ตลาดหุ้นรับผลกระทบไวรัสโคโรนา นักลงทุนผวาฉุดดัชนีหุ้นดิ่งเหวทั่วโลก โบรกเกอร์มอง กระทบกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม-สายการบิน ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศ “ความไม่ชัดเจนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563” จะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ ยังคงสร้างความกังวลให้นักลงทุน ปรับลดน้ำหนักหุ้นท่องเที่ยว-ค้าปลีก เป็นโอกาสสะสม AOT-ERW-MINT
เมื่อปี 62 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปิดตัวลงอย่างไม่เป็นสุขนักสำหรับนักลงทุน เพราะเพิ่งได้รับบาดเจ็บต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 61 แม้ช่วงปลายปีที่แล้วโบรกเกอร์จากหลายสำนักแม้แต่กูรูหุ้นหลากหลายออกมาทำนายกันว่าปลายปีตลาดหุ้นจะกลับมาคึกคัก จนกระทั่งดันให้ดัชนีน่าจะรีบาวนด์ฟื้นกลับคืนมาบ้าง แต่ก็พลาดไปจากที่ประเมินกันไว้ ซึ่งกรอบดัชนีหุ้นที่ประเมินกันไว้จะอยู่กรอบแคบๆ มีทั้งกรอบ1,600-1,800 จุด และ 1,600-1,700 จุด นั่นเพราะมั่นใจว่านักลงทุนต่างประเทศจะกลับมา ทว่า ก็ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง โบรกเกอร์หลายรายเงียบหายไปอย่างจงใจเพราะเชื่อว่าไม่ต้องการจะประเมินภาพตลาดหุ้น
ขณะเดียวกัน ก็มีโบรกเกอร์บางสำนักมองว่าตลาดหุ้นปี 63 อาจย่ำแย่กว่าปีนี้ และดัชนีหุ้นอาจถอยลงมาอยู่ระดับ 1,450 จุด!! อย่างไรก็ตาม ปี 62 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นเผชิญผลกระทบทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก ความคาดหวังว่าหลังการเลือกตั้งวันที่ 23 มีนาคมและมีรัฐบาลชุดใหม่จะทำให้การเมืองมีเสถียรภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน แต่หลังการเลือกตั้ง สถานการณ์การเมืองกลับไม่นิ่ง รัฐบาลชุดใหม่ไม่ได้เรียกความมั่นใจนักลงทุนกลับมา ขณะที่ปัญหาสงครามการค่าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนหาข้อยุติไม่ได้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ถือเป็นปัจจัยที่กระหน่ำซ้ำให้ตลาดหุ้นระส่ำ และยังถูกซ้ำเติมด้วยเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศซบเซาสุดขีด ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนอย่างชัดเจน
ดังนั้น ปัจจัยลบที่ต้องระวังสำหรับนักลงทุน และสิ่งที่มากระทบทำให้ดัชนีตลาดหุ้นซวนเซ นั่นคือ สงครามการค้า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจภายในประเทศที่อาจทรุดหนักลงไปอีก เพราะสองปีที่ผ่านมานั้นถือเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนไม่อาจแสวงหาผลตอบแทนกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นได้เหมือนอย่างในอดีต และปี 63 นี้ก็เช่นกัน อาจไม่ได้เป็นปีที่ดีนัก
แม้ว่าตลาดหุ้นปีหนูทองเปิดตัวอย่างสดใส ดัชนีหุ้นวิ่งฉิวและทำท่าจะผ่านระดับ 1,600 จุดได้สบายๆ นักลงทุนใจชื้นและยิ้มร่า เพราะมั่นใจว่าตลาดหุ้นน่าจะผ่านสภาวะเลวร้ายมาแล้ว ทว่า ข่าวการสังหารนายพลคนสำคัญของประเทศอิหร่านในสนามบินประเทศอิรัก ทำให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางตึงเครียดขึ้นทันที ขณะที่ตลาดหุ้นทำท่าจะดีอยู่แล้ว เพราะวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมาเป็นวันที่สหรัฐฯ กับจีนได้มีการลงนามในข้อตกลงทางการค้าระหว่างกัน และนั่นถือเป็นปัจจัยบวก ทำให้มีแรงซื้อไหลทะลักเข้ามา จนดัชนีหุ้นในวันแรกที่เปิดรับศักราชใหม่พุ่งขึ้นแรง และมีแนวโน้มว่าหุ้นจะกลับเข้าสู่ขาขึ้นเต็มตัว
เพราะหากไม่เกิดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ดัชนีหุ้นคงวิ่งทะลุ 1,600 จุดไปแล้ว แต่เหตุการณ์สังหารนายพลคนสำคัญของอิหร่าน ตลาดหุ้นจึงถูกผลกระทบเข้าเต็มๆ นักลงทุนไม่มั่นใจในทิศทางตลาด เพราะไม่อาจประเมินระดับความรุนแรงในการตอบโต้ของอิหร่านได้ ส่งผลให้ราคาทองคำและราคาน้ำมัน พุ่งทะยานขึ้นทันที สวนทางกับการดิ่งเหวของตลาดหุ้นทั่วโลก และมีเพียงหุ้นกลุ่มน้ำมันเท่านั้นที่พุ่งสวนตลาดเพราะอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น
แม้ว่าผลกระทบจากสงครามการค้าคลี่คลายลง แต่ปัจจัยลบชิ้นใหม่แทรกซ้อนเข้ามา โดยชนวนสงครามระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านลุกโชนขึ้น และไม่อาจคาดหมายได้ว่าสถานการณ์จะจบลงในระยะเวลาอันสั้น หรือยืดเยื้อยาวนาน อีกทั้งการเมืองภายในประเทศที่ยังคงแทรกเป็นเนื้อร้ายอยู่เป็นระยะๆ
และแล้วยังไม่พ้นเรื่องเลวร้ายที่กล่าวมาข้างต้น โมงยามแห่งการปิดงบและแจ้งผลประกอบการงวดสิ้นปี 62 ของบริษัทจดทะเบียนของไทยก็เวียนมาอีกคำรบหนึ่ง ซึ่งกลุ่มธนาคารพาณิชย์คือกลุ่มแรกที่ต้องทยอยแจ้งงบตามประเพณี ตัวเลขผลประกอบการแบงก์พาณิชย์ไทยที่แจ้งออกมาก็ถือว่าไม่สดใสอย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะแบงก์ใหญ่อย่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย กลายเป็นเหตุให้เกิดการเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร ตามด้วยเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “โคโรนา” ที่แพร่กระจายจากเมืองอู่ฮั่น ทำให้หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวถูกถล่มตามมาอีกระลอก
ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ที่ขยับทะลุ 1,600 จุด ต้องถอยลงมาตั้งหลักใหม่อีกครั้ง เพราะปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบทั้งจากภายในและภายนอก และหลังจากจีนประกาศว่า เชื้อร้ายสายพันธุ์ใหม่ “โคโรนา” สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ ซ้ำร้ายคือมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อร้ายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เป็นหุ้นอีกหนึ่งที่นักลงทุนผวาและไม่อยากเก็บไว้ในพอร์ตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง รวมทั้งหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
และที่หนีไม่พ้นคือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ติดเชื้อร้ายตามไปด้วย โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทรุดลงกว่า 150 จุด เมื่อตรวจพบว่าชาวอเมริกันที่เดินทางกลับจากเมืองอู่ฮั่นของจีนติดเชื้อไวรัสโคโรนา และความกลัวเชื้อโรคร้าย ทำให้นักท่องเที่ยวระงับการเดินทาง ทุกคนพยายามป้องกันตัวเองโดยอยู่แต่ในบ้าน หลีกเลี่ยงที่ชุมชน สายการบินถูกกระทบ โรงแรมถูกยกเลิกการจอง สนามบินมีลูกค้าใช้บริการน้อยลง ธุรกิจทั่วโลกซบเซาลง หุ้นทั่วโลกจึงทรุดฮวบเพราะพิษเชื้อร้ายไวรัสสายพันธุ์ใหม่
ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าใครต่างตระหนกและหวาดหวั่นต่อเชื้อโรคดังกล่าว เพราะยิ่งนานวันเข้า การระบาดของโรคด้วยการมีผู้ติดเชื้อก็มีมากขึ้น รวมทั้งตัวเลขผู้ป่วยและเสียชีวิต ทุกประเทศหาทางป้องกัน และออกประกาศให้ประชาชนใส่ใจต่อการดูแลตัวเองตลอดจนการป้องกันโรคร้ายนี้ กระนั้น ความรู้สีกครึกครื้นต่อการโหมลงทุนในตลาดหุ้นจึงเป็นเรื่องที่เรียกความเชื่อมั่นได้ยากพอสมควรในโมงยามนี้