คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก “สุรพงษ์” 2 ปี ไม่รอลงอาญา กรณีออกพาสปอร์ตให้ “ทักษิณ” มิชอบ!
เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นจำเลย ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติเมื่อเดือน ก.พ.2560 ชี้มูลความผิดทางอาญานายสุรพงษ์ เนื่องจากออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกออกหมายจับคดีร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ก่อการร้าย และคดีอื่นๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง
ทั้งนี้ องค์คณะพิจารณาแล้วเห็นว่า หลังจากนายทักษิณถูกกระทรวงการต่างประเทศสั่งเพิกถอนพาสปอร์ตเมื่อเดือน เม.ย.2552 เนื่องจากเป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ให้จำคุกในคดีที่ดินรัชดา และยังเป็นผู้ต้องหามีหมายจับในคดีอาญาอื่นๆ ปรากฏว่า 2 ปีต่อมา นายสุรพงษ์ได้เซ็นคำสั่งเสนอออกหนังสือเดินทางทั่วไปสำหรับบุคคลธรรมดาให้นายทักษิณใหม่ในเวลาเร่งรีบ รวบรัดเพียง 2 วัน หลังนายทักษิณยื่นคำร้องจากเมืองอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2554 การกระทำของนายสุรพงษ์เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทางทั่วไป พ.ศ.2548 และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 และประมวลกฎหมายอาญา
จำเลย ในฐานะรัฐมนตรีกระทำการสนับสนุนช่วยเหลือนายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและหลบหนีหมายจับในคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ให้สามารถเดินทางในต่างประเทศได้โดยสะดวก อยู่ในต่างประเทศโดยไม่ผิดกฎหมาย และรัฐบาลไทยไม่อาจขอให้รัฐบาลประเทศนั้นขับออกจากประเทศหรือส่งผู้ร้ายข้ามแดนอันเนื่องจากเหตุไม่มีหนังสือเดินทางได้
องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 เป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นบทหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า การกระทำความผิดของจำเลย มีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลซึ่งหลบหนี ให้สามารถเดินทางในต่างประเทศได้โดยสะดวก และส่งผลบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ
หลังศาลอ่านคำพิพากษา นายสุรพงษ์ได้ขอประกันตัว ซึ่งศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 5 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล ด้านทีมทนายของนายสุรพงษ์เผยว่า จะมีการอุทธรณ์คำพิพากษาต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต่อไป
2.“บิ๊กตู่” เผย เลือกตั้งหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่ยังไม่ชัดวันไหน ด้าน “บิ๊กป้อม” นั่งหัวโต๊ะหารือพรรคการเมือง 25 มิ.ย.นี้!
สถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มมีความชัดเจนเกี่ยวกับกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า แม้จะยังกำหนดวันเลือกตั้งไม่ได้ก็ตาม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ว่า “สิ่งสำคัญที่สุดที่ คสช.กำลังพิจารณาอยู่คือ การเตรียมการไปสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ...เรื่องการเลือกตั้งก็เดินของเราไป ให้เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย” ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการเลือกตั้งก่อนหรือหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “หลังอยู่แล้ว”
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายกฯ ระบุว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกว่า ได้ยินนายกฯ กล่าวไว้อย่างนั้น แต่พระราชพิธีดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนเรื่องของวัน เวลา ผู้สื่อข่าวถามว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษกจะเกิดขึ้นในปีนี้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ ตอบไม่ถูก รัฐบาลไม่มีการประชุมเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องของพระราชวินิจฉัย
แหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม.เผยว่า หลังประชุม ครม.แล้วเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ได้ชี้แจงให้รัฐมนตรีทราบถึงไทม์ไลน์การทำงานทางการเมือง โดยเฉพาะการออกกฎหมายและกฎหมายลูกต่างๆ พร้อมประเมินว่า โรดแมปการเลือกตั้ง คาดว่ายังคงเป็นเดือน ก.พ.2562 เหมือนเดิม แต่อาจต้องเผื่อเวลาที่จะต้องรอกฎหมายให้แล้วเสร็จและประกาศใช้อีกจนถึงเดือน พ.ค.2562
ส่วนความคืบหน้ากรณีที่รัฐบาลเชิญพรรคการเมืองร่วมหารือในเดือน มิ.ย.นี้ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้นั้น ชัดเจนแล้วว่า การประชุมดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ที่สโมสรทหารบก เวลา 14.00-16.00 น. โดยผู้ที่จะเป็นประธานการประชุมคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ติดภารกิจอยู่ระหว่างเดินทางเยือนประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส วันที่ 19-25 มิ.ย.
ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร เผยว่า ได้ส่งหนังสือเชิญพรรคการเมืองไปหมดแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวงหารือกับนักการเมือง จะต้องนำเรื่องสัญญาประชาคมปรองดองมาพูดคุยด้วยหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่เกี่ยว เพราะเป็นเรื่องการเมือง เพื่อคลายล็อกโดยเฉพาะ และยืนยันจะเปิดเผยผลการหารือต่อประชาชนอย่างแน่นอน โดยให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เป็นผู้เปิดเผย
พล.อ.ประวิตรเผยด้วยว่า การหารือกับพรรคการเมืองจะมีแค่ 2 รอบ รอบแรกมีตนเป็นประธาน และรอบสอง จะจัดขึ้นหลังจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธาน
สำหรับพรรคที่แน่นอนแล้วว่า ไม่เข้าร่วมการประชุมในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ได้แก่ พรรคเพื่อไทย และพรรคพรรคอนาคตใหม่ โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เผยเหตุผลที่พรรคไม่เข้าร่วมประชุมดังกล่าว เพราะเคยบอกแล้วว่า รัฐบาลไม่มีอำนาจหน้าที่ ถ้า กกต.เชิญไปหารือเรื่องเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยยินดีไปคุย นอกจากนี้รัฐบาลไม่มีความเป็นกลาง จึงไม่มีประโยชน์ที่จะไป เพราะทุกทีที่ไปหารือ ในที่สุดก็จบลงแบบที่รัฐบาลอยากได้ ส่วนพรรคอนาคตใหม่นั้น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค เคยระบุก่อนหน้านี้ว่า หากในที่ประชุมไม่ให้ไลฟ์สด ก็จะไม่เข้าร่วม
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. พล.อ.ประวิตรเผยว่า หลังจากส่งหนังสือเชิญไปแล้ว มีพรรคการเมืองตอบรับเข้าร่วมแล้วประมาณ 30 พรรค และคาดว่าจะมีพรรคการเมืองเข้าร่วมประชุมมากกว่านี้ เพราะมีพรรคการเมืองมากถึง 70-80 พรรค แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ เพราะไม่ได้บังคับ ส่วนตัวอยากให้ทุกพรรคได้เข้าร่วม
ด้าน พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ยังรอการตอบรับจากพรรคต่างๆ ต่อไปจนถึงวันที่ 24 มิ.ย.นี้ รวมถึงพรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ ที่ยังไม่ได้ตอบรับมาด้วย โดยอยากให้ทุกพรรคเข้ามาร่วมพูดคุยเพื่อจะได้รับฟังคำชี้แจงจากรัฐบาล เพื่อจะได้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน
3.“ชูวิทย์” เข้าคุกอีกรอบ หลังศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 1 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานซุกหุ้น 1.5 แสนบาท ไม่รายงาน ป.ป.ช.!
เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดพิจารณาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ยื่นฟ้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินที่ร่วมลงทุนในภัตตาคารแห่งหนึ่งมูลค่า 1.5 แสนบาท
ทั้งนี้ องค์คณะผู้พิพากษาได้อ่านคำร้องให้นายชูวิทย์ฟัง ซึ่งนายชูวิทย์ให้การรับสารภาพ และยืนยันว่า ไม่ได้เจตนาปกปิดบัญชีทรัพย์สินดังกล่าว เนื่องจากตนมีทรัพย์สินจำนวนมาก ส่วนมูลค่าหุ้นร่วมลงทุนที่ไม่ได้รายงาน คิดว่าผู้ที่ทำบันทึกทรัพย์ให้ตนคงจะตกหล่น ไม่ได้บันทึกไว้ ประกอบกับในปี 2546 ตนได้โอนหุ้นที่ร่วมทุนกับภัตตาคารดังกล่าวให้พนักงานสถานบริการไฮคลาส เอ็นเตอร์เทนเมนต์ 2 รายถือหุ้นแทน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมให้ใช้ชื่อตนเป็นผู้ประกอบการ ตนจึงให้บุคคลทั้งสองถือหุ้นแทน อีกทั้งหุ้นภัตตาคารดังกล่าวไม่มีรายได้ จึงเข้าใจว่าไม่ต้องรายงาน ป.ป.ช. และว่า ที่ผ่านมา ตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองปี 2548 ก็ไม่เคยรายงานทรัพย์สินดังกล่าว
ด้านศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่า นายชูวิทย์ให้การรับสารภาพ คดีจึงไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานอีก โดยศาลพิเคราะห์แล้วเชื่อว่า นายชูวิทย์เป็นผู้ถือหุ้นของภัตตาคารที่ร่วมลงทุน แต่มีเจตนาไม่แสดงรายการทรัพย์สินดังกล่าว ซึ่งนายชูวิทย์เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องปฏิบัติ จึงฟังได้ว่า นายชูวิทย์จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตำแหน่ง
ศาลจึงพิพากษาจำคุกนายชูวิทย์เป็นเวลา 2 เดือน แต่นายชูวิทย์ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน แต่นายชูวิทย์เคยต้องโทษของศาลอาญากรุงเทพใต้ให้จำคุกเกิน 6 เดือน ซึ่งไม่ใช่คดีประมาทหรือลหุโทษ และเพิ่งพ้นโทษมาไม่เกิน 5 ปี โทษจำคุกจึงไม่อาจรอการลงโทษได้ พร้อมกันนี้ศาลได้สั่งห้ามนายชูวิทย์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.2556 ที่พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.ครั้งที่ 2
หลังฟังคำพิพากษา นายชูวิทย์ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 2 แสนบาท ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ด้านศาลพิจารณาแล้ว นายชูวิทย์เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน คดีจึงไม่อาจรอการลงโทษได้ จึงมีมติไม่ปล่อยตัวชั่วคราว เพราะเกรงจำเลยจะหลบหนี หลังศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายชูวิทย์ขึ้นรถเรือนจำไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
4.ศาลพิพากษาจำคุก “นพ.เปรมศักดิ์” 2 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีจับนักข่าวแก้ผ้า ก่อนให้ประกันตัว!
เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ศาลจังหวัดพล อ.พล จ.ขอนแก่น ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่สื่อมวลชน จ.ขอนแก่น 5 คน เป็นโจทก์ฟ้อง นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จำเลยที่ 1 และ ร.ต.บัวทอง โลขันธ์ อดีตเลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จำเลยที่ 2 ข้อกล่าวหากระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2559 เมื่อผู้สื่อข่าวจาก 5 สำนักใน จ.ขอนแก่น ที่ติดตามทำข่าวกรณีมีการเผยแพร่ภาพทางโซเชียลมีเดีย เป็นภาพ นพ.เปรมศักดิ์นั่งคู่กับนักเรียนสาวชั้น ม.5 โดยด้านหน้ามีพานใส่ธนบัตรจำนวนหนึ่ง โดยมีคนเฒ่าคนแก่กำลังผูกแขน คล้ายพิธีหมั้นหรือพิธีมงคลสมรสของภาคอีสาน ซึ่งผู้สื่อข่าวทั้ง 5 สำนักได้ขอพบและสัมภาษณ์ นพ.เปรมศักดิ์ ที่สำนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ แต่ นพ.เปรมศักดิ์ไม่พอใจ และให้ผู้สื่อข่าวทั้ง 5 คน เข้าไปภายในห้องทำงาน จากนั้นสั่งเจ้าหน้าที่เทศบาลเก็บโทรศัพท์มือถือและกล้องถ่ายภาพของผู้สื่อข่าวทั้งหมด พร้อมจับนักข่าว 1 ใน 5 แก้ผ้าประจาน
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์มีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าให้การไปตามความจริง ส่วนพยานของจำเลยล้วนแล้วแต่เป็นลูกน้องของจำเลย ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง มีน้ำหนักน้อย เชื่อว่าจำเลยกระทำความผิดจริง พิพากษาจำคุก 2 เดือน แต่เนื่องจากจำเลยเคยเป็น ส.ส.มาก่อน เป็นผู้มีตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั่วไป โทษจำคุกจึงไม่ให้รอการลงโทษ
หลังศาลอ่านคำพิพากษา ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินของ นพ.เปรมศักดิ์ เพื่อขอประกันตัวต่อศาล ซึ่งศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี โดยตีราคาประกันคนละ 120,000 บาท
ด้านนายก่อสิทธิ์ กองโฉม ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ผู้เสียหายที่ฟ้อง นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า รู้สึกพอใจคำตัดสินของศาล และว่า ในฐานะที่ตนเป็นสื่อคนหนึ่ง ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้กับสื่อหรือใครทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม นายก่อสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวรู้จักกับหมอเปรมมานานแล้ว ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองและได้ให้อภัยในสิ่งที่หมอเปรมกระทำลงไปแล้ว แต่ในส่วนของกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
5.หวย 30 ล้านพ่นพิษ “ครูปรีชา” ถูกเด้งเข้ากรุ หลังผลสอบพบมีมูลผิดวินัยร้ายแรง ส่อถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน!
ความคืบหน้าคดีหวย 30 ล้าน เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เผยกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นหนังสือถึง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอให้มีคำสั่งสอบสวนวินัย และมีคำสั่งพักราชการนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูโรงเรียนเทพมงคลรังษี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.) เขต 8 (กาญจนบุรี) ผู้ต้องหาคดีแจ้งความเท็จ ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของหวย 30 ล้าน และอ้างว่า ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ ยักยอกหรือเก็บล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้านของตนที่ตกหล่นว่า คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงของ สพม.เขต 8 กาญจนบุรี สรุปแล้วว่า มีมูลผิดวินัยร้ายแรง เมื่อมีมูล ทาง สพม.เขต 8 กาญจนบุรี จึงมีคำสั่งให้นายปรีชามาประจำที่เขตพื้นที่ เพื่อไม่ให้สอนเด็ก ซึ่งตอนนี้ถือว่าครูปรีชาออกจากโรงเรียนเทพมงคลรังษีแล้ว
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงได้เสนอให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.) กาญจนบุรี ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงแล้ว โดยในการประชุม กศจ.กาญจนบุรี วันที่ 4 ก.ค.นี้ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน จะมีการพิจารณาว่า จะใช้มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการของ คสช. ให้นายปรีชาออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่
พล.ท.โกศลกล่าวด้วยว่า เมื่อข้าราชการต้องคดีอาญา ถ้าเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล หน่วยงานต้นสังกัดต้องพิจารณาว่า จะให้บุคคลนั้นออกจากราชการไว้ก่อน หรือให้โยกไปอยู่ตรงไหน เพื่อรอการตรวจสอบ หากภายหลัง ศาลตัดสินว่าไม่มีความผิด ก็ให้กลับเข้ารับราชการใหม่ได้
ด้านนายบูรพาทิศ พลอยสุวรรณ์ รองเลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า หากทาง กศจ.กาญจนบุรี มีมติตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงครูปรีชาแล้ว จะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ ตรวจสอบข้อมูลก่อนพิจารณาว่า จะเสนอถอดถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหรือไม่
ขณะที่นายอนันต์ กัลปะ ศึกษาธิการจังหวัดกาญจนบุรี เผยว่า ทาง สพม.เขต 8 กาญจนบุรี มีหนังสือแจ้งมาว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงมีความเห็นว่า ครูปรีชามีความผิดวินัยร้ายแรง เนื่องจากถูกดำเนินคดี 2 คดี คือ 1.คดีให้การเท็จ แจ้งเท็จ แกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา และ 2.สนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบ จึงมีคำสั่งย้ายครูปรีชาไปช่วยราชการที่ สพม.เขต 8 เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. โดยให้ครูปรีชาปฏิบัติงานในโครงการค้างเก่า เรื่องการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณโรงเรียนกาญจนานุเคราะห์ จ.กาญจนบุรี
ด้านครูปรีชา กล่าวถึงกรณีที่ถูกย้ายไปช่วยงานที่ สพม.เขต 8 ว่า เป็นความจริง แต่ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการถูกลงโทษทางวินัยตามที่มีข่าว เป็นการให้ตนไปช่วยสานต่อโครงการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเท่านั้น
1.ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก “สุรพงษ์” 2 ปี ไม่รอลงอาญา กรณีออกพาสปอร์ตให้ “ทักษิณ” มิชอบ!
เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นจำเลย ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติเมื่อเดือน ก.พ.2560 ชี้มูลความผิดทางอาญานายสุรพงษ์ เนื่องจากออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกออกหมายจับคดีร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ก่อการร้าย และคดีอื่นๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง
ทั้งนี้ องค์คณะพิจารณาแล้วเห็นว่า หลังจากนายทักษิณถูกกระทรวงการต่างประเทศสั่งเพิกถอนพาสปอร์ตเมื่อเดือน เม.ย.2552 เนื่องจากเป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ให้จำคุกในคดีที่ดินรัชดา และยังเป็นผู้ต้องหามีหมายจับในคดีอาญาอื่นๆ ปรากฏว่า 2 ปีต่อมา นายสุรพงษ์ได้เซ็นคำสั่งเสนอออกหนังสือเดินทางทั่วไปสำหรับบุคคลธรรมดาให้นายทักษิณใหม่ในเวลาเร่งรีบ รวบรัดเพียง 2 วัน หลังนายทักษิณยื่นคำร้องจากเมืองอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2554 การกระทำของนายสุรพงษ์เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทางทั่วไป พ.ศ.2548 และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 และประมวลกฎหมายอาญา
จำเลย ในฐานะรัฐมนตรีกระทำการสนับสนุนช่วยเหลือนายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและหลบหนีหมายจับในคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ให้สามารถเดินทางในต่างประเทศได้โดยสะดวก อยู่ในต่างประเทศโดยไม่ผิดกฎหมาย และรัฐบาลไทยไม่อาจขอให้รัฐบาลประเทศนั้นขับออกจากประเทศหรือส่งผู้ร้ายข้ามแดนอันเนื่องจากเหตุไม่มีหนังสือเดินทางได้
องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 เป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นบทหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า การกระทำความผิดของจำเลย มีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลซึ่งหลบหนี ให้สามารถเดินทางในต่างประเทศได้โดยสะดวก และส่งผลบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ
หลังศาลอ่านคำพิพากษา นายสุรพงษ์ได้ขอประกันตัว ซึ่งศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 5 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล ด้านทีมทนายของนายสุรพงษ์เผยว่า จะมีการอุทธรณ์คำพิพากษาต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต่อไป
2.“บิ๊กตู่” เผย เลือกตั้งหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่ยังไม่ชัดวันไหน ด้าน “บิ๊กป้อม” นั่งหัวโต๊ะหารือพรรคการเมือง 25 มิ.ย.นี้!
สถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มมีความชัดเจนเกี่ยวกับกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า แม้จะยังกำหนดวันเลือกตั้งไม่ได้ก็ตาม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ว่า “สิ่งสำคัญที่สุดที่ คสช.กำลังพิจารณาอยู่คือ การเตรียมการไปสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ...เรื่องการเลือกตั้งก็เดินของเราไป ให้เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย” ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการเลือกตั้งก่อนหรือหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “หลังอยู่แล้ว”
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายกฯ ระบุว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกว่า ได้ยินนายกฯ กล่าวไว้อย่างนั้น แต่พระราชพิธีดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนเรื่องของวัน เวลา ผู้สื่อข่าวถามว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษกจะเกิดขึ้นในปีนี้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ ตอบไม่ถูก รัฐบาลไม่มีการประชุมเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องของพระราชวินิจฉัย
แหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม.เผยว่า หลังประชุม ครม.แล้วเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ได้ชี้แจงให้รัฐมนตรีทราบถึงไทม์ไลน์การทำงานทางการเมือง โดยเฉพาะการออกกฎหมายและกฎหมายลูกต่างๆ พร้อมประเมินว่า โรดแมปการเลือกตั้ง คาดว่ายังคงเป็นเดือน ก.พ.2562 เหมือนเดิม แต่อาจต้องเผื่อเวลาที่จะต้องรอกฎหมายให้แล้วเสร็จและประกาศใช้อีกจนถึงเดือน พ.ค.2562
ส่วนความคืบหน้ากรณีที่รัฐบาลเชิญพรรคการเมืองร่วมหารือในเดือน มิ.ย.นี้ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้นั้น ชัดเจนแล้วว่า การประชุมดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ที่สโมสรทหารบก เวลา 14.00-16.00 น. โดยผู้ที่จะเป็นประธานการประชุมคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ติดภารกิจอยู่ระหว่างเดินทางเยือนประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส วันที่ 19-25 มิ.ย.
ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร เผยว่า ได้ส่งหนังสือเชิญพรรคการเมืองไปหมดแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวงหารือกับนักการเมือง จะต้องนำเรื่องสัญญาประชาคมปรองดองมาพูดคุยด้วยหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่เกี่ยว เพราะเป็นเรื่องการเมือง เพื่อคลายล็อกโดยเฉพาะ และยืนยันจะเปิดเผยผลการหารือต่อประชาชนอย่างแน่นอน โดยให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เป็นผู้เปิดเผย
พล.อ.ประวิตรเผยด้วยว่า การหารือกับพรรคการเมืองจะมีแค่ 2 รอบ รอบแรกมีตนเป็นประธาน และรอบสอง จะจัดขึ้นหลังจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธาน
สำหรับพรรคที่แน่นอนแล้วว่า ไม่เข้าร่วมการประชุมในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ได้แก่ พรรคเพื่อไทย และพรรคพรรคอนาคตใหม่ โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เผยเหตุผลที่พรรคไม่เข้าร่วมประชุมดังกล่าว เพราะเคยบอกแล้วว่า รัฐบาลไม่มีอำนาจหน้าที่ ถ้า กกต.เชิญไปหารือเรื่องเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยยินดีไปคุย นอกจากนี้รัฐบาลไม่มีความเป็นกลาง จึงไม่มีประโยชน์ที่จะไป เพราะทุกทีที่ไปหารือ ในที่สุดก็จบลงแบบที่รัฐบาลอยากได้ ส่วนพรรคอนาคตใหม่นั้น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค เคยระบุก่อนหน้านี้ว่า หากในที่ประชุมไม่ให้ไลฟ์สด ก็จะไม่เข้าร่วม
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. พล.อ.ประวิตรเผยว่า หลังจากส่งหนังสือเชิญไปแล้ว มีพรรคการเมืองตอบรับเข้าร่วมแล้วประมาณ 30 พรรค และคาดว่าจะมีพรรคการเมืองเข้าร่วมประชุมมากกว่านี้ เพราะมีพรรคการเมืองมากถึง 70-80 พรรค แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ เพราะไม่ได้บังคับ ส่วนตัวอยากให้ทุกพรรคได้เข้าร่วม
ด้าน พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ยังรอการตอบรับจากพรรคต่างๆ ต่อไปจนถึงวันที่ 24 มิ.ย.นี้ รวมถึงพรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ ที่ยังไม่ได้ตอบรับมาด้วย โดยอยากให้ทุกพรรคเข้ามาร่วมพูดคุยเพื่อจะได้รับฟังคำชี้แจงจากรัฐบาล เพื่อจะได้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน
3.“ชูวิทย์” เข้าคุกอีกรอบ หลังศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 1 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานซุกหุ้น 1.5 แสนบาท ไม่รายงาน ป.ป.ช.!
เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดพิจารณาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ยื่นฟ้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินที่ร่วมลงทุนในภัตตาคารแห่งหนึ่งมูลค่า 1.5 แสนบาท
ทั้งนี้ องค์คณะผู้พิพากษาได้อ่านคำร้องให้นายชูวิทย์ฟัง ซึ่งนายชูวิทย์ให้การรับสารภาพ และยืนยันว่า ไม่ได้เจตนาปกปิดบัญชีทรัพย์สินดังกล่าว เนื่องจากตนมีทรัพย์สินจำนวนมาก ส่วนมูลค่าหุ้นร่วมลงทุนที่ไม่ได้รายงาน คิดว่าผู้ที่ทำบันทึกทรัพย์ให้ตนคงจะตกหล่น ไม่ได้บันทึกไว้ ประกอบกับในปี 2546 ตนได้โอนหุ้นที่ร่วมทุนกับภัตตาคารดังกล่าวให้พนักงานสถานบริการไฮคลาส เอ็นเตอร์เทนเมนต์ 2 รายถือหุ้นแทน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมให้ใช้ชื่อตนเป็นผู้ประกอบการ ตนจึงให้บุคคลทั้งสองถือหุ้นแทน อีกทั้งหุ้นภัตตาคารดังกล่าวไม่มีรายได้ จึงเข้าใจว่าไม่ต้องรายงาน ป.ป.ช. และว่า ที่ผ่านมา ตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองปี 2548 ก็ไม่เคยรายงานทรัพย์สินดังกล่าว
ด้านศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่า นายชูวิทย์ให้การรับสารภาพ คดีจึงไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานอีก โดยศาลพิเคราะห์แล้วเชื่อว่า นายชูวิทย์เป็นผู้ถือหุ้นของภัตตาคารที่ร่วมลงทุน แต่มีเจตนาไม่แสดงรายการทรัพย์สินดังกล่าว ซึ่งนายชูวิทย์เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องปฏิบัติ จึงฟังได้ว่า นายชูวิทย์จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตำแหน่ง
ศาลจึงพิพากษาจำคุกนายชูวิทย์เป็นเวลา 2 เดือน แต่นายชูวิทย์ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน แต่นายชูวิทย์เคยต้องโทษของศาลอาญากรุงเทพใต้ให้จำคุกเกิน 6 เดือน ซึ่งไม่ใช่คดีประมาทหรือลหุโทษ และเพิ่งพ้นโทษมาไม่เกิน 5 ปี โทษจำคุกจึงไม่อาจรอการลงโทษได้ พร้อมกันนี้ศาลได้สั่งห้ามนายชูวิทย์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.2556 ที่พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.ครั้งที่ 2
หลังฟังคำพิพากษา นายชูวิทย์ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 2 แสนบาท ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ด้านศาลพิจารณาแล้ว นายชูวิทย์เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน คดีจึงไม่อาจรอการลงโทษได้ จึงมีมติไม่ปล่อยตัวชั่วคราว เพราะเกรงจำเลยจะหลบหนี หลังศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายชูวิทย์ขึ้นรถเรือนจำไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
4.ศาลพิพากษาจำคุก “นพ.เปรมศักดิ์” 2 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีจับนักข่าวแก้ผ้า ก่อนให้ประกันตัว!
เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ศาลจังหวัดพล อ.พล จ.ขอนแก่น ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่สื่อมวลชน จ.ขอนแก่น 5 คน เป็นโจทก์ฟ้อง นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จำเลยที่ 1 และ ร.ต.บัวทอง โลขันธ์ อดีตเลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จำเลยที่ 2 ข้อกล่าวหากระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2559 เมื่อผู้สื่อข่าวจาก 5 สำนักใน จ.ขอนแก่น ที่ติดตามทำข่าวกรณีมีการเผยแพร่ภาพทางโซเชียลมีเดีย เป็นภาพ นพ.เปรมศักดิ์นั่งคู่กับนักเรียนสาวชั้น ม.5 โดยด้านหน้ามีพานใส่ธนบัตรจำนวนหนึ่ง โดยมีคนเฒ่าคนแก่กำลังผูกแขน คล้ายพิธีหมั้นหรือพิธีมงคลสมรสของภาคอีสาน ซึ่งผู้สื่อข่าวทั้ง 5 สำนักได้ขอพบและสัมภาษณ์ นพ.เปรมศักดิ์ ที่สำนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ แต่ นพ.เปรมศักดิ์ไม่พอใจ และให้ผู้สื่อข่าวทั้ง 5 คน เข้าไปภายในห้องทำงาน จากนั้นสั่งเจ้าหน้าที่เทศบาลเก็บโทรศัพท์มือถือและกล้องถ่ายภาพของผู้สื่อข่าวทั้งหมด พร้อมจับนักข่าว 1 ใน 5 แก้ผ้าประจาน
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์มีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าให้การไปตามความจริง ส่วนพยานของจำเลยล้วนแล้วแต่เป็นลูกน้องของจำเลย ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง มีน้ำหนักน้อย เชื่อว่าจำเลยกระทำความผิดจริง พิพากษาจำคุก 2 เดือน แต่เนื่องจากจำเลยเคยเป็น ส.ส.มาก่อน เป็นผู้มีตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั่วไป โทษจำคุกจึงไม่ให้รอการลงโทษ
หลังศาลอ่านคำพิพากษา ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินของ นพ.เปรมศักดิ์ เพื่อขอประกันตัวต่อศาล ซึ่งศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี โดยตีราคาประกันคนละ 120,000 บาท
ด้านนายก่อสิทธิ์ กองโฉม ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ผู้เสียหายที่ฟ้อง นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า รู้สึกพอใจคำตัดสินของศาล และว่า ในฐานะที่ตนเป็นสื่อคนหนึ่ง ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้กับสื่อหรือใครทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม นายก่อสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวรู้จักกับหมอเปรมมานานแล้ว ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองและได้ให้อภัยในสิ่งที่หมอเปรมกระทำลงไปแล้ว แต่ในส่วนของกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
5.หวย 30 ล้านพ่นพิษ “ครูปรีชา” ถูกเด้งเข้ากรุ หลังผลสอบพบมีมูลผิดวินัยร้ายแรง ส่อถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน!
ความคืบหน้าคดีหวย 30 ล้าน เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เผยกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นหนังสือถึง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอให้มีคำสั่งสอบสวนวินัย และมีคำสั่งพักราชการนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูโรงเรียนเทพมงคลรังษี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.) เขต 8 (กาญจนบุรี) ผู้ต้องหาคดีแจ้งความเท็จ ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของหวย 30 ล้าน และอ้างว่า ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ ยักยอกหรือเก็บล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้านของตนที่ตกหล่นว่า คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงของ สพม.เขต 8 กาญจนบุรี สรุปแล้วว่า มีมูลผิดวินัยร้ายแรง เมื่อมีมูล ทาง สพม.เขต 8 กาญจนบุรี จึงมีคำสั่งให้นายปรีชามาประจำที่เขตพื้นที่ เพื่อไม่ให้สอนเด็ก ซึ่งตอนนี้ถือว่าครูปรีชาออกจากโรงเรียนเทพมงคลรังษีแล้ว
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงได้เสนอให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.) กาญจนบุรี ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงแล้ว โดยในการประชุม กศจ.กาญจนบุรี วันที่ 4 ก.ค.นี้ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน จะมีการพิจารณาว่า จะใช้มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการของ คสช. ให้นายปรีชาออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่
พล.ท.โกศลกล่าวด้วยว่า เมื่อข้าราชการต้องคดีอาญา ถ้าเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล หน่วยงานต้นสังกัดต้องพิจารณาว่า จะให้บุคคลนั้นออกจากราชการไว้ก่อน หรือให้โยกไปอยู่ตรงไหน เพื่อรอการตรวจสอบ หากภายหลัง ศาลตัดสินว่าไม่มีความผิด ก็ให้กลับเข้ารับราชการใหม่ได้
ด้านนายบูรพาทิศ พลอยสุวรรณ์ รองเลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า หากทาง กศจ.กาญจนบุรี มีมติตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงครูปรีชาแล้ว จะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ ตรวจสอบข้อมูลก่อนพิจารณาว่า จะเสนอถอดถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหรือไม่
ขณะที่นายอนันต์ กัลปะ ศึกษาธิการจังหวัดกาญจนบุรี เผยว่า ทาง สพม.เขต 8 กาญจนบุรี มีหนังสือแจ้งมาว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงมีความเห็นว่า ครูปรีชามีความผิดวินัยร้ายแรง เนื่องจากถูกดำเนินคดี 2 คดี คือ 1.คดีให้การเท็จ แจ้งเท็จ แกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา และ 2.สนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบ จึงมีคำสั่งย้ายครูปรีชาไปช่วยราชการที่ สพม.เขต 8 เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. โดยให้ครูปรีชาปฏิบัติงานในโครงการค้างเก่า เรื่องการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณโรงเรียนกาญจนานุเคราะห์ จ.กาญจนบุรี
ด้านครูปรีชา กล่าวถึงกรณีที่ถูกย้ายไปช่วยงานที่ สพม.เขต 8 ว่า เป็นความจริง แต่ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการถูกลงโทษทางวินัยตามที่มีข่าว เป็นการให้ตนไปช่วยสานต่อโครงการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเท่านั้น