เปิดจดหมายสั่งเสียของ นพ.หลี่ เหวินเหลียง จักษุแพทย์ของโรงพยาบาลกลางอู่ฮั่น ผู้เปิดโปงไวรัสโคโรนาพันธุ์ใหม่ ที่เสียชีวิตจากไวรัสมรณะดังกล่าว ได้เขียนถึงคนใกล้ชิด พร้อมให้กำลังใจชาวอู่ฮั่นแล้วทุกอย่างจะผ่านไป
เมื่อวันที่ 17 ก.พ. เพจ “คนบ้าหนังสือ - Madman Books” ได้ระบุข้อความ จดหมายสั่งเสียของ จักษุแพทย์ของโรงพยาบาลกลางอู่ฮั่น นพ.หลี่ เหวินเหลียง ที่เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เมื่อวันที่ 7 ก.พ. สำหรับ นายแพทย์ หลี่ เหวินเหลียง เป็นบุคคลที่มีความสำคัญในการตรวจพบโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ โดยเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม เขาสังเกตพบคนไข้หลายคนมีอาการป่วยคล้ายโรคซาร์ส ซึ่งเคยแพร่ระบาดในช่วงปี 2002-2003
จากนั้นในวันที่ 30 ธันวาคม นพ.หลี่ เหวินเหลียง ได้เตือนกลุ่มเพื่อนแพทย์ด้วยกันผ่านกรุ๊ปแชตทางออนไลน์เกี่ยวกับโรคระบาดตัวใหม่ โดยแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยและชุดป้องกัน ขณะเดียวกันก็ได้แชร์ข้อความจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่นที่แถลงยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดใหม่ 27 เคสภายในเมืองอู่ฮั่น ทั้งหมดเชื่อมโยงจากตลาดอาหารทะเลแห่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม นพ.หลี่ และแพทย์คนอื่นๆอีก 7 ราย ที่แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาด ถูกตำรวจท้องถิ่นเรียกไปพบ โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้กระจายข่าวลือและเผยแพร่ข้อมูลปลอมเรื่องไวรัสระบาด และบีบให้ลงนามในหนังสือฉบับหนึ่งซึ่งให้สัญญาว่าจะไม่แพร่กระจายข่าวเกี่ยวกับโรคระบาดนี้อีก กระนั้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศาลสูงของจีนพิพากษาว่าเหล่าคณะแพทย์ที่ออกมาแฉเรื่องไวรัสโคโรนานั้นได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่อย่างไม่เหมาะสม เขาถูกพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระหว่างให้การรักษาคนไข้รายหนึ่งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และสุดท้ายก็จากไปอย่างสงบ ท่ามกลางเสียงสรรเสริญจากผู้ใช้อินเตอร์เน็ตชาวจีนที่ยกย่องให้เขาเป็นวีรบุรุษ โดยเนื้อหาในจดหมายสั่งเสียของ นพ.หลี่ ได้ระบุว่า
“ผมคิดว่าผมจะหายป่วย เสียดาย ทำให้พวกเราผิดหวังแล้ว ในวาระสุดท้ายของชีวิตนี้ ผมมีสิ่งที่อยากพูดมากเหลือเกิน อยากพูดให้ลูกเมียพ่อแม่ญาติมิตรเพื่อนร่วมงานฟัง อยากพูดให้ทุกคนที่รู้จักและไม่รู้จักฟัง จริงๆ นะ ไม่เคยมีห้วงยามใดที่ผมรู้สึกว่าชีวิตคนคนหนึ่งนี้ช่างล้ำค่า แต่ก็แสนจะเปราะบาง ผมอาลัยเหลือเกินในความสุขความหอมหวานของทุกฉากที่ผ่านมาในชีวิต หรือแม้แต่ความสูญเสียความเจ็บปวดและความแค้นเคืองทุกครั้ง
มีชีวิต ดีกว่าอะไรทั้งสิ้น ทว่าบัดนี้ มันจะตามผมไปสู่สวรรค์ แต่ผมไม่ยินดี แม้จะได้ไปสวรรค์ ผมก็อยากอยู่ในโลกมนุษย์ เจย๋ที่รัก ... ลาก่อนชั่วนิรันดร์! เธอคงไม่ได้พบฉันครั้งสุดท้าย อย่าร้องไห้ ฉันจะจดจำหน้ายิ้มแย้มของเธอตลอดไป ต่อจากนี้ ไม่ว่าลมฝน เธอจะเดินอย่างยากลำบากไปตามลำพัง เพียงไม่รู้ว่า เมื่อเธอป่วย ไม่มีฉันอยู่ข้างกาย ใครจะดูแลเธอ ฝนตก ขึ้นรถประจำทางไม่ได้ ใครจะรับเธอกลับบ้าน เลี้ยงลูกเหนื่อย ใครช่วยผลัดเปลี่ยน ยังอีก เธอมีครรภ์ เดินเหินลำบาก ใครคอยดูแล ... พอคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ฉันยิ่งปวดร้าว! ฉันคิดว่าหรือสวรรค์ต้องการชีวิตฉันเพื่อแลกกับความปลอดภัยเป็นสุขชั่วชีวิตของพวกเธอแม่ลูก หากเป็นเช่นนี้ ฉันก็สบายใจ คอยฤดูใบไม้ผลิมา ลูกคลอด อย่าลืมบอกฉันสักคำในฝัน เธอตั้งชื่อลูกเอง อย่าให้ไม่น่าฟังเกินไปก็ใช้ได้
ลูกพ่อ ... เมื่อลูกรู้ข่าวพ่อจากไป ลูกต้องอดทนเยี่ยงลูกผู้ชาย อย่าร้องไห้! พ่อไม่อยู่แล้ว ลูกเป็นลูกผู้ชายตัวน้อยในบ้าน ต้องดูแลแม่ ปู่ ย่า เหมือนที่พ่อทำ ต่อไปดูแลน้องชาย ลูกอยากให้พ่อพาไปเที่ยวไห่หนันตอนตรุษจีน ขอโทษด้วยลูก พ่อต้องผิดสัญญาแล้ว! แต่ไม่เป็นไร ไว้ผ่านระยะผิดปกติช่วงนี้ไป ปู่ย่ากับแม่จะพาลูกไปเที่ยวชมทิวทัศน์สวยงามทั่วประเทศ ลูกเคยพนันกับพ่อว่า ต่อไปจะหล่อกว่าสูงกว่าเก่งกว่าพ่อ นั่นเป็นเรื่องแน่นอน! พ่อยอมแพ้ ลูกพ่อ ลูก 5 ขวบแล้ว ลูกต้องเชื่อฟังแม่ เป็นเด็กดีที่รู้เรื่อง กล้าหาญ ซื่อสัตย์ รักเรียน ใจดี เที่ยงตรง พ่อภูมิใจในตัวลูก ลูกพ่อ ลูกก็ต้องภูมิใจในตัวพ่อด้วยแน่นอน เพราะพ่อก็กล้าหาญมากซื่อตรงมาก วันหนึ่งข้างหน้า ลูกจะเข้าใจ
พ่อ แม่ ... ลูกไม่กตัญญู ไม่สามารถเฝ้าดูแลข้างเตียงอีกแล้ว บุญคุณที่เลี้ยงดู คงต้องตอบแทนชาติหน้า! ยกโทษให้ลูกด้วยที่ไปโดยไม่ลา ภัยธรรมชาติภัยมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ชีวิตที่เหลือ พ่อแม่อาจเป็นทุกข์ทรมานจากการคิดถึงลูก ลูกไม่อยากให้พ่อแม่เป็นเช่นนี้ ลูกอยากให้พ่อแม่สบายใจ ลูกไม่อยู่แล้ว พ่อแม่ยังมีหลานมีสะใภ้อยู่นะ เห็นพวกเขา ก็เหมือนเห็นลูก พ่อ แม่ รู้ว่าพ่อแม่หายดีแล้ว ลูกดีใจมาก อย่าเสียใจ ให้ลูกไปอย่างไร้กังวล
เพื่อนๆ ทุกคน ... ผมเสียดายหมื่นเสียดาย ผมคิดว่าตัวเองยังหนุ่ม จะต้องผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ เดิมคิดว่าเมื่อหายป่วย จะอาสาสมัครไปรบกับเชื้อโรคร้ายที่แนวหน้า ใครจะรู้ เพียงสะเพร่านิดเดียว หมิ่นศัตรูมากเกินไปจนแพ้ยับ ถ้าไม่มีโรคระบาดครั้งนี้ ถ้าพวกเราสามารถรอดจากเคราะห์ครั้งนี้ ผมต้องชวนพวกคุณไปหากินของอร่อยให้ทั่ว ลิ้มรสลูกเชอร์รีชั่งละ 158 หยวนที่เสียดายเงินไม่เคยยอมซื้อนั่น ชวนพวกคุณไปดูคอนเสิร์ต ...
แต่ว่า 'ถ้า' ก็ยังเป็น 'ถ้า' ไปตลอดกาล ผมไม่เคยเสียใจที่เป็นหนึ่งในแปดที่ “ปล่อยข่าวลือ” และก็ไม่เคยรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นยิ่งใหญ่ นั่นคือปฏิกิริยาโดยสัญชาตญาณของคนธรรมดาคนหนึ่งเมื่อเจอสิ่งที่จะกลายเป็นหายนะ ผมไม่ใช่วีรบุรุษ ผมเป็นเพียงจักษุแพทย์ธรรมดาคนหนึ่ง ผมไม่คิดจะไปสืบสาวว่าใครถูกใครผิด และขอให้พวกคุณก็ไม่ต้องไปสืบสาวเอาเรื่อง การณ์มาถึงเพียงนี้ ถูกผิดไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว ความจริงกับความเท็จก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญที่สุดสำหรับเราคือ สามัคคีเป็นหนึ่งเดียวร่วมกันพิชิตภัยร้ายตรงหน้า
เวลานี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชะตากรรมของชนชาติหนึ่ง ถูกผิดเกียรติยศอัปยศของบุคคลนั้น ผมทิ้งไปนานแล้ว ผมเชื่อในบ้านเมืองของเรา และขอให้พวกเราเชื่อด้วย ศรัทธาอยู่ บ้านเมืองก็อยู่ บ้านเมืองอยู่ เราก็อยู่ ไม่มีฤดูหนาวใดไม่ผ่านพ้น ไม่มีฤดูใบไม้ผลิใดไม่มาถึง ผมเชื่อว่าบ้านเมืองจะคืนอู่ฮั่นให้พวกคุณ และคืนพวกคุณให้อู่ฮั่น
ลาแล้ว ญาติมิตรของผม ลาแล้ว โรงพยาบาลของผม ลาแล้ว ปิตุภูมิของผม 35 ปีผ่านไปไร้ประโยชน์ ช่างสั้นแต่ก็แสนยาว ชีวิตนี้แม้เสียใจเสียดาย แต่โลกมนุษย์มีค่าควรอยู่ ผมอาลัยนักแล้ว คอยให้อู่ฮั่นผ่านด่านนี้ไป คอยให้ดอกซากุระที่มหาวิทยาลัยอู่ฮั่นบานสะพรั่ง คอยให้ท้องถนนของอู่ฮั่นคนคลาคล่ำ อย่าลืมส่งข่าวบอกผมบนฟ้าด้วย ผมอยู่กับพวกคุณตลอดไป! ..”