แพทย์ผู้เชี่ยวชาญไวรัสวิทยาคลินิก แจงความจริง 20 ประการ เกี่ยวกับโรคปอดบวม “อู่ฮั่น โคโรนา” ไวรัสสายพันธุ์ใหม่
วันนี้ (27 ม.ค) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต และหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาค วิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับไวรัสโคโรนา เมื่อวันที่ 25-26 ม.ค. 2563 ระบุความว่า
ความจริง 20 ประการ เกี่ยวกับโรคปอดบวม “อู่ฮั่น โคโรนา” ไวรัสสายพันธุ์ใหม่
1. โคโรนาไวรัส เป็นไวรัสขนาดใหญ่ และเป็นกลุ่มใหญ่ ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนคล้ายมงกุฎ จึงเรียกว่าโคโรนาไวรัส พบได้ทั้งในคน และสัตว์จำนวนมาก
2.โคโรนาไวรัส ที่เกิดโรคในคน แต่เดิมมี 6 ชนิด เป็นสายพันธุ์ที่พบดั้งเดิม ทำให้เกิดโรคหวัด และทางเดินหายใจอยู่เป็นประจำถิ่น แล้ว มี 4 ชนิด และอุบัติใหม่ ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ แบบเฉียบพลันคือ SARS และ MERS ซึ่งเป็นโรคที่ค่อนข้างรุนแรง มีอัตราการเสียชีวิต 10 และ 30% ตามลำดับ
3. โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือโรคปอดบวมอู่ฮั่น อุบัติใหม่ที่เมืองอู่ฮั่น ตั้งแต่กลางเดือน ธันวาคม 2019 เป็นต้นมา และวินิจฉัยได้หลังปีใหม่ ถอดรหัสพันธุกรรมสำเร็จในวันที่ 11 มกราคม 2020
4.จุดกำเนิดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ผู้ป่วยกลุ่มแรกที่พบส่วนใหญ่มีแหล่งสัมผัสจากตลาดสดที่มีการขายอาหารทะเล และสัตว์สิ่งมีชีวิต
5. โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่เช่นเดียวกันกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ มีได้ทั้งแบบไม่มีอาการ มีอาการทางเดินหายใจอักเสบแบบเฉียบพลัน จนถึงปอดบวมและโรคแทรกซ้อน
6. ระยะฟักตัวของโรค โดยทั่วไปโคโรนาไวรัสจะมีระยะฟักตัวประมาณ 2 ถึง 7 วัน ในทางปฏิบัติการเฝ้าสังเกตอาการหลังสัมผัสโรค หรือมาจากแหล่งระบาดของโรค เราจึงใช้ 2 เท่า คือ 14 วัน
7. อาการที่ต้องสงสัย คือ ผู้ที่มาจากแหล่งระบาดของโรค ร่วมกับอาการมีไข้ และอาการระบบทางเดินหายใจ เช่นมี น้ำมูก ไอ เจ็บคอ หายใจลำบาก ในรายที่รุนแรง จะมีปอดอักเสบหรือปอดบวมเกิดขึ้น และทำให้ระบบหายใจล้มเหลวถึงกับเสียชีวิตได้
8. โรคนี้สามารถติดต่อระหว่างคนสู่คนได้ จึงเกิดการแพร่กระจายได้
9. การยืนยันผลการวินิจฉัย จำเป็นต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจหาพันธุกรรมของไวรัส
10. ความรุนแรงของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จะมีความรุนแรงน้อยกว่า MERS และ SARS อัตราตายของ MERS อยู่ที่ 30% ของ SARS อยู่ที่ประมาณ 10% แต่ของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่อยู่ที่น้อยกว่า 3%
11. โรครุนแรงน้อยกว่า ดังนั้น ผู้ที่ติดเชื้ออีกจำนวนมากที่อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย ไม่ได้เป็นปอดบวมทุกราย ดังนั้นผู้ป่วยจึงสามารถเดินทางไปได้ไกล และสามารถแพร่โรค ทำให้เกิดการระบาดในวงกว้าง และสามารถระบาดได้ทั่วโลก pandemic
12. เช่นโรคระบาดทั่วไป การกระจายของโรคจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค และอำนาจในการกระจายโรค โรคที่มีความรุนแรงน้อยจะกระจายได้มากกว่า การติดเชื้อในอากาศจะได้มากกว่าการติดเชื้อด้วยการสัมผัสฝอยละออง ปอดบวมอู่ฮั่น เป็นโรคที่ติดโดยการสัมผัสฝอยละออง
13. เมื่อเป็นโรคใหม่ ทุกคนไม่มีภูมิต้านทาน จึงมีสิทธิ์ที่จะติดเชื้อได้ทุกคน ถ้าสัมผัสโรค ส่วนความรุนแรงของโรคจะขึ้นอยู่กับอายุ ในเด็กความรุนแรงของโรคจะน้อยกว่า ในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ หรือกล่าวได้ว่าความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นตามอายุนั้นเอง
14. ในการระบาดของโรค โรคจะหยุดเมื่อมีการติดเชื้อไปจำนวนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับอำนาจการกระจายของโรค ถ้าอำนาจการกระจายของโรค เท่ากับไข้หวัดใหญ่ หรือ 1 คนกระจายไปได้ 2 คน เมื่อมีผู้ติดเชื้อหรือมีภูมิต้านทานแล้วอย่างน้อย 50% โรคว่าจะสงบ แล้วหลังจากนั้นไวรัสนี้ก็จะเป็นโรคประจำถิ่น endemic หรือตามฤดูกาลต่อไป (seasonal) และการติดเชื้อจะเกิดการระบาดได้เป็นหย่อมอย่าง เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ระบาดมา 10 ปีแล้วโรคนี้ก็ยังไม่หยุด ยังมีการระบาดในนักเรียนอยู่เป็นระยะระยะในประเทศไทย
15. ในปัจจุบัน ณ วันนี้ยังไม่มียาต้านไวรัสใช้รักษา และไม่มีวัคซีนในการป้องกัน
16. การป้องกันที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย การล้างมือจะป้องกันการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” จึงยังใช้ได้เสมอในการป้องกันโรค ที่ติดต่อทางไปฝอยละออง
17. การเดินสวนกันไปมา ไม่ทำให้เกิดการติดโรคนี้ แต่การอยู่ในระยะใกล้ ในการพูดคุยหรือมีการในจาม และมีฝอยละอองกระเด็นมาถูกบริเวณใบหน้าจะทำให้เกิดการติดโรคนี้ได้ การสัมผัสจะต้องหมั่นล้างมือ
18. ผู้ที่ไม่สบายเป็นโรคทางเดินหายใจทุกราย ควรใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค สำหรับคนปกติ ถ้าต้องการป้องกันโรค การใช้หน้ากากอนามัยชนิด N95 จะต้องใช้ให้ถูกวิธี ในคนปกติถ้าใช้ถูกวิธีค่อนข้างจะอึดอัดมาก บุคลากรทางการแพทย์มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ รวมทั้งชุดในการป้องกันตัวเองไม่ให้ติดโรค
19. ในภาวะปกติที่โรคยังไม่ระบาด ควรดำเนินชีวิตแบบปกติ รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกาย ให้สม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ใครมีโรคประจำตัวก็หมั่นดูแลรักษา
20. ขณะนี้มีข่าวออกมาในสื่อสังคมมากมาย มีทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง การเสพสื่อจะต้องวิเคราะห์สังเคราะห์ ก่อนที่จะส่งต่อออกไป การตื่นตระหนกไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น การรับสถานการณ์ควรรับแบบมีสติ และรอบคอบ ใช้องค์ความรู้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา เข้ามาประกอบการ