นับตั้งแต่ ภูมิสะนะ สิริวงสา หรือ “เจี้ย แปซิฟิก” ได้เข้ามาสู่วงการบันเทิงเมืองลาว ชายคนนี้ก็เริ่มทำผลงานทางแวดวงมายามาเป็นจำนวนมาก เริ่มตั้งแต่ตั้งวงดนตรีที่มีแนวเพลงวาไรตี้ร่วมด้วยการผลิตมิวสิควีดีโอด้วยตนเอง จากนั้นก็ขยับไปเป็นนักแสดง จนในที่สุดก็ขึ้นมาเป็นผู้กำกับการแสดงและผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งความทุ่มเทของเขาก็ส่งผล เพราะหนังของเขาทุกเรื่อง ได้สร้างปรากฎการณ์และรายได้ในหนังลาวอย่างถล่มทลาย รวมถึงเรื่อง “ฮักมะย๋อมมะแย๋ม” ผลงานเรื่องล่าสุด ที่เดินหน้าต่อยอดถึงเหตุดังกล่าวด้วยเช่นกัน
คุณเริ่มสนใจในงานบันเทิงมาตั้งแต่เมื่อไหร่
เรารู้สึกว่าสนใจมาตั้งแต่ช่วงมัธยมแล้ว ก็เริ่มจากการประกวดดนตรี ทั้งๆ ที่เราก็รู้ตัวนะว่าเราเสียงไม่ดี (หัวเราะเบาๆ) จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัย เราก็ทำการประกวดดนตรีอีกครั้ง ด้วยการตั้งวงที่มีออเครสตร้าขนาดใหญ่ในการประกวดครั้งนั้น ซึ่งนับว่าเป็นความโชคดี เพราะเราได้เข้าไปสู่ในวงการบันเทิงในเวลาต่อมา ผ่านการเป็นนักร้อง-นักแต่งเพลง และทำมิวสิควีดีโอด้วยตนเอง จนกระทั่งไปเจอกับนายทุนคนหนึ่งที่เขาได้ดูงานของเรา แล้วเขาก็บอกว่า มันน่าจะต่อยอดให้มันเป็นหนังได้ เขาเลยเอาเงินมาให้เรา เราเลยมาเขียนบท ที่มีมุกตลก พอเล่นหนังเรื่องนี้แล้ว ผลตอบรับที่จะอยากดูหนังลาวของคนที่นั่น มันมีเยอะมาก ถึงขนาดที่ว่า มาซื้อตั๋วหนังตั้งแต่ตอนเที่ยง กว่าจะได้ดูก็ 5 โมงเย็นเลย เราเลยคิดว่า น่าจะมาทางสายภาพยนตร์ดีมั้ย ก็เลยตัดสินใจที่มาทำเลย
ซึ่งก่อนหน้านี้ ทั้งตัวดนตรีและเพลงก็มาควบคู่กันอยู่แล้ว
แม่น คือก่อนหน้านั้นก็จะเน้นไปทางเพลงมาก่อน เคยทำผลงานเพลงในฐานะวง ออกมา 2 อัลบั้ม หลังก็ปล่อยมาอีก 3 ซิงเกิล ซึ่งอยู่ในอัลบั้มรวมร็อคสตาร์โปรเจกต์ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ทยอยปล่อยเป็นซิงเกิลประมาณ 30 เพลงได้ จากนั้นก็มาที่สายหนังอย่างเดียวเลย อาจจะมีร้องบ้างก็ตอนเพลงประกอบหนังประมาณนั้น ซึ่งตอนที่ทำงานเพลงนั้น ถามว่าเพลงของเราเป็นสไตล์อะไร เราก็จะบอกว่าไม่มีสไตล์นะ อยากทำและอยากร้องแนวไหนก็ตามใจเราเลย จะแนวร็อค แนวแร็ป หรือ แนวลูกทุ่ง เรียกว่าเป็นแนวรวมๆ มากกว่า
อิทธิพลในการกล้าแสดงออกของคุณคือใครครับ
มีอยู่สองคน นั่นคือ โจวซิงฉือ กับ หม่ำ จ๊กมก ครับ อย่างคนแรกถือว่าเป็นไอดอลในดวงใจเลย เราติดตามเขามาตั้งแต่เรื่องพยัคฆ์ร้าย คัง คัง โปย แล้ว เราก็เดินรอยตามเขาตั้งแต่เริ่มต้นเลย ทั้งในเรื่องการเขียนบท หรือ ลักษณะท่าทางของเขาที่เป็นตลกหน้าตาย อย่างผลงานต่างๆ ของเขา เช่นแนวดราม่า กำลังเล่นจังหวะนี้อยู่ อยู่ๆ ก็มีมุกตลกมาจากไหนไม่รู้มาเฉยเลย ซึ่งเรานำอิทธิพลตรงนี้ให้มาเป็นเอกลักษณ์ของเราเลย ให้คนดูกำลังซึ้ง แล้วหักจังหวะคนดูเลย ซึ่งคนดูจะชอบมาก
ส่วนอ้ายหม่ำ เราติดตามเขามาตั้งแต่ ‘แหยม ยโสธร’ มันจะเป็นสไตล์มุกที่ปูมาเรื่อยๆ แล้วค่อยเก็บรายละเอียดของมุก ไม่ใช่ปล่อยมุกแล้วก็ไป แล้วหนังสไตล์อ้ายเขาจะเป็นมุกที่อยู่เส้นเรื่อง เราเลยชอบพี่เขา อีกทั้ง เราเคยได้ร่วมงานกับเขา รับรู้ถึงพรสวรรค์ทางด้านตลกของเขา โดยเฉพาะมุกสด ที่พี่เขาจะไม่มีการนัดแนะเลย มาปุ๊บ เล่นปั๊บ เราเลยยิ่งประทับใจ
แล้วเรามาประยุกต์ให้เข้าสไตล์ของเราด้วย ก็คือ เราจะชอบให้คนดูอินเข้าไปในบทลึกๆ เราก็กระชากดึงมุกกลับมา ประมาณว่า เราอยากให้คนดูหนังของเรา เหมือนกับว่ากำลังเล่นเครื่องเล่นโรลเลอร์ โคสเตอร์น่ะครับ มีความดิ่งไปมา (หัวเราะเบาๆ)
จากการเป็นนักร้อง แล้วเปลี่ยนมาเป็นนักแสดงและผู้กำกับตามลำดับ มีความยาก-ง่ายในแต่ละสถานะยังไงบ้างครับ
ในความยากง่าย เรารู้สึกว่ามันเป็นความเคยชินมากกว่า เพราะว่าเราทำงานมาหลายอย่าง ทั้งการแต่งเพลงเอง และเขียนบทกับกำกับมิวสิควีดีโอเอง ซึ่งอย่างหลัง เราก็รู้สึกถึงการทำหนังเล็กๆ นะ ต่างกันที่รายละเอียดที่มีน้อยกว่าหนัง ซึ่งพอเรามีความชำนาญจากตรงนั้นมาแล้ว พอเรามาทำหนัง มันก็มีความยากในระยะแรก แต่เราก็ปรับตัวกับมันได้ในเวลาต่อมา จากนั้นก็ค่อยๆ เรียนรู้ทีละนิดๆ จนพอเราได้ทักษะประมาณนึงแล้ว ก็ทำให้เราอยู่ตัวเลย
การที่คุณมีสถานะอย่างนี้ ก็ทำให้คุณกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างด้วยมั้ย
คนที่นั่น เขาจะรู้จักเราทั้งในตัวเพลง และเรื่องหนัง ประมาณนั้น แต่ในระยะหลัง เขาจะรู้จักเราในฐานะคนทำหนังและนักแสดง ซึ่งน่าจะรู้จักจากอย่างหลังมากกว่า อีกทั้งหนังที่เราทำ ก็จะเจาะไปที่กลุ่มวัยรุ่นเป็นหลัก แต่ก็เป็นเรื่องแปลกเช่นเดียวกัน ที่มีทั้งเด็กประถม และ มัธยม ก็จะไปดูหนังของเราอีก เราเลยก็มาคิดว่า หนังของเราอาจจะเป็นหนังครอบครัวไปแล้วก็ได้มั้ง เพราะถ้าเด็กๆ อยากดูหนังของเรา เขาก็จะชวนคนในครอบครัวให้พาไป ปรากฏว่าคนรุ่นนี้ก็ชอบอีก ก็เกิดการเล่าต่อ มันเลยกลายเป็นว่า สามารถดูได้ทุกเพศ ทุกวัย ทำให้งานในระยะหลัง เราก็ทำแนวครอบครัวแทรกไปในหนังด้วย ก็ทำให้มาคิดว่า หนังของเรานั้น ไม่ใช่แค่หนังตลกอย่างเดียวแล้ว
จากการที่หนังของคุณประสบความสำเร็จทั้งหมด อยากฟังสถานะของคุณในบ้านเกิดหน่อยครับว่าเป็นยังไงบ้าง
เวลาที่คนลาวเจอคนดังหรือคนมีชื่อเสียง เขาอาจะไม่แสดงอาการคลั่งไคล้มากนัก แต่ถ้ามีคนเปิดก่อน ก็จะมีคนตามมาเรื่อยๆ เวลาที่เรามองมันก็รู้สึกน่ารักดี ซึ่งพวกเขาก็จะให้เกียรติความสิทธิส่วนบุคคล แต่เขาก็จะไม่กล้ามาทักเรามากนัก อย่างตามงานเปิดตัวหนังในครั้งต่างๆ พวกเขาก็จะมาถ่ายรูปเราแล้วก็เอาไปอัปโหลดลงโลกออนไลน์ เหมือนกับมันเป็นเทรนด์ว่า ใครยังไม่มาดูหนังเรื่องนี้จะเชยนะ
การที่คุณทำหนังมาพอสมควร ในฐานะที่คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของวงการบันเทิงลาว คุณรู้สึกว่ามีการแบกความคาดหวังมั้ยครับ
ถ้าถามถึงสถานะนี้ เราก็ไม่มั่นใจนะ แต่เราก็เห็นน้องๆ รุ่นใหม่ เริ่มมีความกล้าที่จะผลิตงาน อยากจะเป็นแบบเรา น้องๆ หลายคน ก็มาถามเราว่า ต้องทำยังไงบ้าง ซึ่งเราก็บอกพวกเขาว่า ถ้าอยากทำก็ทำไปเลย แม้ว่าจะไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดตรงนี้ แต่ถ้ายังไม่กล้าลอง มันก็จะเกิดความไม่กล้าไปตลอด อย่างตอนที่เราทำหนังเรื่องแรก เรายังจำถึงความรู้สึกตรงนี้ได้ มีความกังวลต่างๆ แต่พอเราได้ทำแล้ว เราก็ได้เรียนรู้ว่า ถ้าไม่ยอมก้าวออกมา ก็จะไม่ได้เรียนรู้ว่ามันเป็นยังไง
คือตอนที่จะทำหนัง เราก็มีเงินอยู่จำนวนหนึ่งที่ได้มาจากการทำงานก่อนหน้านี้ ตีเป็นเงินไทยประมาณ 5 แสนบาท เราเอาเงินตรงนี้มาทำหนัง แต่ก็มีความระแวงอย่างที่บอกไปนะครับ แถมเราก็ไม่ได้เรียนภาพยนตร์มาด้วย มันก็จะเกิดความกังวลต่างๆ แต่ก็กล้าทำมัน ซึ่งในระหว่างทำนั้น เราก็ไม่รู้ว่าตอนที่ทำมันเป็นบวกหรือลบ เราต้องหาคำตอบตรงนี้ ซึ่งพอหนังฉายออกไป หนังประสบความสำเร็จ ซึ่งเหมือนกับปลดล็อคความสามารถของตัวเองได้ ซึ่งแม้ว่าทำหนังแล้วเจ๊ง มันก็ทำให้เราได้รู้ว่า เราทำตรงนี้แล้วมันไม่เวิร์ค เราก็ไปทำอย่างอื่นก็ได้
ขณะเดียวกัน หนังของคุณก็ได้ฉายที่ภาคอีสานด้วย นอกจากเรื่องภาษาแล้ว อะไรที่คิดว่าเป็นปัจจัยในความสำเร็จนี้
ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ เราก็หารีเสิร์ชนะ แต่ก็ยังหาข้อมูลไม่ได้เช่นกัน อย่างตอนที่เราเอาหนังฉายในยูทูป คนอีสานก็ให้การตอบรับเราอย่างดีนะ มันก็ทำให้เราอยากที่จะทำหนังลาวอีสานซักเรื่องนึง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่เราพยายามสื่อถึงมั้ย อย่างเรื่องนี้ ก็ถือว่าเป็นการทดสอบหนึ่งด้วยเช่นกัน เราก็ทำการบ้านหนักอยู่พอสมควร ใช้เวล่าเขียนอยู่นานเหมือนกัน เพราะว่าเขียนไปแล้วไม่ถูกใจ ก็เขียนใหม่วนไปวนมา กว่าจะได้อย่างที่เห็นนี่แหละครับ
อีกด้านหนึ่ง ในอุตสาหกรรมบันเทิงเมืองลาวในปัจจุบัน ถ้านับตั้งแต่ตอนที่คุณเข้าวงการ ถือว่ามีการพัฒนาอยู่พอสมควรมั้ยครับ
ถือว่ามีการพัฒนามากเลย หนังลาวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ บริษัทที่ทำหนังต่างๆ ก็ถือว่าดีขึ้น ที่ลาวจะมีอยู่ 3 บริษัท ต่างก็มีความพัฒนาที่แตกต่างกันไป โดยส่วนตัวเราก็ดีใจนะ ที่เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวงการหนังลาวด้วย ชุบชีวิตให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เรารู้สึกดีใจ ที่หนังลาวมีความหลากหลายในเนื้อหามากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีมากเลย สำหรับเรา ก็อยากให้หนังลาวใน 1 ปี มีประมาณ 5 เรื่อง เพราะโดยเฉลี่ยแล้ว มีอยู่ประมาณ 2 ถึง 3 เรื่องเอง แต่ในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงก้าวกระโดดเลยนะ เมื่อเทียบกับตอนประมาณ 30 ปีก่อน ที่ไม่ค่อยมีหนังจากทางเอกชนทำเลย แต่ถือว่ามีจำนวนน้อย เพราะบุคลากรในเรื่องหนังที่นั่นนั้น มันยังมีน้อยอยู่ แถมจำนวนประชากร และ จำนวนโรงหนังในลาว มันยังน้อยอยู่ การทำหนังบางเรื่องอาจจะมีความขาดทุนอยู่ เพราะด้วยปัจจัยที่ว่ามา ซึ่งถ้าหนังขาดทุน มันก็จะส่งผลให้คนที่อยากทำต่อมันไม่มีกำลังที่จะทำ
อีกเรื่องคือ เรื่องของสปอนเซอร์ ถ้าไม่มีคนมาสนับสนุน ก็จบเลย แบบต่อให้ทำรายได้ แต่ถ้าไม่มีแรงหนุนก็ยังจบอยู่ดี ซึ่งเราก็พยายามส่งเสริมรุ่นน้องต่อๆ ไป ในเรื่องการทำอุตสาหกรรมนี้ เราก็พยายามถ่ายทอดวิชาให้กับน้องๆ และอยากที่จะให้มีบริษํทหนังให้เยอะกว่านี้ ให้มีการแข่งขันกันหลายๆ เรื่อง เพื่อวงการหนังลาว คือให้มันมีทางเลือกมากขึ้นกว่านี้
ในปัจจุบัน จากที่มีการเริ่มต้นมาจนถึงตรงนี้ โดยส่งนตัวถือว่าตอบโจทย์ในชีวิตของตัวคุณเองแล้วรึยังครับ
ถือว่าตอบโจทย์นะครับ เพราะว่าเรามีความรู้สึกว่า เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราทำแล้วเราสนุกกับมัน มันก็มีความสุขแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับแล้ว คือหนังทุกเรื่อง เราก็เป็นผู้อำนวยการสร้างอยู่แล้ว เราทำหลายหน้าที่เลย เป็นทั้งโปรดิวเซอร์ กำกับเอง เขียนบทเอง แต่ถ้าแนวหนังที่อยากทำเหรอครับ เราก็อยากที่จะดึงคนที่อกหักเสียใจให้มามีชีวิตคนธรรมดา เป็นแรงบันดาลใจในเรื่องหน้า แต่ก็ยังไม่หนีจากคอเมดี้ที่ยืนพื้นอยู่ดี (ยิ้ม)
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ณัฐชนน หล้าแหล่ง และ ณัฐพล ด่านรักษา
คุณเริ่มสนใจในงานบันเทิงมาตั้งแต่เมื่อไหร่
เรารู้สึกว่าสนใจมาตั้งแต่ช่วงมัธยมแล้ว ก็เริ่มจากการประกวดดนตรี ทั้งๆ ที่เราก็รู้ตัวนะว่าเราเสียงไม่ดี (หัวเราะเบาๆ) จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัย เราก็ทำการประกวดดนตรีอีกครั้ง ด้วยการตั้งวงที่มีออเครสตร้าขนาดใหญ่ในการประกวดครั้งนั้น ซึ่งนับว่าเป็นความโชคดี เพราะเราได้เข้าไปสู่ในวงการบันเทิงในเวลาต่อมา ผ่านการเป็นนักร้อง-นักแต่งเพลง และทำมิวสิควีดีโอด้วยตนเอง จนกระทั่งไปเจอกับนายทุนคนหนึ่งที่เขาได้ดูงานของเรา แล้วเขาก็บอกว่า มันน่าจะต่อยอดให้มันเป็นหนังได้ เขาเลยเอาเงินมาให้เรา เราเลยมาเขียนบท ที่มีมุกตลก พอเล่นหนังเรื่องนี้แล้ว ผลตอบรับที่จะอยากดูหนังลาวของคนที่นั่น มันมีเยอะมาก ถึงขนาดที่ว่า มาซื้อตั๋วหนังตั้งแต่ตอนเที่ยง กว่าจะได้ดูก็ 5 โมงเย็นเลย เราเลยคิดว่า น่าจะมาทางสายภาพยนตร์ดีมั้ย ก็เลยตัดสินใจที่มาทำเลย
ซึ่งก่อนหน้านี้ ทั้งตัวดนตรีและเพลงก็มาควบคู่กันอยู่แล้ว
แม่น คือก่อนหน้านั้นก็จะเน้นไปทางเพลงมาก่อน เคยทำผลงานเพลงในฐานะวง ออกมา 2 อัลบั้ม หลังก็ปล่อยมาอีก 3 ซิงเกิล ซึ่งอยู่ในอัลบั้มรวมร็อคสตาร์โปรเจกต์ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ทยอยปล่อยเป็นซิงเกิลประมาณ 30 เพลงได้ จากนั้นก็มาที่สายหนังอย่างเดียวเลย อาจจะมีร้องบ้างก็ตอนเพลงประกอบหนังประมาณนั้น ซึ่งตอนที่ทำงานเพลงนั้น ถามว่าเพลงของเราเป็นสไตล์อะไร เราก็จะบอกว่าไม่มีสไตล์นะ อยากทำและอยากร้องแนวไหนก็ตามใจเราเลย จะแนวร็อค แนวแร็ป หรือ แนวลูกทุ่ง เรียกว่าเป็นแนวรวมๆ มากกว่า
อิทธิพลในการกล้าแสดงออกของคุณคือใครครับ
มีอยู่สองคน นั่นคือ โจวซิงฉือ กับ หม่ำ จ๊กมก ครับ อย่างคนแรกถือว่าเป็นไอดอลในดวงใจเลย เราติดตามเขามาตั้งแต่เรื่องพยัคฆ์ร้าย คัง คัง โปย แล้ว เราก็เดินรอยตามเขาตั้งแต่เริ่มต้นเลย ทั้งในเรื่องการเขียนบท หรือ ลักษณะท่าทางของเขาที่เป็นตลกหน้าตาย อย่างผลงานต่างๆ ของเขา เช่นแนวดราม่า กำลังเล่นจังหวะนี้อยู่ อยู่ๆ ก็มีมุกตลกมาจากไหนไม่รู้มาเฉยเลย ซึ่งเรานำอิทธิพลตรงนี้ให้มาเป็นเอกลักษณ์ของเราเลย ให้คนดูกำลังซึ้ง แล้วหักจังหวะคนดูเลย ซึ่งคนดูจะชอบมาก
ส่วนอ้ายหม่ำ เราติดตามเขามาตั้งแต่ ‘แหยม ยโสธร’ มันจะเป็นสไตล์มุกที่ปูมาเรื่อยๆ แล้วค่อยเก็บรายละเอียดของมุก ไม่ใช่ปล่อยมุกแล้วก็ไป แล้วหนังสไตล์อ้ายเขาจะเป็นมุกที่อยู่เส้นเรื่อง เราเลยชอบพี่เขา อีกทั้ง เราเคยได้ร่วมงานกับเขา รับรู้ถึงพรสวรรค์ทางด้านตลกของเขา โดยเฉพาะมุกสด ที่พี่เขาจะไม่มีการนัดแนะเลย มาปุ๊บ เล่นปั๊บ เราเลยยิ่งประทับใจ
แล้วเรามาประยุกต์ให้เข้าสไตล์ของเราด้วย ก็คือ เราจะชอบให้คนดูอินเข้าไปในบทลึกๆ เราก็กระชากดึงมุกกลับมา ประมาณว่า เราอยากให้คนดูหนังของเรา เหมือนกับว่ากำลังเล่นเครื่องเล่นโรลเลอร์ โคสเตอร์น่ะครับ มีความดิ่งไปมา (หัวเราะเบาๆ)
จากการเป็นนักร้อง แล้วเปลี่ยนมาเป็นนักแสดงและผู้กำกับตามลำดับ มีความยาก-ง่ายในแต่ละสถานะยังไงบ้างครับ
ในความยากง่าย เรารู้สึกว่ามันเป็นความเคยชินมากกว่า เพราะว่าเราทำงานมาหลายอย่าง ทั้งการแต่งเพลงเอง และเขียนบทกับกำกับมิวสิควีดีโอเอง ซึ่งอย่างหลัง เราก็รู้สึกถึงการทำหนังเล็กๆ นะ ต่างกันที่รายละเอียดที่มีน้อยกว่าหนัง ซึ่งพอเรามีความชำนาญจากตรงนั้นมาแล้ว พอเรามาทำหนัง มันก็มีความยากในระยะแรก แต่เราก็ปรับตัวกับมันได้ในเวลาต่อมา จากนั้นก็ค่อยๆ เรียนรู้ทีละนิดๆ จนพอเราได้ทักษะประมาณนึงแล้ว ก็ทำให้เราอยู่ตัวเลย
การที่คุณมีสถานะอย่างนี้ ก็ทำให้คุณกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างด้วยมั้ย
คนที่นั่น เขาจะรู้จักเราทั้งในตัวเพลง และเรื่องหนัง ประมาณนั้น แต่ในระยะหลัง เขาจะรู้จักเราในฐานะคนทำหนังและนักแสดง ซึ่งน่าจะรู้จักจากอย่างหลังมากกว่า อีกทั้งหนังที่เราทำ ก็จะเจาะไปที่กลุ่มวัยรุ่นเป็นหลัก แต่ก็เป็นเรื่องแปลกเช่นเดียวกัน ที่มีทั้งเด็กประถม และ มัธยม ก็จะไปดูหนังของเราอีก เราเลยก็มาคิดว่า หนังของเราอาจจะเป็นหนังครอบครัวไปแล้วก็ได้มั้ง เพราะถ้าเด็กๆ อยากดูหนังของเรา เขาก็จะชวนคนในครอบครัวให้พาไป ปรากฏว่าคนรุ่นนี้ก็ชอบอีก ก็เกิดการเล่าต่อ มันเลยกลายเป็นว่า สามารถดูได้ทุกเพศ ทุกวัย ทำให้งานในระยะหลัง เราก็ทำแนวครอบครัวแทรกไปในหนังด้วย ก็ทำให้มาคิดว่า หนังของเรานั้น ไม่ใช่แค่หนังตลกอย่างเดียวแล้ว
จากการที่หนังของคุณประสบความสำเร็จทั้งหมด อยากฟังสถานะของคุณในบ้านเกิดหน่อยครับว่าเป็นยังไงบ้าง
เวลาที่คนลาวเจอคนดังหรือคนมีชื่อเสียง เขาอาจะไม่แสดงอาการคลั่งไคล้มากนัก แต่ถ้ามีคนเปิดก่อน ก็จะมีคนตามมาเรื่อยๆ เวลาที่เรามองมันก็รู้สึกน่ารักดี ซึ่งพวกเขาก็จะให้เกียรติความสิทธิส่วนบุคคล แต่เขาก็จะไม่กล้ามาทักเรามากนัก อย่างตามงานเปิดตัวหนังในครั้งต่างๆ พวกเขาก็จะมาถ่ายรูปเราแล้วก็เอาไปอัปโหลดลงโลกออนไลน์ เหมือนกับมันเป็นเทรนด์ว่า ใครยังไม่มาดูหนังเรื่องนี้จะเชยนะ
การที่คุณทำหนังมาพอสมควร ในฐานะที่คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของวงการบันเทิงลาว คุณรู้สึกว่ามีการแบกความคาดหวังมั้ยครับ
ถ้าถามถึงสถานะนี้ เราก็ไม่มั่นใจนะ แต่เราก็เห็นน้องๆ รุ่นใหม่ เริ่มมีความกล้าที่จะผลิตงาน อยากจะเป็นแบบเรา น้องๆ หลายคน ก็มาถามเราว่า ต้องทำยังไงบ้าง ซึ่งเราก็บอกพวกเขาว่า ถ้าอยากทำก็ทำไปเลย แม้ว่าจะไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดตรงนี้ แต่ถ้ายังไม่กล้าลอง มันก็จะเกิดความไม่กล้าไปตลอด อย่างตอนที่เราทำหนังเรื่องแรก เรายังจำถึงความรู้สึกตรงนี้ได้ มีความกังวลต่างๆ แต่พอเราได้ทำแล้ว เราก็ได้เรียนรู้ว่า ถ้าไม่ยอมก้าวออกมา ก็จะไม่ได้เรียนรู้ว่ามันเป็นยังไง
คือตอนที่จะทำหนัง เราก็มีเงินอยู่จำนวนหนึ่งที่ได้มาจากการทำงานก่อนหน้านี้ ตีเป็นเงินไทยประมาณ 5 แสนบาท เราเอาเงินตรงนี้มาทำหนัง แต่ก็มีความระแวงอย่างที่บอกไปนะครับ แถมเราก็ไม่ได้เรียนภาพยนตร์มาด้วย มันก็จะเกิดความกังวลต่างๆ แต่ก็กล้าทำมัน ซึ่งในระหว่างทำนั้น เราก็ไม่รู้ว่าตอนที่ทำมันเป็นบวกหรือลบ เราต้องหาคำตอบตรงนี้ ซึ่งพอหนังฉายออกไป หนังประสบความสำเร็จ ซึ่งเหมือนกับปลดล็อคความสามารถของตัวเองได้ ซึ่งแม้ว่าทำหนังแล้วเจ๊ง มันก็ทำให้เราได้รู้ว่า เราทำตรงนี้แล้วมันไม่เวิร์ค เราก็ไปทำอย่างอื่นก็ได้
ขณะเดียวกัน หนังของคุณก็ได้ฉายที่ภาคอีสานด้วย นอกจากเรื่องภาษาแล้ว อะไรที่คิดว่าเป็นปัจจัยในความสำเร็จนี้
ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ เราก็หารีเสิร์ชนะ แต่ก็ยังหาข้อมูลไม่ได้เช่นกัน อย่างตอนที่เราเอาหนังฉายในยูทูป คนอีสานก็ให้การตอบรับเราอย่างดีนะ มันก็ทำให้เราอยากที่จะทำหนังลาวอีสานซักเรื่องนึง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่เราพยายามสื่อถึงมั้ย อย่างเรื่องนี้ ก็ถือว่าเป็นการทดสอบหนึ่งด้วยเช่นกัน เราก็ทำการบ้านหนักอยู่พอสมควร ใช้เวล่าเขียนอยู่นานเหมือนกัน เพราะว่าเขียนไปแล้วไม่ถูกใจ ก็เขียนใหม่วนไปวนมา กว่าจะได้อย่างที่เห็นนี่แหละครับ
อีกด้านหนึ่ง ในอุตสาหกรรมบันเทิงเมืองลาวในปัจจุบัน ถ้านับตั้งแต่ตอนที่คุณเข้าวงการ ถือว่ามีการพัฒนาอยู่พอสมควรมั้ยครับ
ถือว่ามีการพัฒนามากเลย หนังลาวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ บริษัทที่ทำหนังต่างๆ ก็ถือว่าดีขึ้น ที่ลาวจะมีอยู่ 3 บริษัท ต่างก็มีความพัฒนาที่แตกต่างกันไป โดยส่วนตัวเราก็ดีใจนะ ที่เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวงการหนังลาวด้วย ชุบชีวิตให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เรารู้สึกดีใจ ที่หนังลาวมีความหลากหลายในเนื้อหามากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีมากเลย สำหรับเรา ก็อยากให้หนังลาวใน 1 ปี มีประมาณ 5 เรื่อง เพราะโดยเฉลี่ยแล้ว มีอยู่ประมาณ 2 ถึง 3 เรื่องเอง แต่ในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงก้าวกระโดดเลยนะ เมื่อเทียบกับตอนประมาณ 30 ปีก่อน ที่ไม่ค่อยมีหนังจากทางเอกชนทำเลย แต่ถือว่ามีจำนวนน้อย เพราะบุคลากรในเรื่องหนังที่นั่นนั้น มันยังมีน้อยอยู่ แถมจำนวนประชากร และ จำนวนโรงหนังในลาว มันยังน้อยอยู่ การทำหนังบางเรื่องอาจจะมีความขาดทุนอยู่ เพราะด้วยปัจจัยที่ว่ามา ซึ่งถ้าหนังขาดทุน มันก็จะส่งผลให้คนที่อยากทำต่อมันไม่มีกำลังที่จะทำ
อีกเรื่องคือ เรื่องของสปอนเซอร์ ถ้าไม่มีคนมาสนับสนุน ก็จบเลย แบบต่อให้ทำรายได้ แต่ถ้าไม่มีแรงหนุนก็ยังจบอยู่ดี ซึ่งเราก็พยายามส่งเสริมรุ่นน้องต่อๆ ไป ในเรื่องการทำอุตสาหกรรมนี้ เราก็พยายามถ่ายทอดวิชาให้กับน้องๆ และอยากที่จะให้มีบริษํทหนังให้เยอะกว่านี้ ให้มีการแข่งขันกันหลายๆ เรื่อง เพื่อวงการหนังลาว คือให้มันมีทางเลือกมากขึ้นกว่านี้
ในปัจจุบัน จากที่มีการเริ่มต้นมาจนถึงตรงนี้ โดยส่งนตัวถือว่าตอบโจทย์ในชีวิตของตัวคุณเองแล้วรึยังครับ
ถือว่าตอบโจทย์นะครับ เพราะว่าเรามีความรู้สึกว่า เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราทำแล้วเราสนุกกับมัน มันก็มีความสุขแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับแล้ว คือหนังทุกเรื่อง เราก็เป็นผู้อำนวยการสร้างอยู่แล้ว เราทำหลายหน้าที่เลย เป็นทั้งโปรดิวเซอร์ กำกับเอง เขียนบทเอง แต่ถ้าแนวหนังที่อยากทำเหรอครับ เราก็อยากที่จะดึงคนที่อกหักเสียใจให้มามีชีวิตคนธรรมดา เป็นแรงบันดาลใจในเรื่องหน้า แต่ก็ยังไม่หนีจากคอเมดี้ที่ยืนพื้นอยู่ดี (ยิ้ม)
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ณัฐชนน หล้าแหล่ง และ ณัฐพล ด่านรักษา