ชายมากกว่าหญิง 20-29 ปี หญิงมากกว่าชาย และ 40-49 ปี ชายมากกว่าหญิง
หลังจากประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตัวเลขมากขึ้นคือเริ่มแสดงอาการ ถ้าร่วมมือกันดี ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ควรจะลดลง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งการ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขติดตามตัวเลขอย่างใกล้ชิด ส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 127 ราย พบกลุ่มใหญ่ 62 ราย มาจากสนามมวย สถานบันเทิง สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ 47 คน
ส่วนคนไทยกลับจากต่างประเทศ 17 ราย บุคลากรทางการแพทย์มีติดเชื้อ 3 ราย รอรายละเอียดการสอบสวนโรค 16 ราย มีผู้ติดเชื้อสะสมรวม 61 จังหวัด กรุงเทพมหานครมากที่สุด ส่วนรายใหม่ 127 คน 20 จังหวัด เกิดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร และนนทบุรี มากที่สุด แต่ลดลงจากเมื่อวันที่ 29 มี.ค. ขอความร่วมมือออกจากบ้านเฉพาะที่จำเป็น และเว้นระยะห่าง 2 เมตร ส่วนต่างจังหวัดต้องไม่นิ่งนอนใจ ยังทรงตัวอยู่ และมากกว่า 29 มี.ค.สูงมาก
และเมื่อพิจารณาผู้ป่วยรายสัปดาห์ มีผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อน เป็น 155 ราย เน้นย้ำว่า ถ้ารับทราบว่าเพื่อนหรือญาติติดเชื้อ ให้กักตัวเอง ดูแลตัวเองเต็มที่ ส่วนเคสสนามมวย เหลือ 11 ราย เป็นตามระยะของโรค 14 วัน ตัวเลขจะลดลง แต่คนที่ติดจากสนามมวยกลับไปอยู่ที่บ้าน เลยไปกองกันที่ตัวเลขสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อน ตัวเลขคนไทยกลับจากต่างประเทศ ต้องไม่นิ่งนอนใจ ได้ข่าวว่าประเทศที่ระบาดก็เป็นประเทศยอดฮิต หลายคนให้ความร่วมมือดี แต่หลายคนไม่ให้ความร่วมมือ เป็นแหล่งเพาะเชื้อ ส่วนสถานบันเทิงยังคงน่าสงสัยอยู่ แต่คาดเป็นตัวเลขก่อนประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตอนนี้ของดเว้นไม่ให้มีการร่วมสังสรรค์บันเทิงใดๆ ทั้งสิ้น
ด้านการประชุมคณะรัฐมนตรีได้นำชุดข้อมูลสั่งการสัปดาห์ก่อน การหยุดกิจกรรมและเพิ่มมาตรการป้องกันที่หลากหลาย เช่น การถ่ายทอดกีฬา แข่งเรือในแหล่งน้ำและเจ็ทสกี กองถ่ายภาพยนตร์ ฯลฯ ยืนยันว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า เป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยง แต่ขอความร่วมมืองดกิจกรรม ถ้าทำอยู่ก็มีความเสี่ยง ส่วนเรื่องงบกลางฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การจัดสรรให้ไปเพิ่มค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ ค่าเสี่ยงภัย กระทรวงสาธารณสุขรับไปแล้ว และจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ เตรียมโรงพยาบาลสนาม ส่วนผู้ร้องเรียนการนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผ่อนปรนไปแล้วตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนที่่ปรบมือให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ และจะนำส่งเครื่องมือทางการแพทย์ถึงมือในเร็ววัน รวมทั้งชื่นชมอินฟลูเอนเซอร์มาช่วยชาติ เช่นเพจ “อีเจี๊ยบ เลียบด่วน” เตือนเรื่อง “วัน April Fool's Day 1 เม.ย.นี้ อย่าโกหกเรื่องโควิด-19 ว่าตัวเองป่วยอยู่ คุกแน่นอน” ถือเป็นประโยชน์ที่จะต้องช่วยกัน
ในช่วงการตอบถาม นพ.ทวีศิลป์ชี้แจงกระแสข่าวชัตดาวน์ หรือล็อกดาวน์กรุงเทพฯ ยืนยันว่าใช้วิธีการเฉพาะบางจุด นายกรัฐมนตรีไม่ได้สั่งการใดๆ เพิ่มเติม ถามถึงความพอใจการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อวานนี้นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพึงพอใจระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถไว้วางใจได้ ให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าตัวเลขลดลงคงไม่มีอะไรเพิ่มเติม แต่ถ้าเพิ่มขึ้นก็จะต้องเข้มข้นเพื่อให้เป็นศูนย์
กรณีผู้ปกปิดข้อมูลตัวเองระหว่างพบแพทย์ จากข่าวโชเฟอร์แท็กซี่โกหกทันตแพทย์นั้น ชี้แจงว่า ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อมีบทลงโทษตามกฎหมาย แต่เจตนาไม่ได้ต้องการให้จองจำ แต่อยากให้เปิดเผยเพื่อให้รักษาอย่างดี บุคลากรทางการแพทย์ป้องกันตัวเองได้ เพราะฉะนั้น ขอความร่วมมือโดยไม่ต้องบังคับใช้กฎหมายดีที่สุด
กรณีบริษัทเอกชนยังคงให้ทำงานในออฟฟิศ ทั้งที่สามารถทำงานที่บ้านได้นั้น ชี้แจงว่า ปัจจุบันยังคงเป็นมาตรการขอความร่วมมือ ขอให้นายจ้างพิจารณาว่าได้ประโยชน์อย่างไรในการรวมกันในที่ทำงาน ถ้าทำงานที่บ้านได้หรือไม่ เพราะเมื่อมีความเสี่ยงติดเชื้อนำความเสี่ยงมาถึงนายจ้างจะเสียหายยิ่งกว่าเดิม ขอความร่วมมือเจ้าของกิจการ คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง
การประกาศพื้นที่แออัดนั้น ชี้แจงว่านายกรัฐมนตรีมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละแห่ง ต้องใช้ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นประโยชน์ และต้องคิดกันหลายชั้นว่าประชาชนจะกระทบอย่างไร มีมาตรการรองรับผลกระทบหรือไม่ นายกรัฐมนตรีจะมองภาพใหญ่ๆ ขอความร่วมมือปฏิบัติตามผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อประสบความสำเร็จ และกรณีที่มีข่าวว่าไวรัสโควิดจากอิตาลีมาจากประเทศจีนนั้น ชี้แจงว่ายังเป็นความเห็นทางนักวิชาการ แต่ยังต้องพิสูจน์สายพันธุ์ จะรับไว้พิจารณา แต่การป้องกันและควบคุมสำคัญที่ทุกคนทำเหมือนกันหมด
แถลงข่าวศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) (31 มี.ค. 63)
