ยังคงจำกันได้ว่า เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๖ ได้เกิดเรื่องระทึกใจและสะเทือนอารมณ์คนไทย เมื่อมีชาวกัมพูชากลุ่มหนึ่ง ถูกปั่นหัวจนเกิดความโกรธแค้นคนไทยอย่างบ้าคลั่ง บุกเข้าเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ งัดป้ายสถานทูตและธงไทยมาเผา เหยียบย่ำพระบรมฉายาลักษณ์ บริษัทห้างร้านและโรงแรมของคนไทยถูกเผา คนจำนวนพันตามล่าคนไทยเพื่อทำร้ายและรูดทรัพย์ รัฐบาลไทยต้องส่งหน่วยรบพิเศษพร้อมรถยนต์หุ้มเกราะ พร้อมเครื่องบินเข้าไปรับคนไทยกลับบ้าน ด้วยความงงงันว่าเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ในที่สุดก็ทราบสาเหตุว่าเกิดจากเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว ปั่นหัวคนเพื่อหวังผลทางการเมือง
เมื่อเริ่มขึ้นปีใหม่นั้น มีข่าวแปลกออกมาว่า เขมรจะทวงคืนปราสาทตาเมือนธมและสต๊กก๊กธม ในจังหวัดสระแก้ว ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๘ และบูรณะมาตลอด
กล่าวกันว่าเป็นการปล่อยข่าวจากพรรคฝ่ายค้านของนายสม รังสี ซึ่งต้องการสร้างกระแสชาตินิยมเป็นคะแนนให้พรรคสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ในเดือนกรกฎาคมนั้น ข่าวนี้ทำคะแนนให้พรรคที่เป็นเจ้าของความคิดพอสมควร
พรรคการเมืองคู่แข่งจึงต้องหาทางสร้างกระแสทำคะแนนบ้าง
ต่อมาในวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๖ ก็มีข่าวในหนังสือพิมพ์ “รัศมีอังกอร์” ลงข่าวว่าดาราสาวไทย “กบ” สุวนันท์ คงยิ่ง ให้สัมภาษณ์ในทีวีช่องหนึ่ง ตอบผู้สัมภาษณ์ที่ถามว่าเธอเกลียดอะไรมากที่สุดในโลก กบ สุวนันท์ บอกว่า เกลียดคนเขมรเหมือนเกลียดหมา เพราะชาวเขมรขโมยนครวัดไปจากไทย เมื่อถามว่าเธอจะเดินทางไปกัมพูชาหรือเล่นละครที่กัมพูชาเป็นผู้สร้างหรือไม่ ดาราสาวไทยก็บอกว่าจะเล่นก็ต่อเมื่อเขมรยอมคืนนครวัดให้แก่ไทย
นสพ.รัศมีอังกอร์เป็นหนังสือพิมพ์เล็กๆ มีคนอ่านไม่เท่าไหร่ ข่าวนี้เลยจุดไม่ติด ต่อมาในวันที่ ๒๖ มกราคม นสพ. “เกาะสันติภาพ เดลี่” ซึ่งเป็นหนังสือขายดีของเขมร ก็เลยต้องถ่ายทอดจาก นสพ.รัศมีอังกอร์ไปกระพือต่อ ทีนี้เลยได้ผล
ยังมี นสพ.กัมพูชาใหม่ รับลูกเสนอเป็นข่าวใหญ่ต่อมาว่า นักศึกษา ๓ มหาวิทยาลัยในกรุงพนมเปญ รวมทั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาติ ได้ออกแถลงการณ์ประณามดาราสาวไทย รับกับการเสนอข่าวกุของหนังสือพิมพ์ โดยไม่ได้วินิจฉัยความเป็นไปได้ของข่าว
เป็นที่รู้กันว่า สุวนันท์ คงยิ่ง เป็นดารสาวไทยที่ได้รับความนิยมจากคนเขมรอย่างคลั่งไคล้ และระดับการศึกษาของเธอก็ขั้นปริญญา คงไม่ปัญญาอ่อนไปด่าคนเขมรที่นิยมในตัวเธออย่างท่วมท้นแบบนั้น ตรงกันข้าม เธอจะต้องรักคนเขมรอย่างมากด้วย ที่นิยมในตัวเธอ สนับสนุนความเป็นดาราของเธอ ซึ่ง กบ สุวนันท์ ได้แถลงทั้งน้ำตาว่า เธอไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับคนเขมรแบบนั้นเลย ทั้งยังอยากไปชมนครวัดสักครั้งด้วย ถ้าหากเธอพูดก็น่าจะบอกให้ชัดเจนว่าเธอพูดที่ไหน เมื่อไหร่ จะได้เอาเทปมาพิสูจน์กัน
เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ ในวันที่ ๒๗ มกราคม สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ไปปราศรัยหาเสียงที่จังหวัดกัมปงจาม บ้านเกิดของนายสม รังสี กล่าวแสดงความไม่พอใจในคำให้สัมภาษณ์ของดาราสาวไทย และว่าเธอไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าต้นหญ้าที่ขึ้นรอบนครวัด พร้อมทั้งเรียกร้องให้คนกัมพูชามีความพอใจในวัฒนธรรมของตน โดยระบุว่าชาวบ้านหลายคนไม่ยอมประดับพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์และพระราชินีกัมพูชา หรือแม้แต่ภาพพ่อแม่ของตน แต่กลับนำรูปของสุวนันท์ คงยิ่งมาติดแทน ทั้งยังประกาศว่าได้ออกคำสั่งให้งดฉายละครโทรทัศน์ของไทยเรื่อง “ลูกไม้หล่นไกลต้น” ที่มี กบ สุวนันท์แสดงไปแล้ว
ในวันที่ ๒๙ มกราคม นายเหมา อาวุธ ประธานสมาคมโทรทัศน์กัมพูชา ได้แถลงกับผู้สื่อข่าวว่า ในวันที่ผ่านมา คณะของผู้บริหารสถานีโทรทัศน์กัมพูชามีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ทุกสถานีหยุดแพร่ภาพออกอากาศรายการโทรทัศน์ของไทยทั้งหมดไว้ก่อน
เอาข่าวลือไปประชุม แล้วคนที่อยู่ในระดับผู้บริหารชั้นสูง ก็ยกมือพรึบพรับพร้อมเพรียงตามแผน
ในเช้าวันที่ ๒๙ นั้น มีนักศึกษาประชาชนกว่า ๕๐๐ คนไปชุมนุมกันที่หน้าสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวุฒิสภา และห่างจากกระทรวงมหาดไทยไม่ถึง ๑๐๐ เมตร ผู้ชุมนุมซึ่งเชื่อกันว่าเป็นม็อบจัดตั้งได้ชูป้ายด่ากบ สุวนัน์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ต่อมาก็ได้มีการนำธงชาติไทยมาเหยียบย่ำและจุดไฟเผา นายชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ เอกอัครราชทูตไทย เห็นว่าเหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจ มีตำรวจยืนดูอยู่ไม่กี่คน จึงโทรศัพท์ไปหาพลเอก เตีย บันห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอกำลังสารวัตรทหารมาคุ้มครอง แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธ อ้างว่าตำรวจคุ้มครองได้
ช่วงบ่ายสถานการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น มีการงัดป้ายสถานทูตไทยไปเผา ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้เจ้าหน้าที่ไทยที่ถูกกักตัวอยู่ในสถานทูต จึงได้โทรศัพท์ไปถึงพลเอก เตีย บันห์อีกถึง ๓ ครั้ง และนายกฯทักษิณ ชินวัตร ยังได้โทรศัพท์สายตรงถึงสมเด็จฮุนเซนขอให้ช่วยดูแลคนไทย ซึ่งก็ได้รับคำรับรอง แต่ประมาณ ๑๗.๐๐ น. ผู้ประท้วงหลายร้อยคนลุกฮือเข้าไปในสถานทูตและทำลายข้าวของ ท่านทูตได้เรียกเจ้าหน้าที่สถานทูตให้หลบไปอยู่ในบ้านพักด้านหลัง ผู้ชุมนุมก็ตามไปอีก เจ้าหน้าที่สถานทูต ๑๔ คนต่างปีนรั้วหนีตายลงในแม่น้ำ บางคนก็ได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่มีคนไทยเอาเรือมารับไปพักที่โรงแรมรอยัลพนมเปญ ขณะหนีก็เห็นไฟลุกขึ้นในสถานทูตแล้ว ต่อมาผู้ช่วยทูตทหารได้มารับท่านทูตไปพักที่บ้านพัก เจ้าหน้าที่บางส่วนยังพักที่โรงแรมต่อไป แต่ต่อมาทั้งโรงแรมโรยัลพนมเปญและบ้านพักผู้ช่วยทูตทหารก็ไม่รอด ถูกเผาวอดทั้ง ๒ แห่ง ต้องหนีตายกันต่อไป
หลังจากเผาสถานทูตไทยโชติช่วงแล้ว ม็อบมอเตอร์ไซค์ก็ตะเวนเผาโรงแรมและบริษัทห้างร้านของคนไทย บรรดาคนไทยต้องหนีตายกันหัวซุกหัวซุน หลายคนถูกปล้นรูดทรัพย์เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่ถูกอาศัยโอกาสไปด้วย พวกโจรได้สมทบเข้าปล้นและงัดแงะทรัพย์สินของคนไทย โดยไม่มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาดูแล
เป็นที่รู้กันว่าทั้งทหารและตำรวจของประเทศนี้มีความเด็ดขาดและเหี้ยมหาญ ไม่น่าเชื่อว่าชาวบ้านจะกล้าออกมาจับกลุ่มก่อการและขี่มอเตอร์ไซค์เป็นกลุ่มตระเวนไปเผาทั่วเมืองเช่นนี้ได้ เหมือนเป็นเมืองเถื่อนไร้อำนาจรัฐปกครอง
นายอดิสัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเดินทางจะไปประชุมการค้ากับรัฐมนตรีพาณิชย์ของกัมพูชา ไปถึงสนามบินพนมเปญเมื่อเวลา ๑๘.๓๐ น. แต่ไม่สามารถออกจากสนามบินได้ ต้องขอยกเลิกการประชุมและบินกลับ
คณะกรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ๓๐ คน เดินทางไปดูงานการสร้างทางสายใหม่ของกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลไทยสนับสนุนการก่อสร้าง ๘๐๐ ล้านบาท ในตอนกลางวันก็ยังพูดคุยกับคณะกรรมาธิการของกัมพูชาถึงข่าวลือของกบ สุวนันท์ ประธานรัฐสภากัมพูชาบอกว่าไม่กังวลกับคำพูดของดาราสาว เพราะเป็นความเห็นส่วนตัว แต่น่าจะมาจากการเมืองภายในของกัมพูชามากกว่า แต่พอค่ำเหตุการณ์ก็รุนแรงจนเป็นเมืองเถื่อน กรรมาธิกาของไทยทั้งคณะต้องรีบเผ่นออกจากกรุงพนมเปญโดยรถยนต์ มุ่งเข้าเขตไทย
ในเช้าตรู่ของวันที่ ๓๐ มกราคม ในทันทีที่ฟ้าสาง เครื่องบิน ซี ๑๓๐ ของกองทัพอากาศไทย ๕ เครื่องก็ออกจากสนามบินดอนเมือง มุ่งสู่สนามบินโปเซนตง ที่กรุงพนมเปญ พร้อมด้วยหน่วยรบพิเศษของกรมอากาศโยธิน ๓๐ นาย ยานยนต์หุ้มเกราะ ๒ คัน รถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ๔ คัน เพื่อไปคุ้มกันความปลอดภัยของคนไทยหลายร้อยคนที่หนีตายมารออยู่ที่สนามบิน และรับพวกเขากลับบ้าน ทั้งยังมีเฮลิคอปเตอร์ติดปืนกล ๒ ลำ เฮลิคอปเตอร์แบบซีนุค ๒ ลำ เครื่องบินไอพ่น เอฟ ๑๖ อีก ๘ เครื่อง บินลาดตระเวนอยู่ชายแดน พร้อมที่จะเข้าไปช่วยได้ภายใน ๕ นาที
ส่วนทางทะเล ร.ล.จักรีนฤเบศร ซึ่งเป็นเรือบันทุกเครื่องบิน ร.ล.พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ร.ล.สุโขทัย ร.ล.ศรีราชา ไปลอยลำในน่านน้ำสากลใกล้เกาะกง เมื่อประสานไปทางกัมพูชาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปรับคนไทยที่ต้องการกลับประเทศได้ แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงทางด้านนี้
ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ไทยส่งหน่วยรบพิเศษ พร้อมยานยนต์หุ้มเกราะ และเครื่องบิน ซี ๑๓๐ เข้าไปช่วยและคุ้มครองคนไทยในครั้งนี้ ร.ต.สมพงษ์ ชูมาก ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า สามารถทำได้โดยชอบธรรม ในทางปฏิบัติแล้วต้องประสานไปก่อน แต่ถ้าเขาไม่ยอม การส่งคนและเครื่องบินของเราเข้าไป ก็สามารถทำได้โดยไม่ผิดกติกาสากล เพราะการเข้าไปมีวัตุประสงค์ที่ชัดเจนว่า เป็นการ “ปกป้อง” มิใช่ “คุกคาม” แต่การปฏิบัติการของกองทัพอากาศไทยครั้งนี้ พลเอก วิชิต ยาทิพย์ ประธานที่ปรึกษากองทัพบก เป็นผู้ประสานและได้รับความร่วมมือจาก พลเอก เตีย บันห์ เรียบร้อยแล้ว
สรุปความเสียหายจากการจราจลในกรุงพนมเปญครั้งนี้
นอกจากสถานทูตไทยแล้วมี ห้างร้าน โรงแรม สถานีโทรทัศน์ของคนไทยถูกเผาทำลาย คนไทยที่เผชิญเหตุการณ์ต้องอกสั่นขวัญแขวนที่สุดในชีวิต แต่ก็เหมือนปาฏิหาริย์ที่เอาชีวิตรอดกลับมาได้ทุกคน หลายคนก็รอดชีวิตเพราะมีชาวเขมรที่ไม่ตกเป็นเหยื่อของการปั่นหัวช่วยชีวิตไว้
ส่วนในประเทศไทย ตั้งแต่กลางดึกของคืนวันที่ ๒๙ มกราคม ทันทีที่ทีวีแพร่ภาพจากสำนักข่าวรอยเตอร์ มีผู้หญิงกัมพูชาคนหนึ่งเหยียบย่ำพระบรมฉายาลักษณ์ คนไทยเลือดร้อนต่างออกจากบ้านมุ่งไปที่สถานทูตกัมพูชาที่ถนนราชดำริ และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆโดยมิได้มีการนัดหมาย ยิ่งภาพหมิ่นที่เคารพสักการะของคนไทยแพร่ออกไปทางอินเตอร์เนต ชาวเวบหลายคนถึงกับหลั่งน้ำตาและมุ่งไปที่สถานทูตกัมพูชาด้วยความเคียดแค้น แต่ถูกเจ้าหน้าตำรวจกันไว้ไม่ให้เข้าใกล้รั้วสถานทูต
๑๓.๓๐ น.ของวันที่ ๓๐ มกราคมมีการเรี่ยไรเงินกันไปซื้อธงชาติกัมพูชาและโลงศพมาเผาท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องและเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี ทั้งยังมีการพิมพ์รูปการกระทำของผู้หญิงกัมพูชาแจกกับผู้ชุมนุมและคนที่ผ่านไปมา ทำให้ผู้ชุมนุมคับคั่งและร้อนแรงขึ้น จะฝ่าวงล้อมของตำรวจเข้าไปในสถานทูตกัมพูชาให้ได้ จนในเวลา ๑๗.๐๐ น. พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผบ.ตร.ได้เดินทางมาถึง และกล่าวกับผู้ชุมนุมทางเครื่องขยายเสียงว่า นายอาสา สารสิน เลขาธิการสำนักพระราชวัง ได้แจ้งมาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่า เราเป็นพระเอกแล้ว ในสายตาของชาวโลกเราเป็นฝ่ายถูก อย่าทำตัวให้เป็นผู้ร้ายไปเลย ให้ประชาชนอยู่ในความสงบ อย่าทำอะไรรุนแรง ขอขอบใจในความจงรักภักดี และยังรับสั่งว่า ได้ยินคนไทยที่มาชุมนุมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี รู้สึกซาบซึ้งและขอบใจ
เหตุการณ์ที่กำลังจะลุกลามรุนแรง ก็สงบลงทันที ผู้ชุมนุมต่างสลายตัวกลับบ้าน แต่ก็ยังมีผู้ไม่ทราบเรื่องทยอยมาชุมนุมกันอีกราว ๔๐๐-๕๐๐ คน จนกระทั่งหลังจากร่วมกันร้องเพลงชาติในเวลา ๘.๐๐ น.ของวันที่ ๓๑ มกราคมแล้ว ก็ไม่มีผู้ชุมนุมที่หน้าสถานทูตกัมพูชาอีก
การสลายตัวของผู้ชุมนุมหน้าสถานทูตกัมพูชาครั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศต่างประโคมข่าวไปทั่วโลกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณช่วยยุติวิกฤตการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาในครั้งนี้ เอเอฟพี.ยังรายงานด้วยว่า พระเจ้าอยู่หัวของไทยทรงคลี่คลายวิกฤคการณ์เมื่อครั้ง “พฤษภาทมิฬ” มาแล้ว
ส่วนกัมพูชาที่ปลุกปั่นประชาชนจนเผาสถานทูตไทย ภาพที่ออกไปสู่สายตาประชาคมโลก ก็คือเป็นดินแดนเถื่อน ไม่มีความปลอดภัย แม้แต่สถานทูตต่างประเทศที่มีสนธิสัญญาระหว่างประเทศคุ้มครอง ก็ยังไม่ได้รับความเคารพตามกฎกติกา การเผาสถานทูตไทยจึงเหมือนเผาประเทศตัวเองให้วอดวายยิ่งไปกว่าสิ่งก่อสร้างสถานทูตและสถานธุรกิจของคนไทยเสียอีก
แต่การปั่นหัวประชาชนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเช่นนี้ อย่าคิดว่าจะมีแต่กัมพูชา เหตุการณ์เมื่อครั้ง “๖ ตุลา” ของไทยก็ไม่ต่างกัน คนที่ถูกปั่นหัวจนเกิดความบ้าคลั่งอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่นับถือพุทธศาสนาพุทธจะทำกันได้ถึงขนาดนั้น เป็นที่สังเวชของชาวโลก และเป็นประวัติศาสตร์ที่คนไทยไม่อยากจำ แต่ก็ต้องจำและต้องสำนึก อย่าให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับประเทศชาติได้อีก เพราะตอนนี้ก็มีการปลุกปั่นคนให้ลงถนนเพื่อผลทางการเมืองของตัวกันอีกแล้ว