เชื่อได้เลยว่า หลายๆ คน คงน่าจะเคยเห็น รูปถ่าย 2 นิ้ว ตอนสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของ ‘อ๋อง ไปส่งกู บขส. ดู๊’ หรือ ‘ดีเจอ๋องแอ๋งสบัดแผ่น’ หรือ โชติกะ คำสุขะ อย่างน้อยซักครั้งหนึ่ง ซึ่งรุปใบนี้ ได้กลายเป็นอีกหนึ่งไวรัลสำหรับโลกออนไลน์ไทยไปเรียบร้อย ขณะเดียวกัน เขาก็ยังดำรงอีกหลายอย่าง ทั้ง นักร้องนำของวงดนตรีที่ว่ากันว่าร่ำรวยที่สุดในเมืองไทย, ดีเจเปิดแผ่นแล้วแต่อารมณ์, พระเอกมิวสิควีดีโอ หรือแม้แต่ หนึ่งในที่ปรึกษาทางด้านอินเตอร์เน็ท จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม เขามักจะชอบบอกอยู่เสมอว่า “ผมดัง”
ตอนนี้คุณเริ่มมีชื่อเสียงประมาณหนึ่งแล้ว มีการรับมือกับมันยังไงบ้าง
คือเมื่อก่อนจะเป็นลักษณะว่า จะค่อยๆเดินมาเรื่อยๆ เดินทีละก้าว คนจะค่อยๆสัมผัส ทั้งตัวตนของเรา และตัวตนของวงทีละนิด แต่มันไม่ได้สัมผัสในเรื่องดนตรี แต่จะสัมผัสจากที่อื่นๆ เช่น ในแฟนเพจบ้าง หรือว่าพวกผมเป็นคนยังไงบ้าง เขาก็จะมีการรู้จักอยู่แล้ว เขาจะรู้แล้วว่าการทำอย่างนี้มันคือการกวนตีน หรือรู้ว่าเขาเป็นคนแบบนั้น มันจะค่อยๆโตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมได้เริ่มไปในที่ต่างๆ แบบเร็วเกินไป พอมันไม่ได้อยู่ในทางที่เราคิดว่าควรจะเดิน แต่มันเป็นการก้าวกระโดด ซึ่งพอคนเข้ามาดูผลงานของเรา มันก็จะมีความเห็นในลักษณะว่า ทำไมคลิปนี้มีคนดูเยอะจังวะ เขาเลยเข้ามาดู แล้วพอเขาได้ชมตัวผมในรูปแบบนั้นเลย เขาก็จะมีทั้งด่าบ้าง หรือโพสต์ไปเรื่อยบ้าง ซึ่งพอผมเข้าไปอ่านแล้วก็รู้สึกว่าตลกดี สนุก ซึ่งผมก็คิดอย่างนั้นนะว่ามันก็คงเป็นแบบนี้แหละ ผมก็คิดว่ากว่าที่คนจะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ มันก็คงโดนแบบนี้มาก่อนแล้วมั้ง อย่างบางคนที่เข้ามาด่าแรง ผมก็เขียนขอโทษครับ รบกวนขอชื่อที่อยู่เพื่อที่จะส่งจดหมายขอโทษไปครับ
แต่การตอบโต้ของคุณ มันก็ยังมีความกวนๆ อยู่นะ
คือมันก็กวนนะครับแต่ว่าบางคนอย่างเวลาที่ผมตอบกลับไป จากที่เขากำลังด่าอยู่ กลับกลายเป็นว่าชอบผมขึ้นมาเลยก็มี จากตอนแรกที่บอกว่าเกลียดกายมาชอบเราเลย ผมเชื่อว่าเด็กยุคใหม่ก็น่าจะเข้าใจแหละ เพราะส่วนใหญ่มันจะเป็นไลฟ์สไตล์ของเขาในตอนนี้ ซึ่งจากพฤติกรรมที่ว่าผมเดาว่าเขาน่าจะชอบละมั้ง เพราะยุคหนึ่งผมก็เคยชอบรุ่นพี่ที่มีลักษณะห้าวห้าวๆอย่างนี้เหมือนกัน แต่ถ้าคนไม่ชอบผมเลยก็จะด่าผมเลยก็ได้ (หัวเราะเบาๆ)
แต่ยุคสมัยนี้มันจะเป็นแบบว่า นึกอะไรได้ก็พิมพ์หรือแสดงเลย มันแตกต่างจากตอนที่คุณเป็นเด็กหรือวัยรุ่นมากเลย
จากผลงานที่เราทำมา หรือจากที่เราวิเคราะห์มาเข้าใจว่าเพลงมันก็มีหลายแนวแหละ บางกลุ่มก็จะชอบเฉพาะแนวกันไป เขาก็จะมีทั้งชอบและไม่ชอบในอีกแนวก็ได้ วงบางวงก็อาจจะมีความเก่งสำหรับบางคน หรืออาจจะไม่เจ๋งกับบางคนก็ได้ ต่อให้เป็นวงที่ดังมากๆ คนที่ไปดูก็จะมีทั้งชอบและไม่ชอบ มันก็แล้วแต่คน มันเหมือนกับเทสของแต่ละคนนะครับ บางคนชอบหวานบางคนชอบเปรี้ยว มันก็ต้องมีการชอบที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้วแหละเป็นธรรมดา อย่างผลงานที่เราทำมาก็เหมือนกัน ถ้าคนที่ไม่ชอบแล้วเขาจะไม่เฉยๆกับผมไง เขาอาจจะมองว่ามันคือความแปลกหรือความไม่ปกติ แต่สำหรับผมแล้วผมคิดว่ามันปกตินะเพราะมันก็แค่เป็นวงดนตรีที่แค่กวนตีนขึ้นมานิดนึง
คือความรู้สึกนี้มันเหมือนกับการที่เราจะอยู่กับเพื่อนนะ อย่างเวลาที่ทุกคนได้อยู่กับเพื่อน ซึ่งในทุกกลุ่มมันก็ต้องมีคนที่กวนตีนประจำกลุ่ม ผมเชื่อว่าทุกคนมีคนลักษณะอย่างนี้อยู่ในกลุ่มอย่างน้อย 1 คน วงผมก็จะเป็นลักษณะอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าสมมุติว่าวงนึงมีคนแบบนี้ขึ้นมา แล้วคนที่กวนตีนก็จะโดนด่าโดนตบจากคนภายนอก แต่ทุกคนในวงก็ยังโอเคซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดานะครับ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าจุดที่เราอยากจะเป็นมันคืออะไร แล้วมันก็ต้องรับให้ได้กับจุดตรงนั้น ผมเลยไม่รู้สึกโกรธเวลาที่มีคนมาด่า กลับเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับตัวเองมากกว่า ว่าจะทำยังไงให้คนเหล่านั้นมาชอบผมให้ได้
ในเรื่องการโชว์บนเวที ที่คุณเคยบอกว่าไม่ค่อยได้ซ้อมเท่าไหร่ มองในมุมหนึ่งมันก็กึ่งๆ ไปเสี่ยงวัดดวงเลยมั้ย
ถ้าเรียกเป็นภาษาชาวบ้านเรียกว่าเป็นพวกไม่มีความรับผิดชอบมากกว่านะ คือมันไม่มีการซ้อมก่อนล่วงหน้านะครับ แล้วขึ้นมาเล่นให้ดูเลย มันคือความไม่รับผิดชอบเลยในมุมของนักดนตรีนะ ผมว่ามันไม่มีวงไหนหรอกที่ทำกันแบบนี้นะครับ จริงๆเราก็อยากสอบเหมือนกันนะไม่ใช่อยากเท่หรอก บางทีถ้าไปเล่นผิดเราก็ไม่รู้สึกตลกอย่างคนดูนะ มันก็มีความรู้สึกแย่อยู่เหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆก็จำเนื้อไม่ได้วะ เราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วก็จะลืมอันเดิมเลยนะ บางทีเวลาพูดนี่คือไปเรื่อยๆแล้วไปทางใหม่ได้เลยนะ แล้วย้อนกลับมามันจำไม่ได้แล้วไง แต่ลักษณะอย่างนี้มันก็เป็นข้อดีของวงเรา ซึ่งวงอื่นก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้เหมือนกันนะ เพราะว่าเราเป็นลักษณะอย่างนี้มาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ไปเลยก็ได้นะ แล้วพอคนดูชอบก็ตามนั้นแหละครับ
คุณบอกว่า คุณไม่ใช่คนร้องเพลงเพี้ยน มีอะไรจะบอกพวกเขามั้ย
คือคนเขากล่าวหาผมว่าผมร้องเพลงเพี้ยน ซึ่งจริงๆ แล้วผมไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ ผมมีความเชื่อว่าผมร้องเพลงดีนะ แต่ที่จริงแล้วเพลงของวงมันร้องยาก ถ้าไม่เชื่อลองเปิดเพลงของวงแล้วลองร้องตามคีย์ดูสิ ผมว่าร้องยากนะ เพราะมันขึ้นคีย์สูง อย่างบูม (เอกภาพ ป้านภูมิ : มือกีต้าร์ และ หัวหน้าวงไปส่งกู บขส. ดู๊) ซึ่งเป็นคนแต่งเพลงหลักเขาจะนึกถึงผมตลอด ก็เขาเป็นเพื่อนรักผม และเป็นหัวหน้าวงด้วย ซึ่งผมจะต้องพูดถึงเขาตลอด เขาบอกว่าเขาจะนึกถึงเสียงผมตลอด ซึ่งบางทีผมก็แอบคิดเหมือนกันนะว่า ตกลงมึงนึกถึงกูจริงหรือว่ามึงแกล้งกู เพราะเพลงที่บูมทำมันร้องยากจริงๆ แถมเมโลดี้เพลงที่บูมทำก็ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเค้าด้วย ผมก็คิดตลอดเวลาในตอนอัดเพลงว่า ถ้านักร้องแต่ละคนร้องเพลงที่บูมแต่งนั้นมันจะเป็นยังไง เช่นท่อนที่ร้องว่า ‘ยอดสั่งจองรถยนต์ในประเทศใบนี้’ ซึ่งจังหวะมันควรจะเป็นอย่างนี้แต่บูมจะมีความโกงวรรณยุกต์ของเขา ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่ป่าเถื่อนสุดๆ เลยนะในเวลาที่อัดเพลงในแต่ละครั้ง หรือยังเพลงวัวป่าโคโรโวเก้ ตรงข้ามชั้นทำการกดชัตเตอร์ ต่อให้มันร้องถูกคีย์ มันก็ยังมีความสงสัยนะ แต่ผมก็ชอบนะ มันรู้สึกว่ามันมีความแปลกของเมโลดี้และใช้วรรณยุกต์ ซึ่งบูมแต่งมาดี
อย่างรูปไวรัลของคุณ ที่กำลังเผยแพร่ออกไปเรื่อยๆ นั้น ด้วยที่มันวงกว้างไปเรื่อยๆ มาถึงตอนนี้โดยส่วนตัวถือว่าประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
อันนั้นมันก็มีการคาดหวังแหละ แต่ในตอนแรกสุดก็มีคิดเหมือนกันนะว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ แต่หลังจากนั้นนิดเดียว ผมก็มีความรู้สึกว่ามันคงไปได้แน่ๆ แต่ถามว่ามันจะไปได้ถึงทั่วประเทศไหม ผมก็คิดว่าไม่แน่ใจ แต่น่าจะไปได้เรื่อยๆของมัน มันคงไปได้ในรูปแบบใด ซึ่งหลังจากที่ไปออกหลายๆ รายการ ก็เป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จที่ผมตั้งใจจะปล่อยไวรัลพวกนั้นทางสื่อไปปุ๊บ มันมีคนส่งรูปที่เป็นไวรัลนี้ติดไปตามที่ต่างๆ ส่งเข้ามาให้ผมทาง inbox เรื่อยๆ คือถ้าผมพูดเรื่องนี้บ่อยๆเข้าคนก็น่าจะยิ่งทำอีก ล่าสุดก็ไปโผล่ในม็อบบ้าง หรือร้านอาหารตามสั่งบ้าง หรือห้องประชุม ตอนนี้มันกลายเป็นไวรัล ที่ค่อยๆ ทรงพลังไปเรื่อยๆแล้ว
อย่างรูปที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ในห้องประชุม หลังจากนั้นก็มีคนทำตาม หรือถ้าผมพูดเรื่องมีคนเอาไปติดตามร้านเหล้า หลังจากนั้นก็มีคนแชร์รูปผมติดอยู่ตรงประตูทางเข้าร้านเหล้า บางทีก็มีคนวาดรูปมาให้ อย่างเข็มกลัดที่เห็นในม็อบ ผมก็เอามาทำแจกให้เขาเอาไปติดทำขาย จะถามว่าเป็นลิขสิทธิ์ไหมมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก คือถ้าไปทำขายมันก็ไม่โอเค แต่ผมก็ไม่ได้ด่าอะไรเขาหรอก เพราะมันทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วไง แต่ถ้าขายแล้วคนเขาก็อยากซื้อกับผมอยู่แล้ว เพราะผมคิดขึ้นมาเอง มันก็คงเป็นอย่างนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อย่างที่บอก เพราะหน้าผมก็เป็นลิขสิทธิ์อยู่แล้ว (หัวเราะ)
จากรูปที่คิดสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จนมาเป็นไวรัล โดยส่วนตัวแล้ว มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง
ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะมาถึงขนาดนี้ หลังจากนั้นผมก็หยุดทำเสื้อไปช่วงหนึ่ง คือหยุดทำไปก่อน เพราะว่ากำลังรอการออกแบบที่ให้มันดีขึ้น หาไฟล์ภาพที่มันชัดขึ้น เนื่องจากผมไปทำ AI ภาพขึ้นมาใหม่ ก็ขอเล่าที่มาของภาพนี้แล้วกัน ผมไปถ่ายภาพนี้ที่ร้านถ่ายภาพที่อุบล แต่ไม่ได้ขอไฟล์ภาพนี้มา ซึ่งในตัวก็มีรูปที่ถ่ายมา ใช้ไปจนหมดจนกระทั่งเหลืออยู่ 3 ใบ แล้วก็เอาเก็บไว้ในกระเป๋า ต่อมาผมให้หลานผมไป 1 ใบ จนตอนหลังไปขอคืนมาเพราะว่าสิ่งนี้มันทำให้ผมมีชื่อเสียงและมีคนรู้จักเรา ผมก็เลยเก็บ 3 รูปนี้ไว้ แต่มีอยู่วันหนึ่งผมไปดื่มกับรุ่นพี่ ปรากฏว่าเมาและดันไปแจกรูปเหล่านี้ให้กับคนอื่น ซึ่งผมเสียดายมากและคิดว่าเขาคงไม่คืนให้ผมละมั้ง ตอนนี้มีแค่รูปถ่ายที่ชัดที่สุด เก็บไว้กับตัว แล้วก็มีความพยายามที่จะใช้โปรแกรม Ai เพื่อฟื้นฟูภาพที่ว่านี้รื้อให้มันกลับคืนมา เพราะเคยไปร้านที่เคยถ่ายรูปนี้ไว้ แต่เวลาก็ผ่านไปนานแล้ว เขาคงลบรูปทิ้งหมดแล้ว ซึ่งก็เสียดายมากอยากจะได้ไฟล์แท้ ตอนนี้ก็อย่างที่เล่าให้ฟังพยายามฟื้นฟูรูปให้กลับมาอย่างที่บอก ซึ่งปรากฏว่ารูปดีขึ้นชัดมาก รูปนั้นคือใช้ในการสมัครเข้ามหาลัย แล้วบังเอิญไปหาเจอขณะที่กำลังรื้อของ แล้วก็โพสต์รูปบน Facebook แต่ตอนนี้รูปดังกล่าวลบทิ้งหมดแล้ว เพราะผมไม่อยากให้ใครเอาไปทำเสื้อ จะมาทำขายเอง (หัวเราะ)
อีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนทราบ นั่นคือ คุณทำอาชีพเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ท โดยส่วนตัวคิดเห็นยังไงกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนี้ในตอนนี้
ระบบอินเตอร์เน้ท เป็นระบบเครือข่ายที่ใหญ่มาก แล้วก็สามารถทำให้จุดหนึ่ง ไปโผล่ในอีกจุดหนึ่งได้นะ จากที่เราไม่เคยเห็นตรงนี้ ก็สามารถที่จะเห็นได้ เราสามารถที่จะไปในจุดที่เราอยากไปได้ง่ายๆ ซึ่งผมเชื่อว่าอินเทอร์เน็ต ทำให้เด็กในยุคนี้ฉลาดกว่าเด็กในยุคก่อนหน้านั้น มันเป็นการสะท้อนว่าคนยุคก่อนไม่มีทางเก่งกว่าเด็กสมัยนี้แน่นอน แม้กระทั่งนักดนตรีต่อให้เก่งกาจมาแค่ไหน ผมจะบอกได้เลยว่าเด็กสมัยนี้มันเก่งมากนะ เปลี่ยนง่ายๆ สมัยก่อน ถ้าอยากเล่นกีต้าร์สักตัว ต้องมีการฝึกแทบตายเลย แต่ทุกวันนี้แค่เปิดคลิปและดูก็สามารถเล่นได้เลย อายุแค่ไม่กี่ขวบก็สามารถเล่นได้แล้ว แล้วผมเชื่อว่าเด็กในยุคถัดไปก็จะเก่งกว่าเด็กยุคนี้อีก เพราะว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนนะ เปรียบง่ายๆระหว่างคนยุคผมเด็กสมัยนี้มันก็แตกต่างกันแล้ว แค่วิธีการส่งงานต่างๆก็สามารถทำได้เพียงแค่โยกไฟล์แล้วส่งได้แล้ว
อยากให้ช่วยเล่าถึงการไปเล่นมิวสิควีดีโอให้ฟังหน่อย
ตอนนั้นผมกำลังขับรถอยู่ แล้วน้องพัดวงมีน โทรศัพท์มาหาผมแล้วบอกว่า ไปเล่นเป็นพระเอก MV ให้หน่อยได้ไหม ผมก็คิดในใจว่าหลอกกันเล่นหรือเปล่า จะบอกบูมดีไหมนะ ก็เลยโทรหาโทรคุยกันว่า ถ้าผมไปเล่นผู้กำกับโอเคหรือเปล่า รู้ใช่ไหมว่าพี่เป็นคนประมาณยังไง น้องพักก็ตอบกลับมาว่าผมว่าพี่ทำได้ ผมก็ตกลงรับเล่น ก็เลยรบกวนน้องเขาว่าลองส่งเพลงกับต่างๆ มา รู้สึกว่าจะมีฉากอยู่ 2 ฉากมั้ง คือพระเอกจะนั่งดื่มในบาร์ ซึ่งผมคิดว่าฉากนี้น่าจะเหมาะกับเรานะ กับอีกฉากซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ได้เห็นกัน คุยไปคุยมาจนได้เป็นฉากหลัง เราก็เห็นบ่นแล้วว่ามีร้องไห้ด้วยว่ะ เราก็รู้สึกลำบากใจแล้วว่า ชีวิตกูไม่ค่อยได้ร้องไห้ซะด้วยสิ ผมก็เครียดอยู่นะ แต่สุดท้ายก็ตกลง เลยบอกน้องพัชไปว่าพี่พร้อมที่จะเข้าวงการบันเทิง (หัวเราะ)
จริงๆ ก็มีงานหลายตัวที่ติดต่อผมให้มาเล่นเหมือนกัน แต่ผมไม่รับเลยเพราะว่า การที่เราจะรับงานสักชิ้นมันจะต้องเป็นบทที่คอนทราสกับตัวเอง อย่างเช่นวงมีนเขาก็จะเป็นวงที่มีสไตล์ที่ไม่เหมือนเราเท่าไหร่ ผมรู้สึกว่าเป็นการคอนทราสที่ค่อนข้างลงตัว ผมเลยอยากจะเล่น หรือถ้าจะหาคนที่มาแจมกับเราแล้วมีลักษณะใกล้เคียงกัน ผมจะไม่ค่อยเอา ถ้าจะเป็นก็จะเป็นลักษณะแบบน้องอิมเมจ (สุทิตา ชนะชัยสุวรรณ) มาแจมกับพวกเรา เพราะว่ามันเป็นการคอนทราสที่ลงตัว ผมเอา เพราะผมรู้สึกว่ามันจะเกิดไวรัลาที่แท้จริงขึ้นมาได้ แล้วจะทำให้คนอยากดู คนจะสนใจ แต่ถ้าทำแล้วมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ค่อยอยากทำเท่าไหร่
ตอนนิ้ ถ้าเสิร์ชชื่อคำว่าอ๋อง แล้วขึ้นภาพคุณเป็นภาพแรก ความรู้สึกในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
น่าจะมีความรู้สึกชินมากกว่านะ เพราะว่าการที่จะมีคนมาขอถ่ายรูปสักคนมันยากนะ ช่วงที่ตั้งวงใหม่ๆ เวลาเล่นเสร็จเราก็จะรอนะว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาขอถ่ายรูป ซึ่งถ้ามีคนมาทำอย่างว่าผมก็อวดเพื่อนนิดหน่อยได้แล้ว แซวเพื่อนว่านี่ไงล่ะกูดัง แต่หลังๆจะเป็นลักษณะแบบว่าเพื่อนในวงบอก ถ่ายเลยๆ เพราะแต่ละคนก็เหนื่อยจากการเล่นแล้วไง คือผมอยู่ตรงนี้ก็จะมีคนที่อยากเจอเรา ผมไปไม่ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆเวลาไปออกอีเว้น ไม่ว่าจะขายอาหารหรือขายเสื้อ ผมจะพยายามอยู่ในบูทให้บ่อยที่สุด เว้นซะจากอาจจะแวะไปบ้าง ผมพยายามอยู่ในบูธตลอดเวลา เพราะผมรู้สึกว่า คนที่เขามางานก็เพราะอยากเจอผม ผมต้องอยู่ให้เขาเจอ เพราะเขาชอบเรา นี่แหละที่แฟนคลับเขารักเรา ผมเลยจะอยู่ตรงนั้น อยากให้ผมทำอะไรทำหมด ได้หมด มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ต่อให้มีแฟนคลับ 10 ล้านคนมารอเรา ผมก็จะอยู่ เพราะนี่คือความจริงใจจากเรา (ทำท่าภูมิใจ)
คิดว่าการมีชื่อเสียงของคุณ มันได้ให้อะไรกับคุณบ้าง
คือหลังจากที่เริ่มมีชื่อเสียง ผมรู้สึกว่าผมได้รู้จักกับคนที่เจ๋งๆ เต็มไปหมดเลย คือมีแต่คนเก่งๆที่เข้ามาอยู่รอบตัวเรา จนผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่โคตรโชคดีเลย แล้วแต่ละคนก็เป็นคนที่ผมเคยติดตามผลงานเขามาก่อน เช่น น้าชาติ กอบจิตติ ซึ่งเราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ผมเคยอ่านหนังสือของน้าเขา คือพันธุ์หมาบ้า ผมเคยเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นอ๊อตโต้ด้วย ตอนนั้นผมไปอเมริกา แล้วก็เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นชื่อนี้ เพราะฝรั่งเขาเรียกชื่ออ๋องแล้วเรียกยาก ถ้าถามว่ามีส่วนไหนที่คล้ายกัน ก็น่าจะเป็นในเรื่องของความบ้า แต่เราจะไม่มีความก้าวร้าวหรือเกเร ผมเป็นคนที่ทุกอย่าง มึน สนุก แต่ผมจะไม่เหมือนตรงที่ ห่าม หรือ เกเร
นอกจากนี้ก็มีพี่บอม วงภูมิจิต (ธิตินันท์ จันทร์แต่งผล) เขาก็สามารถทำให้ผมได้ทุกอย่าง ถ้าผมมีปัญหาแล้วยกหูหาพี่บอม คอยปรึกษาในเรื่องต่างๆ ซึ่งเราสองคนเจอกันครั้งแรกที่เชียงใหม่ เขานึกว่าผมเป็นทัวร์ญี่ปุ่นหรือเกาหลี ผมเดินถือเบียร์ไปเดินมาในตอนนั้น จนต่อมาเราสนิทกัน เวลาที่ผมรบกวนอะไรจะช่วยผมได้ตลอด แล้วก็มาเจอพี่แอ๊ะ ชาติฉกาจ (ไวกวี) พี่เขาน่ารักมากเวลาที่ส่งอะไรก็จะหามาให้ได้ตลอด มันได้ให้มุมมองหรือแนวความคิดของเขาหลายอย่าง เขาก็มีทั้งสอดบ้างไม่สอนบ้าง ผมมีความรู้สึกว่าคนเหล่านี้มีความคล้ายกับเรามั้ง อีกคนก็คือ เดอะดวง (วีรชัย ดวงพลา) ทุกวันนี้ก็เป็นเพื่อนกัน ซึ่งเราก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้มารู้จักกัน และดื่มเหล้ากัน พอมาเจอกันแล้วก็อย่างที่บอกล่ะครับ อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นคนแบบลักษณะเดียวกันมั้ง ง่ายๆ คุยกันแล้วก็รู้สึกว่าดีนะ เจ๋งดี ประมาณนี้
ถ้าสมมุติว่า วงไม่ได้ถูกพูดถึงแล้ว คุณจะมีความรู้สึกยังไง
ผมว่ามันก็เป็นทุกวงนะ ที่จะต้องรับมือกับมันแต่ว่า วงผมไม่จำเป็นต้องรับมืออะไรเลย เพราะวงเราก็ไม่ได้มีงานเล่นอะไรเยอะขนาดนั้น วงเราเล่นเดือนละครั้งสองครั้ง จากที่พยายามจะรับกัน แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงมาก จนกระทั่งตอนนี้ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรกับชีวิตมากนัก แต่ผมจะคิดแค่ว่ามีคนมาขอถ่ายรูปหรือมีคนมาตุยด้วยเยอะขึ้น ซึ่งถ้ามีคนมาทำสิ่งนี้น้อยลง มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายหรือยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอก คืนด้วยส่วนตัวของเรานั้นไม่ได้มีเรื่องอะไรเข้ามาเป็นส่วนเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งถ้าวงมันไม่ดังแล้วหรือจะต้องหางานใหม่ทำ ผมก็ต้องหาอย่างอื่นทำหรือเปล่า แต่จะเป็นแบบว่ารายได้หายไปแล้วงานที่เราทำก็ยังมีอยู่ปกติ คิดว่าไม่ได้มีผลอะไรมาก
โดยส่วนตัวก็ไม่เชื่อว่าอะไรที่อยู่ไปนานๆ มันจะเป็นตำนานตลอดไป เพราะว่าคนในยุคสมัยมันก็เปลี่ยนตามไปด้วย อย่างสมมุติว่าตอนนี้ผมอายุประมาณ 30 มันก็ยังมีคนที่พอชอบผมอยู่ แต่ถ้าเวลาผ่านไปผมอายุประมาณ 60-70 คนที่ตามผมก็อายุประมาณ 50-60 ละ เด็กรุ่นใหม่ในตอนนั้นก็คงไม่รู้จักผมแล้ว นี่ขนาดไม่ถึงช่วงร้อยปีเอง ซึ่งถ้าเวลามันมากกว่านั้นมันก็เหมือนกับครึ่งชีวิตของก้อนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ มันอาจจะไม่หายไปหรอกเพียงแต่ว่ามันคงยังอยู่ แต่มันจะค่อยๆหายไปทีละนิด สุดท้ายมันก็ยังมีอยู่เพียงแต่ว่ามันคงมองไม่เห็นแล้วแหละ นอกจากว่าก้อนนิวเคลียร์ในมันใหญ่ มันก็จะหายไปยากแล้ว ผมไม่ได้บอกว่ามันหายไปนะ เพียงแค่บอกว่ามันยังมีอยู่ แต่จะค่อยๆเล็กลงไปเรื่อยๆ ศิลปินก็คงจะเหมือนแบบนี้นี่คือความคิดผมนะ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ณัฐชนน หล้าแหล่ง, ณัฐพล ด่านรักษา และ Instagram : ongbks49
ตอนนี้คุณเริ่มมีชื่อเสียงประมาณหนึ่งแล้ว มีการรับมือกับมันยังไงบ้าง
คือเมื่อก่อนจะเป็นลักษณะว่า จะค่อยๆเดินมาเรื่อยๆ เดินทีละก้าว คนจะค่อยๆสัมผัส ทั้งตัวตนของเรา และตัวตนของวงทีละนิด แต่มันไม่ได้สัมผัสในเรื่องดนตรี แต่จะสัมผัสจากที่อื่นๆ เช่น ในแฟนเพจบ้าง หรือว่าพวกผมเป็นคนยังไงบ้าง เขาก็จะมีการรู้จักอยู่แล้ว เขาจะรู้แล้วว่าการทำอย่างนี้มันคือการกวนตีน หรือรู้ว่าเขาเป็นคนแบบนั้น มันจะค่อยๆโตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมได้เริ่มไปในที่ต่างๆ แบบเร็วเกินไป พอมันไม่ได้อยู่ในทางที่เราคิดว่าควรจะเดิน แต่มันเป็นการก้าวกระโดด ซึ่งพอคนเข้ามาดูผลงานของเรา มันก็จะมีความเห็นในลักษณะว่า ทำไมคลิปนี้มีคนดูเยอะจังวะ เขาเลยเข้ามาดู แล้วพอเขาได้ชมตัวผมในรูปแบบนั้นเลย เขาก็จะมีทั้งด่าบ้าง หรือโพสต์ไปเรื่อยบ้าง ซึ่งพอผมเข้าไปอ่านแล้วก็รู้สึกว่าตลกดี สนุก ซึ่งผมก็คิดอย่างนั้นนะว่ามันก็คงเป็นแบบนี้แหละ ผมก็คิดว่ากว่าที่คนจะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ มันก็คงโดนแบบนี้มาก่อนแล้วมั้ง อย่างบางคนที่เข้ามาด่าแรง ผมก็เขียนขอโทษครับ รบกวนขอชื่อที่อยู่เพื่อที่จะส่งจดหมายขอโทษไปครับ
แต่การตอบโต้ของคุณ มันก็ยังมีความกวนๆ อยู่นะ
คือมันก็กวนนะครับแต่ว่าบางคนอย่างเวลาที่ผมตอบกลับไป จากที่เขากำลังด่าอยู่ กลับกลายเป็นว่าชอบผมขึ้นมาเลยก็มี จากตอนแรกที่บอกว่าเกลียดกายมาชอบเราเลย ผมเชื่อว่าเด็กยุคใหม่ก็น่าจะเข้าใจแหละ เพราะส่วนใหญ่มันจะเป็นไลฟ์สไตล์ของเขาในตอนนี้ ซึ่งจากพฤติกรรมที่ว่าผมเดาว่าเขาน่าจะชอบละมั้ง เพราะยุคหนึ่งผมก็เคยชอบรุ่นพี่ที่มีลักษณะห้าวห้าวๆอย่างนี้เหมือนกัน แต่ถ้าคนไม่ชอบผมเลยก็จะด่าผมเลยก็ได้ (หัวเราะเบาๆ)
แต่ยุคสมัยนี้มันจะเป็นแบบว่า นึกอะไรได้ก็พิมพ์หรือแสดงเลย มันแตกต่างจากตอนที่คุณเป็นเด็กหรือวัยรุ่นมากเลย
จากผลงานที่เราทำมา หรือจากที่เราวิเคราะห์มาเข้าใจว่าเพลงมันก็มีหลายแนวแหละ บางกลุ่มก็จะชอบเฉพาะแนวกันไป เขาก็จะมีทั้งชอบและไม่ชอบในอีกแนวก็ได้ วงบางวงก็อาจจะมีความเก่งสำหรับบางคน หรืออาจจะไม่เจ๋งกับบางคนก็ได้ ต่อให้เป็นวงที่ดังมากๆ คนที่ไปดูก็จะมีทั้งชอบและไม่ชอบ มันก็แล้วแต่คน มันเหมือนกับเทสของแต่ละคนนะครับ บางคนชอบหวานบางคนชอบเปรี้ยว มันก็ต้องมีการชอบที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้วแหละเป็นธรรมดา อย่างผลงานที่เราทำมาก็เหมือนกัน ถ้าคนที่ไม่ชอบแล้วเขาจะไม่เฉยๆกับผมไง เขาอาจจะมองว่ามันคือความแปลกหรือความไม่ปกติ แต่สำหรับผมแล้วผมคิดว่ามันปกตินะเพราะมันก็แค่เป็นวงดนตรีที่แค่กวนตีนขึ้นมานิดนึง
คือความรู้สึกนี้มันเหมือนกับการที่เราจะอยู่กับเพื่อนนะ อย่างเวลาที่ทุกคนได้อยู่กับเพื่อน ซึ่งในทุกกลุ่มมันก็ต้องมีคนที่กวนตีนประจำกลุ่ม ผมเชื่อว่าทุกคนมีคนลักษณะอย่างนี้อยู่ในกลุ่มอย่างน้อย 1 คน วงผมก็จะเป็นลักษณะอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าสมมุติว่าวงนึงมีคนแบบนี้ขึ้นมา แล้วคนที่กวนตีนก็จะโดนด่าโดนตบจากคนภายนอก แต่ทุกคนในวงก็ยังโอเคซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดานะครับ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าจุดที่เราอยากจะเป็นมันคืออะไร แล้วมันก็ต้องรับให้ได้กับจุดตรงนั้น ผมเลยไม่รู้สึกโกรธเวลาที่มีคนมาด่า กลับเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับตัวเองมากกว่า ว่าจะทำยังไงให้คนเหล่านั้นมาชอบผมให้ได้
ในเรื่องการโชว์บนเวที ที่คุณเคยบอกว่าไม่ค่อยได้ซ้อมเท่าไหร่ มองในมุมหนึ่งมันก็กึ่งๆ ไปเสี่ยงวัดดวงเลยมั้ย
ถ้าเรียกเป็นภาษาชาวบ้านเรียกว่าเป็นพวกไม่มีความรับผิดชอบมากกว่านะ คือมันไม่มีการซ้อมก่อนล่วงหน้านะครับ แล้วขึ้นมาเล่นให้ดูเลย มันคือความไม่รับผิดชอบเลยในมุมของนักดนตรีนะ ผมว่ามันไม่มีวงไหนหรอกที่ทำกันแบบนี้นะครับ จริงๆเราก็อยากสอบเหมือนกันนะไม่ใช่อยากเท่หรอก บางทีถ้าไปเล่นผิดเราก็ไม่รู้สึกตลกอย่างคนดูนะ มันก็มีความรู้สึกแย่อยู่เหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆก็จำเนื้อไม่ได้วะ เราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วก็จะลืมอันเดิมเลยนะ บางทีเวลาพูดนี่คือไปเรื่อยๆแล้วไปทางใหม่ได้เลยนะ แล้วย้อนกลับมามันจำไม่ได้แล้วไง แต่ลักษณะอย่างนี้มันก็เป็นข้อดีของวงเรา ซึ่งวงอื่นก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้เหมือนกันนะ เพราะว่าเราเป็นลักษณะอย่างนี้มาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ไปเลยก็ได้นะ แล้วพอคนดูชอบก็ตามนั้นแหละครับ
คุณบอกว่า คุณไม่ใช่คนร้องเพลงเพี้ยน มีอะไรจะบอกพวกเขามั้ย
คือคนเขากล่าวหาผมว่าผมร้องเพลงเพี้ยน ซึ่งจริงๆ แล้วผมไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ ผมมีความเชื่อว่าผมร้องเพลงดีนะ แต่ที่จริงแล้วเพลงของวงมันร้องยาก ถ้าไม่เชื่อลองเปิดเพลงของวงแล้วลองร้องตามคีย์ดูสิ ผมว่าร้องยากนะ เพราะมันขึ้นคีย์สูง อย่างบูม (เอกภาพ ป้านภูมิ : มือกีต้าร์ และ หัวหน้าวงไปส่งกู บขส. ดู๊) ซึ่งเป็นคนแต่งเพลงหลักเขาจะนึกถึงผมตลอด ก็เขาเป็นเพื่อนรักผม และเป็นหัวหน้าวงด้วย ซึ่งผมจะต้องพูดถึงเขาตลอด เขาบอกว่าเขาจะนึกถึงเสียงผมตลอด ซึ่งบางทีผมก็แอบคิดเหมือนกันนะว่า ตกลงมึงนึกถึงกูจริงหรือว่ามึงแกล้งกู เพราะเพลงที่บูมทำมันร้องยากจริงๆ แถมเมโลดี้เพลงที่บูมทำก็ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเค้าด้วย ผมก็คิดตลอดเวลาในตอนอัดเพลงว่า ถ้านักร้องแต่ละคนร้องเพลงที่บูมแต่งนั้นมันจะเป็นยังไง เช่นท่อนที่ร้องว่า ‘ยอดสั่งจองรถยนต์ในประเทศใบนี้’ ซึ่งจังหวะมันควรจะเป็นอย่างนี้แต่บูมจะมีความโกงวรรณยุกต์ของเขา ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่ป่าเถื่อนสุดๆ เลยนะในเวลาที่อัดเพลงในแต่ละครั้ง หรือยังเพลงวัวป่าโคโรโวเก้ ตรงข้ามชั้นทำการกดชัตเตอร์ ต่อให้มันร้องถูกคีย์ มันก็ยังมีความสงสัยนะ แต่ผมก็ชอบนะ มันรู้สึกว่ามันมีความแปลกของเมโลดี้และใช้วรรณยุกต์ ซึ่งบูมแต่งมาดี
อย่างรูปไวรัลของคุณ ที่กำลังเผยแพร่ออกไปเรื่อยๆ นั้น ด้วยที่มันวงกว้างไปเรื่อยๆ มาถึงตอนนี้โดยส่วนตัวถือว่าประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
อันนั้นมันก็มีการคาดหวังแหละ แต่ในตอนแรกสุดก็มีคิดเหมือนกันนะว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ แต่หลังจากนั้นนิดเดียว ผมก็มีความรู้สึกว่ามันคงไปได้แน่ๆ แต่ถามว่ามันจะไปได้ถึงทั่วประเทศไหม ผมก็คิดว่าไม่แน่ใจ แต่น่าจะไปได้เรื่อยๆของมัน มันคงไปได้ในรูปแบบใด ซึ่งหลังจากที่ไปออกหลายๆ รายการ ก็เป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จที่ผมตั้งใจจะปล่อยไวรัลพวกนั้นทางสื่อไปปุ๊บ มันมีคนส่งรูปที่เป็นไวรัลนี้ติดไปตามที่ต่างๆ ส่งเข้ามาให้ผมทาง inbox เรื่อยๆ คือถ้าผมพูดเรื่องนี้บ่อยๆเข้าคนก็น่าจะยิ่งทำอีก ล่าสุดก็ไปโผล่ในม็อบบ้าง หรือร้านอาหารตามสั่งบ้าง หรือห้องประชุม ตอนนี้มันกลายเป็นไวรัล ที่ค่อยๆ ทรงพลังไปเรื่อยๆแล้ว
อย่างรูปที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ในห้องประชุม หลังจากนั้นก็มีคนทำตาม หรือถ้าผมพูดเรื่องมีคนเอาไปติดตามร้านเหล้า หลังจากนั้นก็มีคนแชร์รูปผมติดอยู่ตรงประตูทางเข้าร้านเหล้า บางทีก็มีคนวาดรูปมาให้ อย่างเข็มกลัดที่เห็นในม็อบ ผมก็เอามาทำแจกให้เขาเอาไปติดทำขาย จะถามว่าเป็นลิขสิทธิ์ไหมมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก คือถ้าไปทำขายมันก็ไม่โอเค แต่ผมก็ไม่ได้ด่าอะไรเขาหรอก เพราะมันทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วไง แต่ถ้าขายแล้วคนเขาก็อยากซื้อกับผมอยู่แล้ว เพราะผมคิดขึ้นมาเอง มันก็คงเป็นอย่างนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อย่างที่บอก เพราะหน้าผมก็เป็นลิขสิทธิ์อยู่แล้ว (หัวเราะ)
จากรูปที่คิดสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จนมาเป็นไวรัล โดยส่วนตัวแล้ว มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง
ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะมาถึงขนาดนี้ หลังจากนั้นผมก็หยุดทำเสื้อไปช่วงหนึ่ง คือหยุดทำไปก่อน เพราะว่ากำลังรอการออกแบบที่ให้มันดีขึ้น หาไฟล์ภาพที่มันชัดขึ้น เนื่องจากผมไปทำ AI ภาพขึ้นมาใหม่ ก็ขอเล่าที่มาของภาพนี้แล้วกัน ผมไปถ่ายภาพนี้ที่ร้านถ่ายภาพที่อุบล แต่ไม่ได้ขอไฟล์ภาพนี้มา ซึ่งในตัวก็มีรูปที่ถ่ายมา ใช้ไปจนหมดจนกระทั่งเหลืออยู่ 3 ใบ แล้วก็เอาเก็บไว้ในกระเป๋า ต่อมาผมให้หลานผมไป 1 ใบ จนตอนหลังไปขอคืนมาเพราะว่าสิ่งนี้มันทำให้ผมมีชื่อเสียงและมีคนรู้จักเรา ผมก็เลยเก็บ 3 รูปนี้ไว้ แต่มีอยู่วันหนึ่งผมไปดื่มกับรุ่นพี่ ปรากฏว่าเมาและดันไปแจกรูปเหล่านี้ให้กับคนอื่น ซึ่งผมเสียดายมากและคิดว่าเขาคงไม่คืนให้ผมละมั้ง ตอนนี้มีแค่รูปถ่ายที่ชัดที่สุด เก็บไว้กับตัว แล้วก็มีความพยายามที่จะใช้โปรแกรม Ai เพื่อฟื้นฟูภาพที่ว่านี้รื้อให้มันกลับคืนมา เพราะเคยไปร้านที่เคยถ่ายรูปนี้ไว้ แต่เวลาก็ผ่านไปนานแล้ว เขาคงลบรูปทิ้งหมดแล้ว ซึ่งก็เสียดายมากอยากจะได้ไฟล์แท้ ตอนนี้ก็อย่างที่เล่าให้ฟังพยายามฟื้นฟูรูปให้กลับมาอย่างที่บอก ซึ่งปรากฏว่ารูปดีขึ้นชัดมาก รูปนั้นคือใช้ในการสมัครเข้ามหาลัย แล้วบังเอิญไปหาเจอขณะที่กำลังรื้อของ แล้วก็โพสต์รูปบน Facebook แต่ตอนนี้รูปดังกล่าวลบทิ้งหมดแล้ว เพราะผมไม่อยากให้ใครเอาไปทำเสื้อ จะมาทำขายเอง (หัวเราะ)
อีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนทราบ นั่นคือ คุณทำอาชีพเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ท โดยส่วนตัวคิดเห็นยังไงกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนี้ในตอนนี้
ระบบอินเตอร์เน้ท เป็นระบบเครือข่ายที่ใหญ่มาก แล้วก็สามารถทำให้จุดหนึ่ง ไปโผล่ในอีกจุดหนึ่งได้นะ จากที่เราไม่เคยเห็นตรงนี้ ก็สามารถที่จะเห็นได้ เราสามารถที่จะไปในจุดที่เราอยากไปได้ง่ายๆ ซึ่งผมเชื่อว่าอินเทอร์เน็ต ทำให้เด็กในยุคนี้ฉลาดกว่าเด็กในยุคก่อนหน้านั้น มันเป็นการสะท้อนว่าคนยุคก่อนไม่มีทางเก่งกว่าเด็กสมัยนี้แน่นอน แม้กระทั่งนักดนตรีต่อให้เก่งกาจมาแค่ไหน ผมจะบอกได้เลยว่าเด็กสมัยนี้มันเก่งมากนะ เปลี่ยนง่ายๆ สมัยก่อน ถ้าอยากเล่นกีต้าร์สักตัว ต้องมีการฝึกแทบตายเลย แต่ทุกวันนี้แค่เปิดคลิปและดูก็สามารถเล่นได้เลย อายุแค่ไม่กี่ขวบก็สามารถเล่นได้แล้ว แล้วผมเชื่อว่าเด็กในยุคถัดไปก็จะเก่งกว่าเด็กยุคนี้อีก เพราะว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนนะ เปรียบง่ายๆระหว่างคนยุคผมเด็กสมัยนี้มันก็แตกต่างกันแล้ว แค่วิธีการส่งงานต่างๆก็สามารถทำได้เพียงแค่โยกไฟล์แล้วส่งได้แล้ว
อยากให้ช่วยเล่าถึงการไปเล่นมิวสิควีดีโอให้ฟังหน่อย
ตอนนั้นผมกำลังขับรถอยู่ แล้วน้องพัดวงมีน โทรศัพท์มาหาผมแล้วบอกว่า ไปเล่นเป็นพระเอก MV ให้หน่อยได้ไหม ผมก็คิดในใจว่าหลอกกันเล่นหรือเปล่า จะบอกบูมดีไหมนะ ก็เลยโทรหาโทรคุยกันว่า ถ้าผมไปเล่นผู้กำกับโอเคหรือเปล่า รู้ใช่ไหมว่าพี่เป็นคนประมาณยังไง น้องพักก็ตอบกลับมาว่าผมว่าพี่ทำได้ ผมก็ตกลงรับเล่น ก็เลยรบกวนน้องเขาว่าลองส่งเพลงกับต่างๆ มา รู้สึกว่าจะมีฉากอยู่ 2 ฉากมั้ง คือพระเอกจะนั่งดื่มในบาร์ ซึ่งผมคิดว่าฉากนี้น่าจะเหมาะกับเรานะ กับอีกฉากซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ได้เห็นกัน คุยไปคุยมาจนได้เป็นฉากหลัง เราก็เห็นบ่นแล้วว่ามีร้องไห้ด้วยว่ะ เราก็รู้สึกลำบากใจแล้วว่า ชีวิตกูไม่ค่อยได้ร้องไห้ซะด้วยสิ ผมก็เครียดอยู่นะ แต่สุดท้ายก็ตกลง เลยบอกน้องพัชไปว่าพี่พร้อมที่จะเข้าวงการบันเทิง (หัวเราะ)
จริงๆ ก็มีงานหลายตัวที่ติดต่อผมให้มาเล่นเหมือนกัน แต่ผมไม่รับเลยเพราะว่า การที่เราจะรับงานสักชิ้นมันจะต้องเป็นบทที่คอนทราสกับตัวเอง อย่างเช่นวงมีนเขาก็จะเป็นวงที่มีสไตล์ที่ไม่เหมือนเราเท่าไหร่ ผมรู้สึกว่าเป็นการคอนทราสที่ค่อนข้างลงตัว ผมเลยอยากจะเล่น หรือถ้าจะหาคนที่มาแจมกับเราแล้วมีลักษณะใกล้เคียงกัน ผมจะไม่ค่อยเอา ถ้าจะเป็นก็จะเป็นลักษณะแบบน้องอิมเมจ (สุทิตา ชนะชัยสุวรรณ) มาแจมกับพวกเรา เพราะว่ามันเป็นการคอนทราสที่ลงตัว ผมเอา เพราะผมรู้สึกว่ามันจะเกิดไวรัลาที่แท้จริงขึ้นมาได้ แล้วจะทำให้คนอยากดู คนจะสนใจ แต่ถ้าทำแล้วมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ค่อยอยากทำเท่าไหร่
ตอนนิ้ ถ้าเสิร์ชชื่อคำว่าอ๋อง แล้วขึ้นภาพคุณเป็นภาพแรก ความรู้สึกในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
น่าจะมีความรู้สึกชินมากกว่านะ เพราะว่าการที่จะมีคนมาขอถ่ายรูปสักคนมันยากนะ ช่วงที่ตั้งวงใหม่ๆ เวลาเล่นเสร็จเราก็จะรอนะว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาขอถ่ายรูป ซึ่งถ้ามีคนมาทำอย่างว่าผมก็อวดเพื่อนนิดหน่อยได้แล้ว แซวเพื่อนว่านี่ไงล่ะกูดัง แต่หลังๆจะเป็นลักษณะแบบว่าเพื่อนในวงบอก ถ่ายเลยๆ เพราะแต่ละคนก็เหนื่อยจากการเล่นแล้วไง คือผมอยู่ตรงนี้ก็จะมีคนที่อยากเจอเรา ผมไปไม่ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆเวลาไปออกอีเว้น ไม่ว่าจะขายอาหารหรือขายเสื้อ ผมจะพยายามอยู่ในบูทให้บ่อยที่สุด เว้นซะจากอาจจะแวะไปบ้าง ผมพยายามอยู่ในบูธตลอดเวลา เพราะผมรู้สึกว่า คนที่เขามางานก็เพราะอยากเจอผม ผมต้องอยู่ให้เขาเจอ เพราะเขาชอบเรา นี่แหละที่แฟนคลับเขารักเรา ผมเลยจะอยู่ตรงนั้น อยากให้ผมทำอะไรทำหมด ได้หมด มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ต่อให้มีแฟนคลับ 10 ล้านคนมารอเรา ผมก็จะอยู่ เพราะนี่คือความจริงใจจากเรา (ทำท่าภูมิใจ)
คิดว่าการมีชื่อเสียงของคุณ มันได้ให้อะไรกับคุณบ้าง
คือหลังจากที่เริ่มมีชื่อเสียง ผมรู้สึกว่าผมได้รู้จักกับคนที่เจ๋งๆ เต็มไปหมดเลย คือมีแต่คนเก่งๆที่เข้ามาอยู่รอบตัวเรา จนผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่โคตรโชคดีเลย แล้วแต่ละคนก็เป็นคนที่ผมเคยติดตามผลงานเขามาก่อน เช่น น้าชาติ กอบจิตติ ซึ่งเราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ผมเคยอ่านหนังสือของน้าเขา คือพันธุ์หมาบ้า ผมเคยเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นอ๊อตโต้ด้วย ตอนนั้นผมไปอเมริกา แล้วก็เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นชื่อนี้ เพราะฝรั่งเขาเรียกชื่ออ๋องแล้วเรียกยาก ถ้าถามว่ามีส่วนไหนที่คล้ายกัน ก็น่าจะเป็นในเรื่องของความบ้า แต่เราจะไม่มีความก้าวร้าวหรือเกเร ผมเป็นคนที่ทุกอย่าง มึน สนุก แต่ผมจะไม่เหมือนตรงที่ ห่าม หรือ เกเร
นอกจากนี้ก็มีพี่บอม วงภูมิจิต (ธิตินันท์ จันทร์แต่งผล) เขาก็สามารถทำให้ผมได้ทุกอย่าง ถ้าผมมีปัญหาแล้วยกหูหาพี่บอม คอยปรึกษาในเรื่องต่างๆ ซึ่งเราสองคนเจอกันครั้งแรกที่เชียงใหม่ เขานึกว่าผมเป็นทัวร์ญี่ปุ่นหรือเกาหลี ผมเดินถือเบียร์ไปเดินมาในตอนนั้น จนต่อมาเราสนิทกัน เวลาที่ผมรบกวนอะไรจะช่วยผมได้ตลอด แล้วก็มาเจอพี่แอ๊ะ ชาติฉกาจ (ไวกวี) พี่เขาน่ารักมากเวลาที่ส่งอะไรก็จะหามาให้ได้ตลอด มันได้ให้มุมมองหรือแนวความคิดของเขาหลายอย่าง เขาก็มีทั้งสอดบ้างไม่สอนบ้าง ผมมีความรู้สึกว่าคนเหล่านี้มีความคล้ายกับเรามั้ง อีกคนก็คือ เดอะดวง (วีรชัย ดวงพลา) ทุกวันนี้ก็เป็นเพื่อนกัน ซึ่งเราก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้มารู้จักกัน และดื่มเหล้ากัน พอมาเจอกันแล้วก็อย่างที่บอกล่ะครับ อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นคนแบบลักษณะเดียวกันมั้ง ง่ายๆ คุยกันแล้วก็รู้สึกว่าดีนะ เจ๋งดี ประมาณนี้
ถ้าสมมุติว่า วงไม่ได้ถูกพูดถึงแล้ว คุณจะมีความรู้สึกยังไง
ผมว่ามันก็เป็นทุกวงนะ ที่จะต้องรับมือกับมันแต่ว่า วงผมไม่จำเป็นต้องรับมืออะไรเลย เพราะวงเราก็ไม่ได้มีงานเล่นอะไรเยอะขนาดนั้น วงเราเล่นเดือนละครั้งสองครั้ง จากที่พยายามจะรับกัน แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงมาก จนกระทั่งตอนนี้ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรกับชีวิตมากนัก แต่ผมจะคิดแค่ว่ามีคนมาขอถ่ายรูปหรือมีคนมาตุยด้วยเยอะขึ้น ซึ่งถ้ามีคนมาทำสิ่งนี้น้อยลง มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายหรือยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอก คืนด้วยส่วนตัวของเรานั้นไม่ได้มีเรื่องอะไรเข้ามาเป็นส่วนเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งถ้าวงมันไม่ดังแล้วหรือจะต้องหางานใหม่ทำ ผมก็ต้องหาอย่างอื่นทำหรือเปล่า แต่จะเป็นแบบว่ารายได้หายไปแล้วงานที่เราทำก็ยังมีอยู่ปกติ คิดว่าไม่ได้มีผลอะไรมาก
โดยส่วนตัวก็ไม่เชื่อว่าอะไรที่อยู่ไปนานๆ มันจะเป็นตำนานตลอดไป เพราะว่าคนในยุคสมัยมันก็เปลี่ยนตามไปด้วย อย่างสมมุติว่าตอนนี้ผมอายุประมาณ 30 มันก็ยังมีคนที่พอชอบผมอยู่ แต่ถ้าเวลาผ่านไปผมอายุประมาณ 60-70 คนที่ตามผมก็อายุประมาณ 50-60 ละ เด็กรุ่นใหม่ในตอนนั้นก็คงไม่รู้จักผมแล้ว นี่ขนาดไม่ถึงช่วงร้อยปีเอง ซึ่งถ้าเวลามันมากกว่านั้นมันก็เหมือนกับครึ่งชีวิตของก้อนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ มันอาจจะไม่หายไปหรอกเพียงแต่ว่ามันคงยังอยู่ แต่มันจะค่อยๆหายไปทีละนิด สุดท้ายมันก็ยังมีอยู่เพียงแต่ว่ามันคงมองไม่เห็นแล้วแหละ นอกจากว่าก้อนนิวเคลียร์ในมันใหญ่ มันก็จะหายไปยากแล้ว ผมไม่ได้บอกว่ามันหายไปนะ เพียงแค่บอกว่ามันยังมีอยู่ แต่จะค่อยๆเล็กลงไปเรื่อยๆ ศิลปินก็คงจะเหมือนแบบนี้นี่คือความคิดผมนะ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ณัฐชนน หล้าแหล่ง, ณัฐพล ด่านรักษา และ Instagram : ongbks49