1.“ปารีณา” คืนที่ดิน ส.ป.ก.684 ไร่ ด้าน “ธรรมนัส” รับมอบ ยันไม่ดำเนินคดี ด้านกรมป่าไม้ แจ้งจับ “ทวี-ปารีณา” รุกป่า 46 ไร่!
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แถลงข่าวแจ้งความดำเนินคดี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เจ้าของฟาร์มไก่ เขาสนฟาร์ม พื้นที่หมู 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ที่บุกรุกป่ารวม 46-1-40 ไร่ และว่า นับจากนี้ คดีรุกป่าจะเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย คงจะพูดอะไรมากไม่ได้ แต่ได้ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ด้านนายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กล่าวว่า อะไรที่ผิดก็คือผิด เพราะตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา ในครั้งนี้จะดำเนินคดีต่อ น.ส.ปารีณาใน 4 ข้อกฎหมาย คือ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54, พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 และ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 มาตรา 97
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทั้ง 4 ข้อกฎหมายมีโทษอย่างไร นายอรรถพล อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า โทษขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล โดย พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ มีโทษสูงสุดคือ จำคุก 20 ปี และปรับสูงสุด 2 ล้านบาท
เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างแถลงข่าว นายทวี ไกรคุปต์ บิดา น.ส.ปารีณา และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เข้ามาในห้องแถลงข่าว โดยหลังนายอรรถพลแถลงข่าวจบ นายทวีได้ลุกขึ้นกล่าวว่า ไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่ แต่ตั้งใจทำหนังสือขอความเป็นธรรมกับอธิบดี และว่า ยังติดต่อ น.ส.ปารีณาไม่ได้
ทั้งนี้ นายทวี ได้ถามอธิบดีกรมป่าไม้เรื่องแผนที่ที่ระบุว่า รุกป่า 46 ไร่ ว่าอยู่บริเวณไหน เพราะแผนที่แต่ละหน่วยงานมีความทับซ้อนกัน เชื่อถือได้หรือไม่ พร้อมยืนยันว่า ตนรับโอนสิทธิครอบครองจากชาวบ้านก่อนปี 2523 โดยซื้อจากชาวบ้านที่ทำไร่ โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตป่าไม้ หรือเขต ส.ป.ก. เพราะไม่มีป้ายปักแม้แต่ป้ายเดียวว่าเป็นเขตอะไร ไม่มีหลักหมุด อยู่มา 40 ปีเศษ ไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ ชาวบ้านทั่วไปก็เหมือนตน ไม่รู้ว่าพื้นที่ใด และที่ไปโอนสิทธิครอบครองก็ไม่มีพื้นที่ป่าแม้แต่พื้นที่เดียว...
ต่อมา วันเดียวกัน (2 ธ.ค.) เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ได้นำหลักฐานเข้าพบ ผบก.ปทส.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีนายทวี และ น.ส.ปารีณา ข้อหาบุกรุกป่าสงวนฯ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและป่าไม้รวม 4 ฉบับ
ล่าสุด วันนี้ (7 ธ.ค.) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยเลขาธิการ ส.ป.ก., ผู้ว่าฯ ราชบุรี และนายอำเภอจอมบึง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบฟาร์มไก่เขาสน 1 ของ น.ส.ปารีณา โดย ร.อ.ธรรมนัส กล่าวก่อนเข้าตรวจสอบว่า น.ส.ปารีณา ได้ทำหนังสือถึง ส.ป.ก. เมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.) เพื่อจะขอส่งคืนพื้นที่ทั้งหมด รวมกว่า 684 ไร่ และว่า วันนี้ (7 ธ.ค.) ได้มาราชการที่ราชบุรีจึงถือโอกาสมารับมอบ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวด้วยว่า พื้นที่ตรงนี้เป็นเขตประกาศปฏิรูปที่ดิน เมื่อผู้ครอบครองที่ดินไม่มีคุณสมบัติหรือครอบครองเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่งคืนมาโดยที่ไม่ต้องไปฟ้องขับไล่ ทาง ส.ป.ก.จะดำเนินการตามขั้นตอนที่ผู้ครอบครองร้องขอมา โดยในเรื่อง ส.ป.ก.ไม่มีการดำเนินคดี เนื่องจาก น.ส.ปารีณาครอบครองมาก่อนที่จะประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน เราได้รับมอบมาจากกรมป่าไม้พร้อมกับผู้ครอบครอง เมื่อได้ส่งมอบให้กับทางหลวง ซึ่งถือว่าเป็นที่ดินของรัฐ ในส่วน ส.ป.ก.ก็จะจบกัน โดยจะรับพื้นที่ทั้งหมดคืนมา เพื่อจะจัดสรรให้เกษตรกรผู้ไร้ที่ทำกินและที่อยู่อาศัยต่อไป
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวอีกว่า "ส่วนของ ส.ป.ก.มีหน้าที่เอาที่ดินคืนมาก่อน ส่วนของโรงเรือนนั้นผมไม่มีนโยบายที่จะไปทำลายทรัพย์สินใดๆ เหมือนกับที่กระบี่ มีโรงเรือนต่างๆ ก็จะมอบให้ชาวบ้านที่มีสิทธิ์ต่อไป ส่วนเสาไฟฟ้าที่อยู่ในฟาร์มไก่คงต้องรื้อถอนออกไป"
2.สภาไม่ล่ม! มติ 244 ต่อ 5 ล้ม กมธ.ศึกษาผลกระทบ ม.44 พบ ส.ส.ฝ่ายค้านช่วยทำองค์ประชุมครบ 10 คน!
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลได้รับประทานอาหารค่ำร่วมกันที่สโมสรราชพฤกษ์ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า การนัดพบและรับประทานอาหารร่วมกันครั้งนี้ เพื่อหารือทำความเข้าใจก่อนที่จะมีการประชุมสภาฯ ในวันที่ 4 ธ.ค. ป้องกันปัญหาสภาล่มเป็นครั้งที่ 3 หลังจากล่มไปแล้ว 2 ครั้งเมื่อสัปดาห์ก่อน ระหว่างโหวตตั้ง กมธ.วิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศและคำสั่งของ คสช. และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช.มาตรา 44 ที่ฝ่ายค้านมองว่า ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวต แล้วเสนอให้นับคะแนนใหม่ ฝ่ายค้านไม่พอใจ จึงประท้วงด้วยการวอล์กเอาต์
เป็นที่น่าสังเกตว่า การรับประทานอาหารร่วมกันครั้งนี้ มีพรรคเล็กที่เป็นฝ่ายค้านอิสระมาร่วมด้วย คือ คือ นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย และนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก
หลังงานเลี้ยงเสร็จสิ้นลง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่ออย่างอารมณ์ดีว่า ตนมาทานข้าวกับทุกคน ตนมาเยี่ยมเยียนเขาหน่อย ได้หารือกันว่า จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ตนคิดว่า จากพรุ่งนี้ไป ทุกอย่างจะราบรื่น ทั้งนี้ มีช่วงหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ถามหานายมงคลกิตติ์ด้วย โดยบอก “เต้อยู่ไหน” ด้านนายมงคลกิตติ์รีบออกมาหา จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค.เป็นต้นไป นายมงคลกิตติ์จะประพฤติตัวใหม่ จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้เอานิ้วแตะไปที่ปากว่าจะพูดน้อยลง ก่อนที่จะหยอกล้อด้วยการยกแขนไปล็อกคอนายมงคลกิตติ์
มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้พูดทำนองตัดพ้อกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลระหว่างรับประทานอาหารร่วมกันว่า “บ้านเมืองไม่ใช่ของผมคนเดียว ทำไมไม่ช่วยกัน ทำไมมีปัญหาเยอะ พรรคเล็กก็ต้องช่วยดูแลประเทศ ไม่ใช่ผมดูแลคนเดียว ...ขอให้ช่วยกันทำงานเพื่อประเทศ อย่าให้มีช่องว่างให้พรรคที่ไม่หวังดีมาแทรกได้และขอให้ช่วยกัน ...ผมไม่ค่อยมีเวลามาเจอกับพวกเรา ต้องขอโทษ บางครั้งจึงทำให้การสื่อสารไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ตรงกัน”
สำหรับบรรยากาศการประชุมสภาเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ได้พิจารณาญัตติด่วนเรื่องการตั้ง กมธ.เพื่อศึกษาผลกระทบจากมาตรา 44 ต่อจากครั้งก่อนที่สภาล่ม โดยนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธาน ได้ให้นับคะแนนใหม่ โดยวิธีขานชื่อ ซึ่งได้มีการถกเถียงกันเรื่องนับคะแนนใหม่หรือลงคะแนนใหม่ เนื่องจากฝ่ายค้านไม่ต้องการให้มีการลงมติใหม่ และขอให้รัฐบาลถอนญัตติดังกล่าวออกไป แต่นายวิรัช รัตนเศรษฐ์ ประธานวิปรัฐบาลยืนยันไม่ถอนญัตติ ทำให้ฝ่ายค้านไม่พอใจ พากันวอล์กเอาต์อีกครั้ง
ด้านนายสุชาติเดินหน้าประชุมต่อ โดยให้ ส.ส.แสดงตน ท่ามกลางการประท้วงของฝ่ายค้าน ปรากฏว่า มี ส.ส.อยู่ในห้องประชุมและแสดงตน 259 คน ถือว่าครบองค์ประชุม ฝ่ายรัฐบาลจึงเดินหน้าลงมติใหม่ โดยการขานชื่อเป็นรายบุคคล เพื่อโหวตล้มญัตติตั้ง กมธ.ศึกษาผลกระทบจากจากการใช้มาตรา 44 โดยมีฝ่ายค้านยืนออกันหน้าห้องประชุมเพื่อสังเกตการณ์
หลังการลงคะแนนด้วยวิธีขานชื่อแล้วเสร็จ โดยไม่มีฝ่ายค้านเข้าร่วม ผลปรากฏว่า ส.ส.เห็นด้วยกับการตั้ง กมธ.ศึกษาผลกระทบจากการใช้มาตรา 44 แค่ 5 เสียง ไม่เห็นด้วย 244 เสียง งดออกเสียง 6 เป็นอันว่า ญัตติตั้ง กมธ.ศึกษาผลกระทบจากการใช้มาตรา 44 เป็นอันตกไป จากนั้น นายวิรัชได้หารือขอเลื่อนญัตติตั้ง กมธ.ศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญไปในสัปดาห์หน้า ก่อนที่ประธานจะสั่งปิดการประชุม
เป็นที่น่าสังเกตว่า มี ส.ส.พรรคฝ่ายค้านแสดงตนเพื่อนับองค์ประชุมจำนวน 10 คน แบ่งเป็น พรรคเพื่อไทย 3 คน ได้แก่ นายขจิต ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี, น.ส.พรพิมล ธรรมสาร ส.ส.ปทุมธานี, นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม. พรรคอนาคตใหม่ 2 คน ได้แก่ นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี และ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี พรรคเศรษฐกิจใหม่ 4 คน ได้แก่ นายภาสกร เงินเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายมนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นางมารศรี ขจรเรืองไกร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายสุภดิช อากาศฤกษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และพรรคประชาชาติ 1 คน คือ นายอนุมัติ ชูสารอ ส.ส.ปัตตานี
วันเดียวกัน (4 ธ.ค.) นายมงคลกิตติ์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และนายพิเชษฐ สถิรชวาล หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย ฝ่ายค้านอิสระ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวในทำนองเดียวกันว่า จะกลับเข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้ง ตามคำชวนของนายกฯ ที่อยากให้ทุกคนช่วยกัน เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ โดยทั้ง 2 พรรคจะนำเรื่องไปแจ้งให้กรรมการบริหารพรรคทราบก่อน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป โดยนายพิเชษฐ กล่าวด้วยว่า “ผมอายุขนาดนี้แล้ว ครั้งนี้อาจเป็นการทำการเมืองครั้งสุดท้าย ก็อยากจะสร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ดีๆ ผลงานดีๆ เมื่อเลิกเล่นการเมืองแล้วก็ยังเป็นที่จดทำได้ อย่างน้อยๆ พรรคเล็ก 2 เสียงก็ช่วยสร้างความมั่นคงให้ประเทศ”
ขณะที่ฝ่ายค้าน นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ได้ออกมาพูดทำนองกล่าวหาฝ่ายรัฐบาลว่า พยายามล็อบบี้ให้ ส.ส.ฝ่ายค้าน มาร่วมเป็นองค์ประชุมของสภาฯ เพื่อให้องค์ประชุมครบ และมีการพยายามยื่นข้อเสนอด้วยการแจกกล้วยให้ ส.ส.ฝ่ายค้าน 20 คน ด้วยเงินจำนวนแปดหลักต่อคน ซึ่งพรรคฝ่ายค้านจะตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป
ด้านนายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เผยถึงเหตุที่ร่วมแสดงตนในการนับองค์ประชุมว่า อยากให้สภาเดินหน้าไปได้ ครั้งที่หนึ่งก็วอล์กเอาต์ ครั้งที่สองก็วอล์กเอาต์ และจะวอล์กเอาต์กันสักกี่ที 5 ปีที่ผ่านมาไม่มีสภาผู้แทนราษฎรก็เรียกร้องกัน แต่พอมีสภา แล้วก็วอล์กเอาต์ สภาล่มแล้วล่มอีกแบบนี้ มองว่ามันไม่ใช่ กฏกติกาอะไรที่มันไม่ดี ต้องร่วมกันแก้ได้ ...ทะเลาะกันแบบนี้ ประชาชนก็เลยเบื่อนักการเมือง เขาอุตส่าห์เลือกตั้งเข้าไป แล้วทำกันแบบนี้ จึงตัดสินใจอยู่ร่วมในองค์ประชุม ส่วนกรณีที่พรรค อนค.จะเรียกสอบ นายจารึก กล่าวว่า ไม่เป็นไร เป็น ส.สงของประชาชน ชะตากรรมอยู่ตรงไหน ขอให้ประชาชนได้ประโยชน์เท่านั้น ก็พอใจแล้ว “ส่วนคนที่มองว่าเป็นงูเห่า ก็ช่างมันเถอะ ไม่เป็นไร ยืนยันว่าไม่ได้มีการซื้อตัวจากฝ่ายรัฐบาล จะเอาอะไรมาซื้อผม ประชาชนในเขต 2 จันทบุรีเขารู้จักผมดี และผมไมได้เดือดร้อนเรื่องเงิน...”
เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ธนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี พรรค อนค.เผยเหตุที่อยู่ร่วมแสดงตนในการนับองค์ประชุมว่า ไม่อยากให้เล่นการเมืองกัน แต่อยากให้ดูแลความทุกข์ สุข ของพี่น้องประชาชนเพื่อให้ประเทศสามารถเดินไปข้างหน้าได้มากกว่า
3.ศาลฎีกา พิพากษายืนจำคุก “วรชัย-สำเริง” 4 ปี คดีล้มประชุมอาเซียน ด้าน “พ.ต.ท.ไวพจน์” ถูกออกหมายจับ หลังส่อประวิงคดี!
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ศาลจังหวัดพัทยาได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, นายสำเริง ประจำเรือ, นายนพพร นามเชียงใต้, นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์, นายสมญศฆ์ พรมมา, นายสิงห์ทอง บัวชุม, นายธนกฤต หรือวันชนะ ชะเอมน้อย หรือเกิดดี ,นายวรชัย เหมะ, นายพายัพ ปั้นเกตุ, พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์, นายศักดา นพสิทธิ์, นายวัลลภ ยังตรง, นายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง, นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ กลุ่มเเกนนำ นปช.เป็นจำเลยที่ 1-15 โดยคดีนี้ไม่ได้มีการพิจารณาคดีในส่วนของนายสุรชัยและ พ.ต.ต.เสงี่ยม เนื่องจากหลบหนี จึงเหลือจำเลย 13 คน ในคดีแกนนำ นปช. นำกลุ่มคนเสื้อแดงบุกล้มการประชุมอาเซียนที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีชรีสอร์ท เมืองพัทยา เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2552
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาตัดสินจำคุกนายอริสมันต์กับพวก 12 คน เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา ขณะที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนลงโทษจำคุกนายอริสมันต์กับพวก 12 คน เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา เเต่ปรากฎว่า วันดังกล่าวมีเพียง นายศักดา นพสิทธิ์ เลขาธิการพรรคเพื่อชาติ เพียงคนเดียวที่มาฟังคำพิพากษา โดยศาลให้ยกฟ้องนายสมยศ พรหมมา เนื่องจากเห็นว่าเป็นเพียงผู้ร่วมชุมนุม ไม่ใช่แกนนำ ทั้งนี้ วันดังกล่าวมีจำเลย 3 คน ยังไม่ได้รับหมายเรียก คือ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ,นายสำเริง ประจำเรือ และนายวรชัย เหมะ ศาลจึงได้ออกหมายเรียก ให้มาฟังคำพิพากษาอีกครั้ง ในวันที่ 31 ต.ค. เเละให้ออกหมายจับจำเลยที่หลบหนี ไม่ได้เดินทางมาศาล
ซึ่งต่อมา วันที่ 31 ต.ค. พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ,นายสำเริง ประจำเรือ และนายวรชัย เหมะ จำเลยทั้งสามเดินทางมาศาลเเละได้ ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การปฏิเสธและขอให้การใหม่เป็นรับสารภาพ และยื่นคำร้องประกอบคำรับสารภาพทั้ง 3 คน ด้านศาลพิจารณาและมีคำสั่งให้ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง จึงให้เลื่อนไปนัดอ่านคำพิพากษาให้จำเลยทั้ง 3 อีกครั้งในวันที่ 3 ธ.ค.ตามที่คู่ความมีวันว่างตรงกัน
โดยการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ผู้รับมอบอำนาจ พ.ต.ท.ไวพจน์ จำเลยที่ 3 ทนายจำเลยที่ 3, นายสำเริง จำเลยที่ 6 และนายวรชัย จำเลยที่ 13 มาศาล
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้วมีคำสั่งว่า ประเด็นที่ 1 คือ จำเลยที่ 3, จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 13 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเดิมจากปฎิเสธเป็นรับสารภาพนั้น ศาลฎีกาเห็นเเละมีคำสั่งว่า การแก้ไขหรือเพิ่มเติมคำให้การต้องกระทำก่อนศาลพิพากษา การที่จำเลยมายื่นในชั้นฎีกาเป็นการต้องห้าม ยกคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา163 วรรค2
ประเด็นที่ 2 คือ วันนี้ (3 ธ.ค.) ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 3 ทนายจำเลยที่ 3, จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 13 ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โดยจำเลยที่ 3 ให้เหตุผลว่า เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ) อยู่ระหว่างการประชุมพรรค ศาลฎีกามีคำสั่งว่า แม้จำเลยที่ 3 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่คดีนี้การพิจารณาเสร็จแล้ว ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 125 ประกอบกับการขอเลื่อนคดีมีลักษณะเป็นการประวิงคดี จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาของจำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 13
จึงมีพิพากษายืนจำคุกจำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 13 คนละ 4 ปี ปรับคนละ 200 บาท ส่วนจำเลยที่ 3 ให้เลื่อนฟังคำพิพากษาไปอ่านวันที่ 15 ม.ค. 2563 เวลา 09.00 น. และให้ออกหมายจับจำเลยที่ 3 และปรับนายประกันจำเลยที่ 3 เต็มตามสัญญาประกัน
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (3 ธ.ค.) พ.ต.ท.ไวพจน์ กล่าวที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถึงกรณีที่ศาลออกหมายจับว่า ไม่ได้กังวล และยังทำหน้าที่ ส.ส.ต่อไป เพราะยังมีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครองอยู่ และว่า คดีของตน ต้องรอวันที่ 15 ม.ค.2563 ที่ศาลฎีกานัดให้ไปฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าว
ด้านนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีศาลฎีกาสั่งออกหมายจับ พ.ต.ท.ไวพจน์ว่า ถ้าศาลยังไม่อ่านคำพิพากษา แต่ออกหมายจับ ถือว่า พ.ต.ท.ไวพจน์ยังมีสถานภาพ ส.ส.อยู่จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาออกมา ยังสามารถประชุมสภาได้ มีสิทธิแสดงตนเป็นองค์ประชุมสภาอยู่ อย่างไรก็ตาม แม้ พ.ต.ท.ไวพจน์ ยังมีสถานภาพ ส.ส.อยู่ แต่จะไม่ได้รับเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 125 ที่ห้ามจับกุม คุมขัง ส.ส.ระหว่างสมัยประชุมสภา เพราะความหมายมาตรา 125 หมายถึง ห้ามจับกุม คุมขังระหว่างกระบวนการพิจารณาคดี แต่ขณะนี้ถือว่ากระบวนการพิจารณาคดีสิ้นสุดแล้ว ไม่ได้อยู่ระหว่างการสืบพยานหรือการสอบหลักฐานอีกแล้ว ขณะนี้ศาลพิจารณาคดีเสร็จแล้ว เหลือแค่อ่านคำพิพากษาเท่านั้น จึงไม่ได้เอกสิทธิ์คุ้มครอง หากตำรวจพบตัวที่ใด ก็จับได้เลย ไม่จำเป็นต้องเป็นที่สภา
4.กกต.เตรียมพิจารณากรณี อนค.กู้เงิน “ธนาธร” 11 ธ.ค.นี้ หลังไม่ส่งเอกสารเพิ่มในเวลาที่กำหนด ถือว่าไม่ติดใจ ด้าน “ปิยบุตร” ขู่ฟ้อง กกต.!
ความคืบหน้ากรณีกรณีมีผู้กล่าวหาว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ได้ให้พรรค อนค.กู้ยืมเงิน ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ตามมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 โดยได้บริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองมีมูลค่าเกินกว่า 10 ล้านบาท ต่อพรรคการเมืองต่อปีหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน กกต. ได้ขอให้พรรค อนค.ส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติมต่อ กกต. เนื่องจากก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องและปัญหาหรือข้อโต้แย้งได้เคยเรียกเอกสารดังกล่าวแล้ว แต่พรรค อนค.ไม่ได้จัดส่งให้คณะอนุกรรมการฯ แต่อย่างใด
กระทั่งต่อมา ทางพรรค อนค.ได้จัดส่งเอกสารบางส่วนแล้ว แต่ขอขยายระยะเวลาการจัดส่งเอกสารบางส่วนต่อ กกต. อีก 120 วัน ซึ่งประชุม กกต. เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้รับทราบการจัดส่งเอกสารบางส่วนของพรรค อนค.แล้ว และมีมติให้ขยายระยะเวลาในการจัดส่งเอกสารที่เหลือภายในวันที่ 2 ธ.ค.
แต่ปรากฏว่า พรรค อนค.ไม่ส่งเอกสารให้ กกต.ตามกำหนดดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้ มีรายงานว่า ที่ประชุม กกต.เห็นว่า การที่ก่อนหน้านี้ พรรค อนค.ขอเวลาจัดส่งเอกสารให้ 120 วัน ก็สะท้อนเจตนาต้องการถ่วงเวลาอยู่แล้ว จึงให้โอกาสจัดส่งเอกสารมาภายในวันที่ 2 ธ.ค. เพราะเอกสารที่ กกต.ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีหมายเรียก เป็นเอกสารที่อยู่ในการครอบครองของพรรค อนค.อยู่แล้ว ไม่ต้องรอรอบเวลา เพื่อที่จะรวบรวม และถือเป็นเอกสารที่เป็นประโยชน์ต่อพรรค อนค.ที่จะยืนยันให้ กกต.เชื่อว่า มีการกู้ยืมเงินจริง
ดังนั้นเมื่อพรรค อนค.ไม่สามารถนำส่งเอกสารหลักฐานดังกล่าวได้ ก็ถือเป็นผลเสียต่อพรรค อนค.เอง กกต.จึงมีมติให้ตัดพยานหลักฐานที่เหลือ และให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน พิจารณาจากพยานหลักฐานที่พรรค อนค.ส่งมาบางส่วนก่อนหน้านี้ และให้เสนอที่ประชุม กกต.พิจารณาในวันที่ 11 ธ.ค.นี้
ด้านนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีนายธนาธรให้พรรค อนค.กู้เงินว่า ขณะนี้เลยกำหนดเวลาที่ให้พรรค อนค.ยื่นชี้แจงกรณีดังกล่าว กกต.จึงถือว่า พรรค อนค.ไม่ติดใจ สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ สำนักงาน กกต.ต้องทำเรื่องเสนอขึ้นมายังคณะกรรมการ กกต.ต่อไป
ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค อนค. แถลงเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. กรณี กกต. ตัดสิทธิ์การส่งเอกสาร และหลักฐานเพิ่มเติมในคดีที่นายธนาธรให้พรรคกู้เงินว่า กกต.ได้ร้องขอเอกสารมาจำนวนมาก ซึ่งเกี่ยวข้องบ้าง ไม่เกี่ยวข้องบ้าง และว่า พรรคได้ขอเวลาจาก กกต.ในการรวบรวมเอกสาร แต่ กกต. ก็ไม่รับฟัง โดยเอกสารที่ กกต. ต้องการรวมกันอาจจะมากถึง 90 แฟ้ม เรียงกันสูง 3 เมตร ซึ่งต้องทำสำเนาด้วย แบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้มันอยู่ที่สามารถกู้เงินได้หรือไม่ได้ แล้วเราก็ยืนยันไปแล้วว่าเรากู้เงินจริง และพรรค อนค.นำเงินคืนนายธนาธรจริง ๆ
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า "คดีเหล่านี้เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่การที่ให้สื่อบางสื่อไปขยายความกันต่อให้ชี้นำ เช่น การนำเสนอ และปั่นกระแสข่าวว่าพรรค อนค.ไม่ยอมส่งเอกสาร จากนั้นปล่อยข่าวว่า ให้โอกาสแล้วแต่ไม่ยอมส่งเอกสารทั้งที่ครอบครองอยู่แล้ว ซึ่งก็พูดไม่ครบ เพราะเราส่งเอกสารไปแล้ว และขอเวลาในการรวบรวมเอกสารเพิ่ม นี่คือกลวิธีการทำคดีที่พัวพันกับการเมืองให้ไปอยู่ในมือสื่อ และใช้เทคนิคสื่อชี้นำไปเรื่อยๆ"
นายปิยบุตร ยังพูดทำนองขู่ฟ้อง กกต.ด้วยว่า หากการสอบสวนในชั้นสอบสวนของ กกต.ทำไปโดยไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม กลั่นแกล้ง ใช้อำนาจโดยมิชอบ ไม่ชอบมาพากล เราจะฟ้อง กกต. ทั้งทางแพ่งและทางอาญา
5.เพื่อไทยยันไม่ร้าว ปัดข่าวไล่ “สุดารัตน์” อ้าง บินพบ “ทักษิณ” แค่อวยพรปีใหม่ ไม่ใช่หย่าศึก!
จากกรณีที่มีข่าวแพร่สะพัดว่า ส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย 60 คน ไม่พอใจการทำหน้าที่ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ที่มีการแทรกแซงก้าวก่ายการทำงานในพรรค ทำให้ผู้บริหารพรรค นำโดย นายประยุทธ ศิริพานิชย์ ประธานภาคอีสานพรรคเพื่อไทย นำกลุ่ม ส.ส.ดังกล่าวเดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อหารือแก้ไขปัญหาและให้ขับคุณหญิงสุดารัตน์ ออกจากตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาปฏิเสธว่า เป็นเพียงข่าวลือ เชื่อว่ามีขบวนการดิสเตรดิตทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย พร้อมย้ำว่า ปัจจุบัน ส.ส.อีสาน รวมถึงผู้บริหารยังรัก ให้เกียรติ เคารพการทำงานของคุณหญิงสุดารัตน์ เนื่องจาเป็นบุคคลสำคัญของพรรค ที่มีการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรดา ส.ส.ในพรรคมาตลอด
มีรายงานว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ ส.ส.ภาคอีสาน 60 คน รวมถึงนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค และคุณหญิงสุดารัตน์ ได้เดินทางไปทยอยเข้าพบนายทักษิณ ที่นครดูไบ โดยแบ่งรอบเข้าพบรอบละไม่เกิน 20 คน มีการจับเข่าพูดคุยและเคลียร์ใจกันในหลายประเด็นระหว่างบุคคลที่เป็นแกนนำของพรรคด้วยกันเอง และเปิดโอกาสให้ ส.ส.ได้สะท้อนความเห็นถึงการทำงานในพรรคภายใต้การนำของผู้บริหารชุดปัจจุบัน โดยเฉพาะการบริหารของคุณหญิงสุดารัตน์ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค แบบเข้าคุยตัวต่อตัวกับผู้ใหญ่ ซึ่งปัญหาหลักที่ ส.ส.อีสานไม่ยอมรับ และได้สื่อสารไปยังผู้ใหญ่เป็นเรื่องตัวบุคคล และส่วนใหญ่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง
รายงานแจ้งด้วยว่า เหตุที่ ส.ส.อีสาน พรรคเพื่อไทยไม่พอใจการบริหารงานของคุณหญิงสุดารัตน์ ถึงขนาดบินไปพบนายทักษิณ มีหลายเรื่อง เช่น มีการแทรกแซงการบริหารภายในพรรค ทั้งที่ปกติประธานยุทธศาสตร์ไม่มีอำนาจด้านบริหาร เป็นเพียงผู้ให้คะแนะนำ และวางยุทธศาสตร์เสนอให้พรรคเดินเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีปัญหาการเมืองภายใน เช่น การพิจารณาตำแหน่งประธาน กมธ.คณะต่างๆ และ กมธ.งบประมาณที่ให้กลุ่มคนใกล้ชิดเข้าไปนั่งเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะการจัดงบปี 63 ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้โควต้ามา 13 คน สายอีสานมี ส.ส.84 คน ก็ควรจะได้เข้าไปนั่งเป็น กมธ.8 คน ก็ตัดเหลือเพียง 5 คนเท่านั้น
หลังมีข่าวความไม่พอใจของ ส.ส.อีสานพรรคเพื่อไทยต่อคุณหญิงสุดารัตน์ รวมทั้งมีข่าวว่านายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ประธานพรรคเพื่อไทย ภาคอีสาน ได้ลุกขึ้นพูดกลางโต๊ะอาหารตำหนิการทำงานของคุณหญิงสุดารัตน์ ต่อหน้านายทักษิฯ ที่นครดูไบ ปรากฏว่า นายประยุทธ์ได้ออกมาปฏิเสธเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ว่า ไม่เป็นความจริง ตรงกันข้าม ตนได้ลุกขึ้นพูดแสดงความชื่นชมการทำงานของคุณหญิงสุดารัตน์ด้วยซ้ำ และว่า การเดินทางไปประเทศดูไบครั้งนี้ มาพร้อมกับคุณหญิงสุดารัตน์ และ ส.ส.หลายคน ซึ่งทุกคนก็มาเที่ยว และถือโอกาสมาอวยพรปีใหม่นายทักษิณ ในฐานะที่เป็นคนรู้จักกัน โดยรับปรุทานอาหารด้วยกันเท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตว่า วันเดียวกัน นายทักษิณ ได้ทวีตข้อความบนทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า “ขอบคุณท่านหัวหน้าสมพงษ์ คุณหญิงหน่อย นายประยุทธ์ และพี่ๆ น้องๆ ที่แวะมาให้กำลังใจกัน ในเทศกาลปีใหม่ ผมและน้องสาวรู้สึกอบอุ่นและดีใจ ทุกครั้งที่มีเพื่อนฝูงจากเมืองไทยมาเยี่ยมเยียนถึงดูไบ หวังว่าจะได้เจอกันอีกครับ”