xs
xsm
sm
md
lg

สนธิ ลิ้มทองกุล “การทำข่าวต้องลึกกว่าเก่า นักข่าวต้องให้ความสำคัญกับองค์ความรู้”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ ลิ้มทองกุล” ให้สัมภาษณ์ในหนังสือ “วันนักข่าว 2563” ระบุ “Media Disruption” ท้าทายคนทำสื่อ แต่พบทุกวันนี้มักง่าย เจาะข่าวตามเฟซบุ๊ก แนะต้องให้ความสำคัญกับองค์ความรู้ อย่ามักง่าย ยึดหลัก “Content is King” เชื่อยุค 5G พลิกมิติการทำงาน สร้างโอกาสใหม่ให้กับสื่อมวลชน

5 มีนาคมของทุกปี สำหรับวงการวิชาชีพสื่อมวลชน-นักข่าว-แวดวงวิชาชีพการทำข่าว เป็นวันที่รู้กันดีว่า คือ “วันนักข่าว” ซึ่งปีนี้ตรงกันวันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563

สำหรับปีนี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ที่ทุกปีจะมีการจัดทำหนังสือเล่ม “วันนักข่าว” โดยในปีนี้ “กองบรรณาธิการหนังสือวันนักข่าว 5 มีนาคม 2563” ได้มีการสัมภาษณ์บุคคลในแวดวงวิชาชีพสื่อสารมวลชนหลายคน เช่น ผู้บริหารองค์กรสื่อ-ตัวแทนกองบรรณาธิการข่าวหลายสำนัก-ผู้บริหารแพลตฟอร์มสื่อ Social Media หลายแห่ง-นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ เป็นต้น

ในหนังสือวันนักข่าว 5 มีนาคม 2563 ดังกล่าว ได้ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์พิเศษ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ-สื่อมวลชนอาวุโสชื่อดัง ที่เวลานี้ทำทั้งเพจ Sondhi talk และเว็บไซต์ SONDHI TALK ที่แม้จะเริ่มทำได้ไม่นาน แต่ก็ได้รับความสนใจติดตาม และถูกพูดถึงจากประชาชนจำนวนมาก โดยบทสัมภาษณ์ดังกล่าว นายสนธิให้สัมภาษณ์กับ “วรพล กิตติรัตวรางกูร” กองบรรณาธิการหนังสือวันนักข่าว 5 มีนาคม 2563 โดยมีรายละเอียดบางส่วนของบทสัมภาษณ์ที่พูดถึงภูมิทัศน์สื่อในยุคปัจจุบันกับการทำงานของนักข่าว-กองบรรณาธิการในหลายบริบทน่าสนใจที่ขอนำมาเสนอไว้บางส่วนดังนี้

เริ่มแรก นายสนธิกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีกับการทำงานของนักข่าว-สื่อมวลชนในยุคปัจจุบัน ที่คนเรียกขานกันว่า Media Disruption กับการปรับตัวของสื่อมวลชน ว่าการทำงานของสื่อยังคงต้องยึดหลักการทำหน้าที่สื่อมวลชนไว้เช่นเดิม เพราะสภาพปัจจุบันเป็นเพียงแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนจาก Analog เป็น Digital ที่พอเปลี่ยนแล้ว มันมีองค์ประกอบเสริมเข้ามาในแพลตฟอร์มใหม่ การเกิดของโซเชียลมีเดีย คนที่เล่นในโซเชียลมีเดียด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็เลยเป็นสื่อในตัวเอง เป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ทั้ง Text-Voice-Streaming ทางวิดีโอ จนเกิดสภาวการณ์ที่มีการไหลหลั่งและถั่งโถมของข้อมูลข่าวสารอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนซึ่งเป็นเรื่องท้าทายคนที่มีอาชีพสื่อสารมวลชนอย่างมาก

นายสนธิขยายความว่า สิ่งที่บอกว่าท้าทายก็คือ หากนักข่าว-คนทำสื่อขี้เกียจ หรือเอาง่ายเข้าว่า เหมือนอย่างทุกวันนี้ที่สถานีโทรทัศน์ส่วนใหญ่ใช้กัน ก็คือ เอาคลิปชาวบ้านมาเปิดในรายการ โดยบางเรื่องก็น่าสนใจ แต่พบว่าส่วนใหญ่เกือบ 90-95 เปอร์เซนต์ เป็นเรื่องไร้สาระ แต่บังเอิญสังคมไทยเป็นสังคมไร้สาระ ก็เลยทำให้มีการติด พอคนที่ติดแบบนี้ คนที่ต้องการดูก็เลยมีความรู้สึกว่าช่องนี้มีคลิปแปลกๆ ตลก-หวือหวา แต่บางช่องก็อาจมีการพัฒนาตัวเอง เช่น ช่อง 34 AMARIN TV คือนำเรื่องที่เกิดขึ้นในคลิปแล้วก็นำไปทำ Animation เช่น หากมีกรณีฆ่ากันก็ทำให้มันดูเหวือหวาตื่นเต้น มันก็ยังมีกลิ่นอายของความเป็นหนังสือพิมพ์อยู่ แต่ว่าสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่และเป็นปัญหาดั้งเดิมของวงการสื่อมวลชนก็คือ เรื่องที่ควรจะมีการพูด แต่กลับไม่มีใครพูด

อาจเป็นสิ่งแวดล้อมทางการเมืองทำให้คนไม่พูด ต้องเข้าใจว่าไม่ว่าจะเป็นสื่อแบบไหน จะสื่อโทรทัศน์ สื่อหนังสือพิมพ์ ล้วนแล้วแต่มีเจ้าของกิจการทั้งสิ้น เมื่อสื่อมีเจ้าของ สื่อก็จะทำอะไรที่สื่อซึ่งเป็นปัจเจกชนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักข่าว-นักเขียน-บรรณาธิการจะทำอะไรตามใจชอบก็ไม่ได้ ก็เลยเป็นสิ่งที่ล็อกคอสื่อมวลชนมาแต่ไหนแต่ไร สมัยก่อนเป็นแบบนี้ สมัยปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนี้ และสมัยหน้าก็จะยังเป็นอยู่ ด้วยเหตุนี้ก็เลยเกิดสื่อยุคใหม่ขึ้นมา เช่น พวกยูทูปเปอร์ หรือพวก Live Facebook ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร แต่การทำเช่นนี้ได้ก็ต้องมีทุนอยู่ก้อนหนึ่งพอสมควรที่จะทำให้เราก้าวเข้าไปสู่ความลึกของข่าว หรือความรอบด้านของข่าวได้ คนที่ไม่มีทุนก็จะใช้วิธีการทำสื่อแบบมโนมากขึ้น ตรงนี้คือจุดบอดของวงการสื่อในปัจจุบัน

ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ ยืนยันว่า ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลที่ทำให้เกิดสื่อที่เป็นแพลตฟอร์มใหม่ๆ เป็นการเปิดให้สื่อมวลชนที่ขยันและต้องการหาข้อมูล สามารถทำได้ดีกว่าเก่ามาก เพราะปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลมันง่ายมาก เห็นได้จากตอนนี้ไม่เห็นมีใครมีปัญหาเรื่องการหลงทางเวลาเดินทางเลย ทุกคนเวลาจะไปยังสถานที่นัดหมายก็จะให้อีกฝ่ายส่ง Location มาให้ทางมือถือ หรือตอนนี้จะไม่มีใครถามกันอีกแล้วว่าร้านอาหาร หรือสถานที่ซึ่งจะไปอยู่ตรงไหน จะเปิด-ปิดกี่โมง ทุกคนหาข้อมูลได้ด้วยตัวเองหมด

ด้วยเวทีเปิดของข้อมูลข่าวสาร มันไม่ใช่แค่ร้านอาหารอย่างเดียว แต่เป็นเวทีเปิดของข้อมูลทุกด้าน ซึ่งคนที่ทำงานด้านสื่อมวลชนต้องขยัน ต้องไปหาข้อมูล ประกอบในการทำข่าวต่างๆ ทั้งข้อมูลประกอบในปัจจุบันและข้อมูลในอดีต

“แต่เท่าที่ผมดูในปัจจุบัน ก็พบว่าก็ยังมีปัญหา สื่อมวลชนก็ยังทำเหมือนเดิม ยังขี้เกียจ เพราะยังทำแบบเดิมๆ คือทำข่าวแค่ว่า อะไร-ที่ไหน-เมื่อใด แค่นั้นเอง แต่คำว่า “อย่างไร และทำไม” ไม่ค่อยได้ทำกันในข่าวต่างๆ แต่ไหนแต่ไร ก็เป็นแบบนี้กัน แปลกมาก” นายสนธิสะท้อนความเห็นต่อการทำงานของนักข่าวในยุคปัจจุบัน

นายสนธิ สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวต่อไปว่า สำหรับเขานั้นแบ่งลักษณะข่าวออกเป็น 2 ประเภท คือ ข่าวควรรู้ กับข่าวที่อยากรู้ เผอิญสังคมไทยเป็นสังคมไร้สาระ ก็เลยทำให้มีข่าวอยากรู้มากเป็นพิเศษ จึงส่งผลให้ข่าวที่ควรรู้มันเบาลง

ตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยพูดไว้นานแล้วและมีการอัดเป็นคลิป เป็นการพูดถึงเรื่อง “ครู” เช่น บอกเล่าเรื่องบิดาตัวเองว่าเคยเป็นครู และภริยาตัวเองก็เป็นครู เขาจึงยืนยันจะไม่ทิ้งครู แต่ปรากฏว่าวันนี้อาชีพครูถูกทิ้งหมด ไม่มีใครสนใจเลย พล.อ.ประยุทธ์ก็ลืมไป สหกรณ์ออมทรัพย์ของครูตอนนี้ ก็ถูกกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงการคลัง บีบเรื่องดอกเบี้ยของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ควรจะให้ 4.5 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ถูกบีบให้เหลือจนกระทั่งอัตราจะเท่ากับธนาคารแล้ว เลยทำให้สหกรณ์ออมทรัพย์อยู่ในสภาพอ่อนแอ อันนี้ยกตัวอย่างให้เห็น แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจเรื่องพวกนี้ ไม่มีใครใส่ใจว่า พล.อ.ประยุทธ์เคยพูดอะไรบ้าง แต่มาวันนี้ทำไมทำตรงกันข้ามกัน ทุกคนยอมรับการตระบัดสัตย์เรื่องพวกนี้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา คิดว่าเป็นเรื่องน่ากลัว และสื่อมวลชนส่วนใหญ่ในวันนี้ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นแบบนี้จริงๆ ไม่สนใจที่จะ Remind ตักเตือนว่าเขาเคยพูดแบบนี้เอาไว้ แล้วทำไมทำกันตรงข้าม ทั้งที่เคยพูดเอาไว้เกิดอะไรขึ้น ตรงนี้สื่อไทยต่างจากสื่อต่างประเทศมาก เพราะสื่อต่างประเทศเขาเน้นเรื่องพวกนี้มาก เมื่อเน้นเลยเป็นกรอบในการบีบให้นักการเมือง บุคคลสาธารณะ ระวังตัวและยึดมั่นในสิ่งที่เคยพูดไว้ แต่ในเมืองไทยเขาเห็นว่าแม้วันนี้จะพูดเอาไว้แบบนี้ แต่อนาคตวันข้างหน้าไม่ทำก็ไม่มีใครว่าได้ ทุกคนยอมรับกันโดยปริยาย

“ดังนั้น หากจะบอกว่านี้เป็น Disruption อันใหม่ ผมไม่เชื่อว่าเป็น Disruption อันใหม่ มันคือสันดานเดิมๆ ไม่มี Disruption เลยแม้แต่นิดเดียว คือยังเหมือนเดิม เพราะทั้งหมดมันอยู่ที่ตัวเราเอง เรา Disrupt ตัวเราเองตั้งแต่ไหนแต่ไร คือเราไม่ได้ทำหน้าที่เราที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ได้ทำเลย แล้วเรามาเที่ยวบอกว่าระบบดิจิทัลมา Disrupt เรา จริงๆ มันไม่ได้ Disrupt แต่เรานั่นแหละที่เรา Disrupt ตัวเราเอง เราไม่ได้ทำหน้าที่เราอย่างสมบูรณ์ที่สุด”


• สื่อมวลชน ต้องให้ความสำคัญต่อองค์ความรู้

สำหรับความเห็นว่า นักข่าว-สื่อมวลชน-กอง บก. ไม่ว่าจะเป็นสื่อแขนงใด ควรต้องปรับตัวอย่างไรในยุค Media disruption นายสนธิ ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ ให้ทัศนะว่า ที่ผ่านมาคิดว่าเขาปรับตัวได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้มากนัก เหตุผลเพราะว่าเจ้าของหนังสือพิมพ์ เจ้าของสื่อ ไม่ได้มีจริยธรรมเหมือนต่างประเทศ เพราะต่างประเทศให้ความสำคัญเรื่องความเป็นอิสระของนักข่าว ความอิสระในการแสดงความเห็น แต่เมืองไทยไม่เชิดชู ของเรากดขี่ เพราะฉะนั้นตัวนี้ก็คือ เพดานที่มันจำกัด ที่ทำให้สื่อมวลชนไม่ว่าจะยุคสมัยใด ปรับตัวไม่ค่อยได้ เมื่อปรับตัวไม่ค่อยได้ ข้าวต้องซื้อ ไฟต้องจ่าย ก็ต้องอดทนกันต่อไป คนที่เข้ามาทำงานสื่อ พอทำไปสักระยะ ก็จะเหมือนคนเข้ารับราชการ ที่แม้จะเก่ง แต่พอเข้ามาในระบบราชการที่เจอความเละเทะก็ทำให้ความเก่งของเขาถูกลดทอนลงไป จนอยู่ไปสักระยะ ก็กลายเป็นข้าราชการอีกคน ที่เละเทะและเฮงซวย

สื่อมวลชนเองก็เช่นกัน เข้ามาใหม่ๆ มีความฟิต แต่พอเข้าไปทำงานถึงรู้ว่าทำไม่ได้ เขียนไม่ได้อย่างที่ตัวเองพูด ทุกแห่งเกิดขึ้นหมด แม้แต่ของตนก็เกิดขึ้น เพียงแต่ว่าถอยออกมา แล้วไม่ได้เข้าไปยุ่ง ก็เลยมองเห็นทะลุขึ้นแล้วก็รับรู้ ก็ไม่ได้พยายามจะบอกว่าเหนือกว่าคนอื่นเขา แต่กล้าพูดได้อย่างหนึ่งว่าสมัยที่ตนบริหารสื่อในเครือผู้จัดการได้เปิดความเป็นเสรีภาพของสื่อให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

“ปัญหาใหญ่ที่สุดในขณะนี้ คือ สื่อมวลชนบ้านเรายังขาดองค์ความรู้อยู่เหมือนเดิม ไม่สามารถเอาเรื่องราวต่างๆ มาอธิบายความได้ ทั้งที่ด้วยระบบดิจิทัลในวงการสื่อที่ทำให้เกิดแพลตฟอร์มใหม่ๆ เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเป็นอิสระได้มาก”

นายสนธิให้มุมมองถึงการทำงานสื่อในยุคต่อไปว่า คิดว่าหากสื่อ 1 คน หรือ 2-3 คน มารวมตัวกัน แล้วเปิด Facebook สักหนึ่งเพจ แล้วทำข่าวที่ไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยคนอื่น ก็ทำข่าว รายงานข่าวไปตามความคิดเห็นที่คิดว่าเป็นอิสระ จะก่อให้เกิดอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับวงการสื่อมวลชนได้ แต่ปัญหาก็มี คือแล้วใครจะเลี้ยงดูพวกเขา รายได้นำมาจากไหน อันนี้คือข้อแตกต่าง

พวกสื่อเขาสามารถที่จะรวมตัวกันที่จะไปทำได้ เช่น อาจจะจับกลุ่มกันสัก 5-6 คนแล้วคุยกันว่ามาช่วยกันทำหรือไม่ โดยแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกันไป โดยก็คุยกันเองว่าทุกคนต้องขยัน ตื่นมาก็ต้องหาทางไปทำข่าวแต่ละชิ้นให้ได้ เพื่อหาข่าวคุณภาพมานำเสนอ คุณภาพในท่ามกลางความเละเทะและขยะข้อมูล มันจะส่งผล มันจะมีความหอมหวนของคุณภาพ มันจะเป็นจุดเด่นที่ทำให้คนสนใจเข้ามาติดตาม แต่จะทำอย่างไรให้เขาอยู่ได้นาน เพราะข้าวต้องซื้อ ไฟต้องจ่าย ลูกต้องเสียค่าเทอม สิ่งเหล่านี้คือปัญหาหลัก ตรงนี้จะแก้อย่างไรยังมองไม่เห็น อย่างตนพอทำได้เพราะมีทุนเก่าอยู่แล้ว ก็พอใช้ทีมงานให้มาช่วยได้ เช่น เวลาจะพูดไลฟ์สดเรื่องปัญหาระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่าน แม้มีข้อมูลอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องการข้อมูลเพิ่มก็สั่งทีมงานให้ไปช่วยหาข้อมูลมาเสริมให้แล้วก็จ่ายค่าแรงไป แบบนี้ทำได้ เพราะบ้านไม่ต้องเช่า รถไม่ต้องผ่อน ยังพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง แต่คนอื่นที่ต้องดิ้นรนชีวิตแบบเดือนต่อเดือนเขาจะทำอย่างไร นอกจากก็ต้องกลับเข้าไปอยู่ในองค์กร พอกลับเข้าไปอยู่ในระบบองค์กรก็ถูกกรอบขององค์กรตีล้อมไว้ ทุกอย่างก็กลับไปเหมือนเดิม

แต่ในต่างประเทศ เขาก็มีการทำมาแล้ว อย่างที่สหรัฐอเมริกามีเว็บไซด์ชื่อ slate.com เริ่มจากนักข่าวไม่กี่คนมาร่วมกันทำข่าว พอทำเสร็จก็มีคนมาร่วมลงทุน เพราะเขาก็หวังว่า slate.com จะดังขึ้นมา และสามารถนำทุนมาจากแหล่งต่างๆ แล้วนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ แต่เมืองไทยมันไม่ใช่ เพราะนักธุรกิจหรือนักลงทุนไม่กล้าลงทุนในธุรกิจแบบนี้ เพราะกลัว แต่ต่างประเทศไม่ใช่ เหมือนอย่างตอนนี้ก็มี digg.com สื่อพวกนี้คือของใหม่ คือเป็นเว็บไซต์ข่าวที่นำเสนอให้คนอ่านคนดู เขาทำแบบขุดให้ลึกลงไปอีก เพื่อเอาที่ลึกๆ ที่คนไม่รายงานกัน นำมาเสนอให้ ก็มีตลาดใหม่ๆ เกิดขึ้น พวกนี้เหมือน Start up ในทางสื่อมวลชนก็มีคนนำเงินมาลงทุนให้ มาสนับสนุนคอยดูแล แล้วพอมีคนเข้ามาติดตามจำนวนมากเข้าเช่นเป็นหลักล้าน ห้าล้าน สิบล้าน ก็จะมีโฆษณาเริ่มเข้ามาส่วนหนึ่งที่แม้อาจไม่ได้ทำให้อยู่ได้มาก แต่มันมีโอกาสที่จะขยายตัวใหญ่ขึ้น สามารถนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ แต่ของเมืองไทยไม่มีแบบนี้ ขาดตรงนี้ ขาดความเข้าใจ เพราะพวกที่จะมาลงทุนใน Start up ต่างๆ จะเข้าไปทุกธุรกิจ แต่ยกเว้นธุรกิจเกี่ยวกับสื่อ สิ่งเหล่านี้คือข้อจำกัด

• สื่ออย่ามักง่าย ต้องยึดหลัก Content is King

นายสนธิย้ำจุดสำคัญในการทำงานสื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นสื่อแขนงใด และจะเป็นสื่อแพลตฟอร์มไหน สิ่งสำคัญ ก็คือ เนื้อหาสาระในการนำเสนอ ที่วงการสื่อเรียกกันว่า Content is King

“แน่นอน ผมเชื่อมั่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า Content is King ผมเชื่อว่าคอนเทนต์ที่มีคุณภาพขายได้ ตอนนี้หลายคอนเทนต์เลยเป็นคอนเทนต์ที่ไม่มีคุณภาพ แต่เอาปริมาณเข้าว่า บางเว็บก็บอกว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคนเข้ามาดูมากที่สุด แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าคนเข้ามาดูมากสุด แต่ประเด็นคือว่าสาระที่นำเสนอในเว็บไซต์มีคุณภาพมากที่สุดหรือไม่ นี้คือสิ่งที่ควรต้องพิจารณา Content is King คุณภาพของคอนเทนต์ มันต้องเกิดจากสื่อมวลชน ที่ต้องเป็นคนทำ สื่อต้องอย่ามักง่าย ทุกวันนี้เรามักง่าย”

ปัจจุบันการหาข้อมูลต่างๆ เราไม่ต้องเข้าสมุดแล้ว ทุกคนเข้าเว็บไซต์ต่างๆ หาจาก Google เวลาอ่านข้อมูลเราก็อ่านจากสิ่งที่คนเขาโพสต์กันมา โดยเราก็ไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง แต่ไหนๆ โพสต์กันแล้ว คนแชร์กันเยอะ และนี้คือจุดเริ่มต้นของ Fake News คนก็มองว่าคนแชร์กันเยอะ ก็มองว่าคงจะจริง ก็เลยนำสิ่งที่แชร์นำมาลง นำมาตัดแปะ ทำให้การทุ่มเทกับบทความบทความหนึ่ง ที่ก็เหมือนกับการทุ่มเทกับการทำข่าวชิ้นหนึ่งในอดีต

ในอดีตผมจำได้ เวลาผมจะทำข่าวสักชิ้นหนึ่ง ผมต้องประชุมกอง บก. ต้องตั้งทีมทำข่าวเจาะ ประชุมกันเพื่อทำโครงสร้างข่าวกันว่าข่าวชิ้นนี้เราจะเริ่มกันตรงไหน มีการวางแผนการทำข่าวว่าใครรับผิดชอบส่วนไหน ในการหาข้อมูล เจาะข่าว กว่าจะนำทุกอย่างมาประกอบได้ข่าวเจาะสักชิ้นหนึ่งต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ แต่สมัยนี้ข่าวเจาะทำกันวันเดียว คือ เจาะไปตามเฟซบุ๊กต่างๆ ที่ทำให้นักข่าวขี้เกียจ เพราะตอนนี้พวกคนมีชื่อเสียงในสังคม ที่อยากดัง อยากโฆษณาชวนเชื่อตัวเอง ที่ทุกคนก็จะเปิดเฟซบุ๊กของตัวเอง พอโพสต์หรือเขียนอะไร พวกนักข่าว-กอง บก.ที่รับผิดชอบข่าวสายต่างๆ ที่ขี้เกียจ ก็เอาข่าวเฟซบุ๊กของคนนั้นๆ มาพาดหัว

ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ ยกตัวอย่างมาอธิบายข้อวิจารณ์การทำงานของสื่อยุคปัจจุบันว่า “เช่น บอกว่า เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว. มีความเห็นในเรื่องนี้จากเฟซบุ๊ก แล้วก็สรุปจากที่เจิมศักดิ์เขียนแล้วข้างล่าง ก็เอาโพสต์ของเจิมศักดิ์แปะลงไปด้วย”

ทั้งที่สิ่งที่เจิมศักดิ์พูดมีหลายประเด็นที่นักข่าวสามารถนำไปเช็กต่อเพิ่มเติมได้ เช่น เจิมศักดิ์บอกแบบนี้ แต่จากการสืบค้น จากการพูดคุยกับอีกฝ่ายหนึ่งเขาบอกว่าสิ่งที่เจิมศักดิ์พูดนั้นถูก หรือสิ่งที่พูดนั้นผิด เขาเห็นด้วยหรือไม่ เห็นด้วยอย่างไร แต่นักข่าวขี้เกียจ เอาง่ายเข้าว่า ทำให้ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นการสแกน วันๆ จะมีคนในกอง บก. ที่วันๆ ไม่ต้องทำอะไร หน้าที่คือสแกนว่าวันนี้ใครโพสต์อะไรในเฟซบุ๊ก แล้วก็ดึงจากสิ่งที่โพสต์นำมาลง ถือว่าเป็นข่าวชิ้นหนึ่งแล้ว เอาง่ายเข้าว่า ไม่ได้เน้นคุณภาพ ไม่ได้เป็นช่างฝีมือ เป็นการไปซื้อของจากห้างสรรพสินค้าที่ออกมาจากสายพาน คือไปเอาจากเฟซบุ๊กมา เอาข่าวว่า ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แสดงความเห็นอย่างไร สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.เห็นว่าอย่างไร เช่น สมชัยโพสต์ว่าจะไปวิ่งไล่ลุง โดยให้เหตุผลไว้ 4 ข้อ แต่จะมีใครที่ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลของสมชัย หรือจะมีใครที่จะเสริมว่าเหตุผลของสมชัย ยังตกไปอีกสองข้อ เรื่องนี้แบบนี้ตอนนี้ไม่มีใครสนใจแล้ว ที่เวลาใครแสดงความเห็นอะไรในเฟซบุ๊ก ก็ไม่ได้มีการหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าคนอื่นๆ มีความเห็นต่อสิ่งที่บุคคลต่างๆแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กอย่างไร ไม่มีใครสนใจแล้ว ทางแก้เรื่องนี้ก็ต้องแก้ที่คน

เรื่องคุณภาพสำคัญมาก อย่างคุณนก นพรัตน์ พรวนสุข ที่ทำรายการต่างๆ เช่น ข่าวลึกปมลับ ในสื่อเครือผู้จัดการ เขาอยู่ได้ด้วยรายการของเขา เพราะเขาชกตรง และเจาะลึก โดยการทำคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในสิ่งที่นำเสนอล่วงหน้า ต้องจับตาเรื่องอะไร คนก็เลยติดรายการของเขา แต่เขาก็ต้องทำการบ้านเยอะในการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อให้ประเด็นตกผลึก แต่สื่อสมัยนี้ไม่มีแล้ว

“ถ้าคุณถามผม ผมพูดตรงๆ ผมไม่เห็นอนาคตสื่อมวลชนของไทย มันไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่รุ่นผมจนมาถึงรุ่นนี้ เหมือนกันหมด”

แม้คุณจะอยู่ในกรอบที่ถูกตีเอาไว้จากองค์กรของคุณ แต่หากข่าวที่คุณทำมีคุณภาพ ซึ่งคำว่าคุณภาพ เขาต้องไปวิเคราะห์เองว่าคุณภาพอยู่ที่ไหน เช่น ข่าวหนึ่งข่าว คุณไปคุยกับคนมาสองคน แล้วจะลงเลยหรือว่า จะไปคุยเพิ่มมาให้ได้เป็นสักสี่คน คุณภาพข่าวมันจะดีกว่าหรือไม่ ถ้ามันดีกว่าเก่า อย่ารีรอทำเลย มันอาจจะเหนื่อยกว่าเก่า คุณต้องทำงานเพิ่มขึ้นไปอีก ในข่าวชิ้นนั้นอาจสัก 3-4 ชั่วโมง แต่มันคุ้ม เพราะของพวกนี้เมื่อมันเป็นงานของคุณแล้วไม่มีใครเลียนแบบคุณได้ ซึ่งการทำงานแบบนี้มันต้องสั่งสม จนถึงจุดจุดหนึ่ง คุณก็จะมีชื่อเสียงในเรื่องนี้


• Media Disruption วิกฤตหรือโอกาส คนทำสื่อ?

- มองว่า Media Disruption และการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่นเฟซบุ๊ก ยูทูป อะไรต่างๆ ของโซเชียลมีเดีย เป็นวิกฤตหรือโอกาสของคนทำสื่อ?

มันน่าจะเป็นโอกาสมากกว่า แต่ในขณะเดียวกันนิสัยคนไทย คุณไปดูยูทูปเปอร์ที่ดังๆ ที่คนติดกันเยอะแยะ มีกี่ราย ที่มีคุณภาพ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่อยากรู้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่เรื่องที่ควรรู้

“ผมเป็นคนโชคดี เพราะผมเจาะตลาดถูก กับการที่ทำ Facebook Live ในเพจ Sondhi talk ผมเจาะตลาดด้วยองค์ความรู้ เพราะคนที่กระหายความรู้มีอยู่เยอะ แต่ไม่มีใครให้ข้อมูลในเรื่องที่เขากระหาย แต่ผมทำ

ผมขุดเจาะออกมา ผมอธิบาย ผมอธิบายเรื่องที่สลับซับซ้อนให้เป็นภาษาและเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายๆ อธิบายให้สนุกสนาน ผมพูดแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 60-90 นาที พบว่ามีคนเปิดดูตลอด แต่บางคนพูดแค่ห้านาที คนก็เลิกติดตามดูแล้ว เรื่องนี้อยู่ที่ตัวบุคคล ถ้ามีคนทำแบบที่ผมทำได้ ก็จะเกิดยูทูปเบอร์หลายราย

คุณไปดูยูทูปเบอร์ ปัจจุบันที่ดังๆ หลายราย เช่นที่มีเด็ก หลานกับยายของตะวันตก ที่มีคนดูไม่รู้กี่สิบล้านคน แล้วดูว่ามีสาระอะไรบ้าง มันไม่มี คือไม่ได้แค่ที่เมืองไทย แต่คนบนโลกนี้กลายเป็นคนที่ไร้สาระไปหมด ยิ่งมีแพลตฟอร์มดิจิตอลที่สามารถสื่อสารได้หลายรูปแบบ ไปทั้ง youtube -TikTok-Facebook ยิ่งมีมากเท่าไหร่ ความไร้สาระ ขยะยิ่งเข้ามาใหญ่ แต่การที่มีขยะเยอะ ก็จะทำให้มีคนจำนวนหนึ่งซึ่งจะว่าน้อยก็น้อย จะว่าไม่น้อยก็ไม่น้อย คนพวกนี้ก็อยากได้สิ่งที่คุณภาพ แต่คำถามคือคุณจะนำเสนอสิ่งที่มีคุณภาพเจาะเข้าไปอย่างไร และสิ่งที่ทำ คนทำก็ต้องถามตัวเองว่ามีคุณภาพหรือไม่

อย่างที่ผมทำ ผมพูดเรื่องฮ่องกงกับจีน คลิปดังกล่าวคนเข้ามาดูเป็นล้านคน แสดงว่าความสนใจของคนในเรื่องข่าวต่างประเทศมีสูงมาก เป็นแต่เพียงว่าผมไปพูดในประเด็นที่นักวิชาการเขาไม่พูดกัน เพราะผมนำจากประสบการณ์ สิ่งที่ผมเจอมา สิ่งที่ผมผ่านมา นำมาเล่า ดังนั้น คนที่จะเข้ามาทำในยุค Digital platform ด้วยตัวเอง ต้องมีความสามารถ ของตัวเองอยู่ด้วย หากจะใช้ระบบเก่าๆ เหมือนเดิม ก็จะไปไม่รอด”

- การปรับตัวของนักข่าว คนทำสื่อดังกล่าวเรื่องทุนสำคัญหรือไม่ กับการสร้างคอนเทนต์ การสร้าง Brand?

ถ้าคุณมีความโดดเด่นในเรื่อง Content และ Brand โอกาสที่ทำแล้วจะอยู่ได้ก็มี ยกตัวอย่าง ผมยังไม่ได้ทำเรื่องยูทูปเบอร์จริง แต่เอาเฉพาะ Facebook อย่างเดียว วัดจากคนเข้ามดู เดือนแรกเขาจ่ายเงินมาให้ผม 150 เหรียญ จากยอดของคนเข้ามาดู แต่พอเข้าเดือนที่ 2 เขาจ่ายมาให้ผม 3,000 เหรียญ เพิ่มขึ้น 20 เท่า ก็แสดงว่าปริมาณคนเข้าไปติดตามมันสูงมาก

รายการผม โดยเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2562 คนเข้ามา 14 ล้านคน แต่เขาจ่ายให้ผม 3,000 เหรียญ หรือ 90,000 บาท แต่ไม่เป็นไร เรื่องเล็ก แต่อย่างน้อยทำให้เห็นถึงช่องทางการทำรายได้ โดยที่ผมยังไม่ได้ทำในเรื่องโฆษณา เช่น นำกาแฟบางยี่ห้อมาวางแล้วก็ยกดื่ม ยังไม่ได้ทำ แต่ที่ทำตอนนี้มันไปได้อยู่ แต่คำถามคือ การทำ ก็ต้องมีคนเข้ามาชมเยอะๆ อะไรก็ตามที่มีคุณภาพ ที่มันไปได้ จะมีลูกค้ารออยู่แล้ว แต่คำถามคือคุณจะต้องมีวิธีการหาเงินกับมันอย่างไร เพื่อให้ตัวคุณอยู่ได้ และหากคุณทำได้ คุณก็สามารถที่จะ Crowd Financing กับคนที่ชอบรายการที่คุณทำ

ยกตัวอย่างที่ผมได้ทำรายการไลฟ์สด ทำไป 2 เดือน คนติดตามผมทางเพจร่วมจะสี่แสนคนแล้ว โดยยอดไลค์ผมสองแสนกว่า ก็ต้องดูว่า หากคุณทำแล้วมีคนติดตามคุณสักอาทิตย์ละห้าแสนคน คุณบอกเขาตรงๆ เลยว่า ขอความช่วยเหลือ ขอให้ลงขันให้หน่อย ให้ผมทำรายการนี้ต่อ ผมไม่ขอมาก ขอเดือนละ 100 บาทต่อคน ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง และผมเชื่อว่า หากคุณทำแล้วรายการคุณมีคุณภาพ คนชอบรายการ โดยอาจไม่ต้องมีคนมาดูแบบ 14 ล้านคนแบบผม เอาแค่คนมาดูสักหนึ่งแสนคน หากมีคนแค่หนึ่งหมื่นคน แล้วเขาให้เงินคุณสักคนละ 100 บาท ก็เท่ากับได้เดือนละ 1 ล้านบาท คุณก็อยู่ได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เคยมีใครลอง แต่ก็ต้องระวัง เพราะนิสัยคนไทยชอบของฟรี

- เพราะเหตุใดถึงออกมาสร้างช่องทางการสื่อสารของตัวเอง ผ่านเพจ Sondhi talk และเว็บไซด์ Sondhi talk ทำไมไม่ทำภายใต้สื่อในเครือ Manager?

ในอดีตก็จะมีฝ่ายเสื้อเหลือง เสื้อแดง อย่างผู้จัดการ เขาก็มีจุดยืนของเขา เหมือนอย่างไทยโพสต์ หรือแนวหน้า อีกฝ่ายหนึ่งก็มีจุดยืนของเขา เช่น มติชน แต่ผมไม่เอาทั้งสองฝ่าย ผมเอาคนตรงกลาง แล้วปรากฏว่าได้ผลมาก เพราะคนที่เข้ามาคอมเมนต์ในเพจ เขาบอกชัดเจน อดีตผมไม่ค่อยชอบผม แต่วันนี้มาฟังผมพูดแล้วเขาบอกมีเหตุมีผล มีความรู้ดี เลยขอเป็น FC ด้วยคน

ก็คือเมื่อใดก็ตาม ถ้าผมไม่ได้ชูธง ว่าพี่น้องเอ๊ย พี่น้องพันธมิตร ก็จะมีคนพร้อมมาร่วมกับผมเยอะ สิ่งนี้คือบทบาทผู้เฒ่าเล่าเรื่อง ที่ไม่ต้องถือข้างใคร แต่ใช้ประสบการณ์ชีวิตของตัวเองและข้อมูลที่มี เล่าเรื่องต่างๆ ให้คนฟังในเรื่องต่างๆ แล้วให้เขาตัดสินกันเอง ไม่ใช่อยู่ๆ ผมจะมาบอกว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คุณไม่ดี พวกชังชาติ ผมเล่นไม่เป็นแล้วแบบนี้ ผมไม่ทำด้วย แต่ผมจะบอกว่าสิ่งที่ ธนาธร ทำผมเห็นด้วย แต่เดินผิด แล้วก็บอกว่าเขาเดินผิดตรงไหน

ลักษณะแบบนี้คนที่กลางๆ เขารับได้ ผมก็โดนต่อว่าจากพวกฮาร์ดคอร์สุดโต่ง เช่น ทำไมไปสอนคนพวกนี้ ทำไมไม่ฟันคนพวกนี้ พวกนี้เป็นพวกชังชาติ อีกทั้งสื่อในเครือ MGR เขามีเอกลักษณ์ของเขาเอง คุณต้องเข้าใจผมติดคุกมาสามปี ลูกชายผมบริหารอยู่ ผมจึงเข้าไปยุ่งไม่ได้แล้ว ถ้าเข้าไปก็จะเท่ากับไปก้าวก่ายเขา เขามีทิศทาง มีวิธีการ วิธีคิดของเขาว่าต้องไปอย่างไร ก็เรื่องของเขา ผมไม่ขวางเขา ผมก็มาเวทีที่ผมสบายใจคือเวทีผู้เฒ่าเล่าเรื่อง แล้วผมก็เล่าได้ทุกเรื่อง เรื่องต่างประเทศผมก็เล่าได้ เล่าเรื่องเศรษฐกิจอะไรก็ได้


• เทคโนโลยี 5G พลิกมิติการทำงานสื่อมวลชน

นายสนธิกล่าวด้วยว่า ในอนาคตที่ประเทศไทยกำลังจะมีเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายระบบ 5G จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับ “นักข่าว-สื่อมวลชน” ส่วนจะเป็นอย่างไร เขาอธิบายไว้ว่า เรื่อง 5G จะมีอย่างมหาศาลกับวงการสื่อ ผมมองว่า 5G จะเปลี่ยนแปลงประเทศได้หมดเลย

ทุกวันนี้ประเทศไทยยังไม่มีการทำ Research แต่ที่อังกฤษทำแล้ว ผมคิดว่าอีกไม่นานคงมีคนทำ โดยของอังกฤษที่เขาทำมา เขาบอกว่าคนอังกฤษจะไม่ดูทีวีกันแล้ว คนไปเอาข่าวจากโซเชียลมีเดีย ด้วยเหตุนี้ทีวีทุกช่องและไม่ว่าใครก็ตาม ก็จะเข้าสู่โซเชียลมีเดียกันหมด

สิ่งที่ผมจะเห็นในอนาคต หลังจาก 5G เกิดขึ้น คนแทบไม่ต้องเปิดดูข่าวทีวีเลย ทุกอย่างมันจะมาแบบ Real Time ชนิดที่ Real จริงๆ โดยสามารถดาวน์โหลดได้ทันที ผมจึงมองว่า 5G จะทำให้นักข่าวอิสระสามารถตั้งตัวได้ ยกตัวอย่าง ถ้าคุณมีทีม แล้วคุณนำข่าวที่เกิดขึ้น ลงคลิปได้ทันที แล้วคนเข้ามาติดตามคุณพอสมควร คุณบอกเขาได้เลยว่า คุณต้องเป็นสมาชิก

อย่างในประเทศเช่น The New York Times อยู่ได้ทุกวันนี้เพราะระบบสมัครสมาชิก ยอดขายเขาไม่สนใจแล้ว ยอดสมาชิกเขามีเป็นหลักล้านคนแล้ว แสดงว่ายังมีคนต้องการ คำถามคือ สิ่งที่คุณทำมีคุณภาพจริงหรือไม่ ถ้าสิ่งที่คุณทำมีคุณภาพจริง ผมเชื่อว่าให้จ่ายเดือนละหนึ่งร้อยบาท เขาก็พร้อมจ่าย เพราะเขาจะได้ข่าวที่เป็นข่าวอย่างแท้จริง เขาจะได้ข่าวที่เขาสามารถนำไปตัดสินใจในหน้าที่การงานของเขาได้ เป็นเพียงแต่ว่าคนที่มีหน้าที่บริหารเว็บข่าว หรือเฟซบุ๊กตรงนั้น จะบาลานซ์ตัวเองยังไง เท่านั้นเอง

5G จะเป็นบริบทใหม่ของวงการสื่อมวลชนทั้งระบบ จะเป็นระบบใหม่ เพราะ Speed มันจะเร็วมาก คุณสามารถที่จะทำข่าว สามารถถ่ายคลิป อย่าว่าแต่จะโหลดกลับไปเลย คนที่เป็นสมาชิกคุณอยู่ก็สามารถโหลดได้โดยตรงจากทีวีเลย ตรงนี้ก็อยู่ที่ว่าคุณจะใช้ประโยชน์จากความเร็วของสปีด 5G อย่างไรให้มันบูรณาการเข้าไปกับการทำข่าวของคุณอย่างไร

นายสนธิย้ำว่า นักข่าวในยุค 5G ต้องเป็นทุกอย่าง เป็นทั้งเรื่องเทคโนโลยี การตัดต่อในตัวมันเอง เพราะต่อไปการไปทำข่าวแล้วใช้คน 2-3 คนมันไม่คุ้มแล้ว คนหนึ่งคนต้องทำงานได้หมดทุกอย่าง เป็นเรื่องที่ท้าทายนักข่าวรุ่นใหม่มาก หาก 5G เกิดขึ้น ถ้าจะมีการรวมตัวของกลุ่มข่าวด้วยกัน แล้วมาแชร์ข่าวกัน ทำสิ่งที่ผมเรียกว่า กระทะข่าว ทุกคนทำแล้วมาข่าวมารวมกัน เช่นอาจมี 4 ทีม แยกเป็นเช่น ทีมข่าวไลฟ์สไตล์-ข่าวบันเทิง-ข่าวการเมือง-ข่าวเศรษฐกิจ แล้วคนที่จะใช้ 5G ก็เข้ามาดูข่าวจากทั้งหมด แล้วดึงข่าวจากกระทะนั้นออกมาใช้

สิ่งนี้คืออีก Scenario ที่จะเกิดขึ้น โดย 5G จะทำให้ต้นทุนการทำข่าวลดน้อยลงและทำให้สนามการทำข่าว เปิดกว้างมากขึ้นและจะอยู่ได้ และจะใหญ่ด้วย

- แต่ที่ผ่านมา 2-3 ปีหลังมานี้ คนก็พูดกันว่าใครต่อใครก็เป็นนักข่าวได้ เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือ เมื่อ 5G เข้ามา จะไม่ยิ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้มากขึ้นไปอีกหรือ?

ในที่สุดแล้ว ทุกคนก็เป็นได้ แต่ทุกคนเป็นได้ในลักษณะที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดแล้วเขาเห็น แต่นักข่าวต้องมีหน้าที่ไปแสวงหา ไปค้นหา

ถ้า 5G เกิดขึ้น สิ่งที่จะทำให้นักข่าวอยู่ได้ก็คือ เบื้องหลัง การเจาะลึก พูดง่ายๆ ว่าเมื่อ 5G เข้ามา สิ่งที่จะเกิดขึ้นเลยทันทีและทำให้มันไปได้แรงมากก็คือ ข่าวเจาะ ต่อไปจากนี้ข่าวเจาะจะมีบทบาทสำคัญมาก เพราะทุกคนมี 5G ทุกคนเห็นรถชนกัน ก็ถ่ายแล้วก็ดาวน์โหลดมาหมด แต่ทุกคนไม่รู้ว่าเบื้องหลังมีอะไรบ้าง Investigativeing หรือข่าวสืบสวนสอบสวน จะกลับมาอีกครั้ง

“นักข่าวต้องพัฒนาทักษะของตัวเองให้มากขึ้นโดยเฉพาะทักษะการทำข่าวต้องลึกกว่าเก่า ต้องขยันกว่าเก่า ตอนนี้ประตูที่จะเปิด มีอยู่เต็มไปหมด ซึ่งนักข่าวมีกุญแจอยู่แล้ว แต่คำถามคือ เขาต้องเต็มใจที่ไขประตูเหล่านั้น ขยันที่จะไข แล้วเดินเข้าไปสู่ข้อมูลต่างๆ หากนักข่าวจะปรับตัว เขาต้องปรับในลักษณะแบบนี้ รวมถึงนักข่าวต้องสรรหาองค์ความรู้เพื่อเพิ่มเติมปัญญาเขาให้มากขึ้น” นายสนธิ สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น