เพจดังโวยผู้ว่าฯ เชียงใหม่ แจ้งความฟันเด็กวาด “สามกษัตริย์” ผู้สร้างเมืองสวมหน้ากากอนามัย สะท้อนปัญหาหมอกควันปกคลุมทั้งจังหวัด ชี้ แค่เรียกไปตักเตือนก็พอแล้ว ไม่เห็นด้วยเอาผิดใหญ่โต แนะแก้ปัญหาคาราคาซังจริงจัง ด้าน “หมอหม่อง” คณะแพทย์ มช. ซัด ภาครัฐมองประชาชนเป็นศัตรู ทั้งที่ลุกขึ้นมาช่วยบ้านเมือง ชี้สังคมที่เจริญต้องยอมรับความจริง
วันนี้ (31 มี.ค.) จากกรณีที่ นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ มอบหมายให้ นายศิริพงษ์ นำภา ป้องกันจังหวัดเชียงใหม่ แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่ ให้ดำเนินคดีกับเฟซบุ๊กเพจ “City Life Chiang Mai” ได้เผยแพร่ภาพวาด พญามังราย พญางำเมือง และ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์สามพระองค์ผู้สร้างเมืองเชียงใหม่ สวมหน้ากากอนามัยปิดบังพระพักตร์ มีข้อความเป็นภาษาไทยว่า “มาร่วมกันเอาอากาศของเราคืนมา” และข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า “Powerful painting by student at Prem,Piyapan Thiamthakorn,who pained this as part of grade 12 IB Diploma” ลงในเฟซบุ๊ก ในความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ลบหลู่ ไม่เคารพ และส่งผลกระทบต่อจิตใจของประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งยังอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ ทำให้กระทบต่อการท่องเที่ยว และเกิดความไม่มั่นคงในเศรษฐกิจของจังหวัด เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่ผ่านมา
เฟซบุ๊กเพจ “แหม่มโพธิ์ดำ” ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็น ระบุว่า เจ้าของแมกกาซีนและเด็กมัธยมศึกษาคนวาดงานเข้า ถูกตัวแทนผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เข้าแจ้งความเตรียมตัวฟ้องผู้วาดภาพสะท้อนปัญหาสังคม ทวงคืนแผ่นดินให้ไร้มลภาวะเช่นเดิม ทางตัวแทนแจ้งว่า เพราะภาพนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่เสียหาย และทำร้ายจิตใจประชน รวมถึงผิดมาตรา 14 และ 16 ของ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ส่วนตัวมองว่าไม่สมควร ถ้ามีการเรียกมาตักเตือนเห็นด้วย แต่ถึงขั้นดำเนินคดีไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ บ้านเมืองเราจะพูดอะไร แตะต้องอะไรไม่ได้เลย ผู้มีอำนาจขู่ฟ้องดำเนินคดีหมด อย่าแปลกใจว่าทำไม เพจผี เพจเงาเยอะขึ้นทุกวัน เพราะการถูกปิดหู ปิดตา ปิดปาก ซึ่งเป็นเรื่องน่าเบื่อ จะไปหาเรื่องเด็ก เรื่องประชาชน สู้เอาเวลาไปแก้ไขปัญหาที่คาราคาซังเต็มจังหวัดจะดีกว่าหรือไม่ จึงขอฝากไว้ให้คิด
ด้านเฟซบุ๊ก “Rungsrit Kanjanavanit” ของ นพ.รังสฤษดิ์ กาญจนวนิชย์ หรือ หมอหม่อง อาจารย์แพทย์แห่งโรงพยาบาลสวนดอก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ข้อความระบุว่า “ว่าจะอดทนยอมรับสภาพ ไม่โวยวายเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะเห็นว่าที่ผ่านมาโวยวายไป ตนก็ไม่อาจช่วยหาทางออกที่มีประสิทธิภาพได้ ด้วยปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศนี้มีหลากหลายมิติจนมิอาจแก้ไขได้โดยง่ายเหมือนใจหวัง
การศึกษาที่ผ่านมา ชี้ชัดว่า มลพิษทางอากาศมีผลร้ายต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ เพิ่มอัตราเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็งปอด มีผลกระทบต่อพัฒนาการในเด็ก หรือแม้แต่ มีผลให้ทารกคลอดก่อนกำหนด
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือแม้ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้ มีหลายปัจจัย โดยบางปัจจัยนั้นสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สำหรับ ผลกระทบที่เกิดจากมลพิษทางอากาศแล้ว ไม่มีใครที่หลีกเลี่ยงได้เพราะทุกคนต้องหายใจ ผลกระทบในระดับประชากรจึงรุนแรงนัก
แม้ผมยังไม่สามารถเสนอทางแก้ไขที่เป็นรูปธรรมได้ในขณะนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นมาตลอดว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงคือ ความเข้าใจและตระหนักในระดับของความรุนแรงของปัญหาของประชาชนส่วนใหญ่ยังมีน้อย รวมถึงทัศนคติของหน่วยงานรัฐ ที่มีต่อปัญหาหมอกควันพิษ (apathy)
ผมเชื่อว่าประชาชนอีกมากที่ยังไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงภยันตรายทั้งระยะสั้นและระยะยาวของมลพิษทางอากาศ มากพอจนให้เกิดแรงผลักดันเปลี่ยนแปลงทางสังคม
สิ่งที่ประชาชนผู้รับชะตากรรม ไม่สบายใจคือ
1. ประชาชนไม่อาจมีความ เชื่อมั่น ข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐที่รายงานสถานการณ์มลพิษทางอากาศจนต้องลุกขึ้นพึ่งพาตนเองสร้างเครือข่ายติดตามสภาวะสภาพอากาศด้วยตัวเอง
2. ผู้ที่เจตนาดี เสียสละลุกขึ้นช่วยรณรงค์สร้างความตระหนักให้ประชาชน ก็ถูกภาครัฐ มองเป็นศัตรู ให้งดกิจกรรมรณรงค์ไม่พอ ยังทำเรื่องกล่าวโทษฟ้องร้องว่าทำเสื่อมเสียภาพลักษณ์
3. จริงอยู่ว่า หลายคนอาจรู้สึกว่าการเผยแพร่ภาพ บรรพกษัตริย์ (แห่งอนุสาวรีย์สามกษัตริย์) สวมหน้ากากพิษเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ตามธรรมเนียม (แม้เป็นเรื่องปกติในสากล)
แต่หากมองเจตนาของผู้เผยแพร่ นั้นที่สุดไม่ใช่การลบหลู่ แต่ต้องการสร้างความตระหนักให้กับสังคม เพื่อหวังให้เกิดการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ในทุกภาคส่วน
4. ผู้บริหารภาครัฐ โดยเฉพาะทางจังหวัด เป็นห่วงแต่ภาพพจน์ของตนเอง มากกว่า สุขภาพประชาชน
ประชาชนรู้สึกว่า เจ้าหน้าที่รัฐทำตัว เหมือนมีอำนาจล้นฟ้า ไม่ฟังเสียงประชาชน เอะอะก็บอกจะฟ้องร้อง มองประชาชนเป็นศัตรู
5. หลายคนเกรงว่าหากสร้างความตระหนัก จะเกิดความตระหนก ส่งผลลบในด้านผลต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ
ผมกลับมองว่า ในฐานะเจ้าบ้านผู้มีความรับชอบ เราควรแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนถึงสถานการณ์ความรุนแรงของสภาวะมลพิษทางอากาศอย่างตรงไปตรงมา อยากให้เขาเห็นว่าเราคำนึงถึงความปลอดภัยสุขภาพของเขามากกว่าเงินในกระเป๋าของเขา
ผมเชื่อว่า โดยวิธีคิดแบบนี้แม้เราอาจสูญเสียรายได้ไปบ้างในระยะสั้น แต่ชื่อเสียงของเราในการเป็นเจ้าบ้านที่รับผิดชอบจะสร้างความเชื่อมั่น ความรู้สึกที่ดี ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจท้องถิ่นของเราในระยะยาว
6. ผมขอชื่นชม ผู้บริหารคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่จะแจกหน้ากากให้กับบุคลากรทุกคน ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ เป็นตัวอย่างหน่วยงานทางสุขภาพ ที่ชี้นำสังคม ในทางที่ถูกต้อง อยากให้หน่วยงานราชการอื่นทำบ้าง
แม้แทบจะสิ้นหวัง แต่ผมยังเชื่อว่า สังคมที่เจริญแล้ว คือสังคมที่ยอมรับความจริง ไม่หลีกเลี่ยงปัญหา ระดมสติปัญญาในการค้นหาต้นตอแท้จริง และวางแผนแก้ไขในระยะยาวอย่างเป็นระบบ โดยใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และขบวนทางสังคมที่มีส่วนร่วมจากทุกๆ คน”