เปิดเบื้องหลัง 9 ปีก่อน เจ้าของบ้านย่านสวนหลวง ร.9 ร้องเรียนกับสื่อ ตลาดนัดสร้างเต็นท์ขนาดใหญ่ชิดบ้านตลอดแนวรั้ว พอเรื่องถึงเขตประเวศพบสารพัดอิทธิพลมืด เดือดร้อนถึงทุกวันนี้
หมายเหตุ : รายงาน “ตลาดนัดสวนหลวง ร.9 คุกคามชาวบ้าน” จากโต๊ะชุมชนเมือง ผู้จัดการออนไลน์ ตีพิมพ์ครั้งแรก 6-7 สิงหาคม 2552
เหตุการณ์ต่อไปนี้เป็นเรื่องของชาวบ้านเขตประเวศ ที่มีบ้านติดตลาดนัดสวนหลวง ร.9 หิ้วหลักฐานร้องสื่อมวลชน ว่าตลาดดังกล่าวได้ตั้งเต็นท์ติดรั้วบ้าน มีคนปีนขึ้นปีนลงเกรงไม่ปลอดภัย จึงร้องเรียนต่อเขต แต่ปรากฏเจอสารพัดอิทธิพลมืด ทั้งโทร.ขู่ ลอบวางเพลิงใกล้รั้วบ้าน แถมมีตำรวจนับสิบขอค้นบ้านแบบไม่มีหมายค้น ล่าสุดเจอยัดข้อหาค้ากามข้ามชาติ และค้ายาเสพติด ทำเอาขณะนี้เจ้าของบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก
“เรื่องมาเกิดเอาเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว”
เจ้าของบ้านให้ข้อมูลว่า เมื่อราวๆ วันที่ 7-8 ธันวาคม 2551 ตลาดนัดได้ขยายตลาดและสร้างเต็นท์ขนาดใหญ่ชิดบ้านตลอดแนวรั้ว ซ้ำร้ายระหว่างการติดตั้งเต็นท์ก็มีคนงานปีนขึ้นปีนลงรั้วบ้านตลอดเวลา ทำให้เกรงว่าจะมีใครปีนข้ามรั้วบ้านมาก่อเหตุอาชญากรรม จึงโทรศัพท์ไปแจ้งที่เขต ซึ่งทางเขตก็ส่งฝ่ายโยธาเข้ามาตรวจสอบ พร้อมทั้งบอกว่าเป็นการก่อสร้างที่ผิดเนื่องจากไม่ได้ขออนุญาต
จากนั้นทางเขตได้ส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธามาตรวจ และมีคำสั่งให้ทางตลาดรื้อส่วนที่ชิดรั้วลงก่อน เสร็จแล้วค่อยรื้อส่วนอื่นๆ ลงให้หมด แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เขตกลับไป ทางตลาดก็ไม่ได้รื้อ จึงได้ตัดสินใจทั้งทำหนังสือร้องเรียนไปที่สำนักงานเขตประเวศ และเข้าร้องเรียนด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
เจ้าของบ้านให้ข้อมูลต่อว่า ได้ไปร้องเรียนต่อ นายสมชาย ฉัตรสกุลเพ็ญ ผอ.เขตประเวศ (ขณะนั้น) ซึ่งก็ให้เขียนเอกสารร้องเรียนตามระเบียบ แต่เหตุการณ์กลับเลวร้ายกว่าเดิม เมื่อเจ้าหน้าที่เขตหญิงรายหนึ่งโทรศัพท์มาหาและแจ้งว่าไม่ต้องมาร้องเรียนที่เขตอีกเพราะทราบเรื่องทุกอย่างแล้ว
ทว่า หลังจากนั้นไม่เพียงแต่ไม่มีการรื้อเต็นท์ แต่ตลาดกลับต่อความสูงขึ้นไปอีกด้วย รวมทั้งมีการปรับจากเต็นท์ชั่วคราวให้เป็นเต็นท์ถาวร และมีการก่อสร้างในช่วงเวลากลางคืนอีกต่างหาก
“ดิฉันโทร.ไปแจ้ง 191 ตำรวจยังบอกว่าลักษณะนี้ตลาดเส้นใหญ่แน่”
เจ้าของบ้านเล่าต่อไปอีกว่า ทางบ้านถูกละเมิดสิทธิทั้งทางตรงและทางอ้อม ไหนจะรั้วที่สูงชิดกำแพงบ้าน ความสกปรกที่เกิดจากตลาด ทั้งสัตว์พาหะนำเชื้อโรค เช่น หนู และแมลงวัน เสียงคาราโอเกะจากร้านในตลาดดังตั้งแต่เช้าตรู่ รวมไปถึงการถูกรถในตลาดจอดปิดหน้าบ้าน จนนำรถออกไม่ได้อยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงทางเท้าบริเวณบ้านสองฝั่งก็ถูกแผงแม่ค้าวางปิดจนเต็มต้องลงเดินไปกลางถนน
ซ้ำร้ายหากวันไหนถูกจอดปิดหน้าบ้าน และพวกเธอกดแตรขอให้ขยับรถก็จะถูกตะโกนด่าหยาบคาย หนักเข้าบางครั้งก็มีบรรดาพ่อค้าแม่ค้าบางคนถึงขั้นปรี่เข้ามาเอามือทุบกระจกรถด้วยท่าทีกระเหี้ยนกระหือรืออีกต่างหาก
“จนเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เราทนไม่ไหวก็เลยเข้าไปที่เขต ขอสำเนาที่เรื่องร้องเรียนเพื่อจะไปแจ้งความ ปรากฏว่า ดำเนินการให้ช้ามาก ไปแต่เช้าเจ้าหน้าที่ก็อ้างว่าคนที่รับเรื่องไม่อยู่ ก็รออดทนทำจนเสร็จ พอกลับมาถึงบ้าน ปรากฏคราวนี้ตลาดขยายแนวรั้วเพิ่มขึ้นจนยาวสุดรั้วเราเลย 55 เมตร เราก็โทร.ไปบอกโยธาเขต คนรับสายบอกเราว่าให้ทำไป เขตจะเข้ามาจัดการเอง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรดีขึ้นอย่างเดิม”
จากนั้นมาเกือบเดือน เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2552 ก็มีผู้ชายคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้จัดการตลาดโทรศัพท์เข้ามาในมือถือของเธอ ซึ่งปกติเบอร์นี้ไม่ค่อยได้ให้ใคร แต่ได้ให้เจ้าหน้าที่เขตเอาไว้เมื่อครั้งไปร้องเรียน
“เขาพูดมาในโทรศัพท์ว่า...คุณไปร้องเรียนที่เขตทำไม ทีคุณทำธุรกิจสีเทา ผมยังไม่ยุ่งเลย คุณเปิดค้าประเวณี กักขังหน่วงเหนี่ยว...เขาพูดประมาณนี้ เราก็ถามว่าเอาเบอร์มาได้ยังไง เขาบอกที่เขตให้มา เขาขู่เราด้วยว่าเขาจะทำให้เราเสื่อมเสีย มีชื่อลงหนังสือพิมพ์ เราก็ตกใจเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด จึงไม่ได้กังวลอะไร จากนั้นตอนเที่ยงก็มีโทร.มาอีกครั้ง คราวนี้เป็นคนละคน บอกว่าเขาชื่อวุฒิ เป็นทหารและเป็นคนคุมตลาด แล้วก็พูดเนื้อหาเหมือนลอกมาจากตอนเช้า” เจ้าของบ้านเล่า
...อีก 2 วันต่อมา คือ วันที่ 7 มีนาคม ก็มีผู้ชายอีกคนโทรศัพท์มาที่บ้านแล้วแจ้งว่าเขาเป็นทนายความของตลาด พร้อมทั้งพูดข่มขู่แบบเดิมอีก
“ช่วงนั้นก็มีคนเตือนเยอะมาก ทั้งญาติพี่น้องเพื่อนฝูง บอกว่าให้เลิกเถอะ อย่าไปสู้อีกเลย อย่าไปเรียกร้องอะไรอีก เดี๋ยวจะโดนอิทธิพลมืด เราก็เลยใช้เวลาตัดสินใจนาน จนวันที่ 23 มีนาคม เราก็ตัดสินใจเข้าไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่ สน.ประเวศ ว่าเราถูกข่มขู่ทางโทรศัพท์” เจ้าของบ้านอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทว่า ปัญหายังไม่จบเพียงเท่านั้น
หลังจากเจ้าของบ้านตัดสินใจเข้าร้องเรียนสำนักงานเขตประเวศ ต่อกรณีตลาดนัดสวนหลวง ร.9 ตั้งเต็นท์ติดรั้วบ้าน มีคนปีนขึ้นปีนลงเกรงไม่ปลอดภัย มรสุมหลายลูกจากผู้มีอิทธิพลก็ซัดโครมๆ เข้าใส่ไม่ยั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเพิกเฉยของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือการที่มีผู้โทรศัพท์ข่มขู่คุกคาม
ทว่า นั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย โดยเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2552 เกิดเหตุเพลิงไหม้ปริศนาขึ้นที่ข้างรั้วบ้าน 2 กองใหญ่ๆ ตอนประมาณ 5 ทุ่มเศษ
“พวกเราโทร.แจ้งเขต เขตก็เฉย จนต้องโทร.หา 191 เจอ ส.ต.ท.สุชิน พิทักษ์กรสกุล ก็ได้รับเรื่องและประสานรถดับเพลิงมา 3 คัน จึงดับไฟลงได้”
ตามติดด้วยเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่เกิดขึ้นช่วงเช้าประมาณ 8 โมงเศษๆ เมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 10 นาย มีทั้งแต่งเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบมากดกริ่งที่หน้าบ้าน พร้อมทั้งบอกว่าจะขอเข้าตรวจค้นที่บ้าน เพราะได้รับเรื่องร้องเรียนมาว่ามีการกักขังหน่วงเหนี่ยว และมีการค้าประเวณี โดยบอกว่าไม่ทราบว่าผู้ร้องเป็นใคร แต่เป็นข้อมูลส่งตรงมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ที่น่าแปลกใจคือ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจขอเข้ามาตรวจ ได้ปรากฏเสียงตะโกนมาจากตลาดนัดว่า “ดูสิบ้านหลังนี้ค้ากาม ขายผู้หญิง กักขังหน่วงเหนี่ยว”
“เราก็เลยโทรศัพท์ไปหา ส.ส.ในพื้นที่ เขาก็บอกว่าให้อยู่เฉยๆ อย่าออกไป จากนั้นก็มีตำรวจโทร.มาหาเรา บอกว่าโทร.มาจากผู้ว่าฯ กทม.พร้อมสอบถามว่าเราว่า พาราไดซ์นี่ของเราหรือเปล่า เราก็อธิบายว่าเราให้เขาเช่า แล้วเราก็ไปตรวจสอบผู้เช่า เขาก็ทำธุรกิจปกติ ไม่มีการค้าประเวณี ระหว่างนั้นตำรวจหน้าบ้านก็กระหน่ำกดกริ่งตลอดเวลา เขาก็บอกให้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวจะดูแลให้”
“เราก็โทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่เขต ชื่อคุณประเสริฐ คุณประเสริฐก็พูดคำเดียวว่าผมไม่เกี่ยว ตอนนั้นตำรวจหน้าบ้านก็โทร.เข้ามาหา เราก็ไม่รู้นะว่าเขามีเบอร์เราได้อย่างไร เขาบอกว่าเขาเป็นสารวัตรสอบสวน ชื่อ เดโช โสสุวรรณากุล แต่ไม่ได้บอกเราว่ามาจาก สน.อะไร เขาบอกว่าเขาจะเข้ามาตรวจค้นบ้านเรา บอกว่า บ้านเราค้าประเวณี แต่เราก็ไม่เปิด ทางตำรวจที่ตามผู้ว่าฯ ก็โทร.เข้ามา เราก็ให้เบอร์ของคุณเดโช ที่โทร.เข้ามาที่เครื่องเราไป เขาคงโทร.ไปคุยกัน สักพักตำรวจกลุ่มนั้นก็กลับ”
เจ้าของบ้านยอมรับว่า เหตุการณ์ทั้งหมดโดยเฉพาะครั้งล่าสุด ทำให้คนในบ้านขวัญกระเจิงไม่น้อย แต่ในที่สุด เมื่อปรึกษากันในหมู่พี่น้องแล้ว พวกเธอก็ตัดสินใจเข้าแจ้งความในวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ สน.ประเวศ โดยไปตั้งแต่ 11.00 น.ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่มีรับแจ้งความ ต้องรอจนถึง 17.00 น.จึงมีเจ้าหน้าที่มารับเรื่องและให้ทำแค่ลงบันทึกประจำวัน
ต่อมา ในวันที่ 7 มิถุนายน ตอนเช้า ปรากฏว่ามีเด็กผู้หญิง 2 คน อายุประมาณเด็กวัยรุ่น ถือกล้องมาถ่ายรูปหน้าบ้าน ระหว่างนั้นก็คุยโทรศัพท์ไปด้วย บทสนทนาเป็นไปในเชิงว่า...ใช่บ้านหลังนี้ไหม ใช่หรือเปล่า โอเค เจอแล้ว แล้วก็ถ่ายภาพกลับไป
“ช่วงนั้นวุ่นวายมาก มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทราบสังกัด บุกเข้าค้นกิจการของผู้ที่เช่าอาคารเราทั้งหมด ค้นชนิดที่ทำเหมือนเขาเป็นอาชญากรร้าย คนเช่าก็มาบ่นกับเรา พอเขารู้ความเขาก็ตกใจ ไม่นึกว่าเมืองไทยจะแย่ขนาดนี้ ที่ปล่อยให้มีการกลั่นแกล้งประชาชน เขาก็เข้าใจและให้กำลังใจเราให้สู้เพื่อความถูกต้อง ตำรวจค้นละเอียดมาก แต่ไม่เจออะไรเลย”
เจ้าของบ้านกล่าวต่อไปอีกว่า ที่รับไม่ได้ที่สุดก็คือ มีจดหมายร้องเรียนส่งมายัง กทม.ระบุว่าผู้ส่งเป็นครูที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้เบาะแสว่าบ้านของพวกเธอที่เขตประเวศ มีการกักขังหน่วงเหนี่ยงผู้หญิงเพื่อค้าประเวณี ส่งผู้หญิงค้าประเวณีข้ามชาติ และเกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติดองค์กรใหญ่
“นี่คือผลลัพธ์จากการที่เราต่อสู้เพื่อความถูกต้องและเพื่อสิทธิของตนเอง จากแค่แจ้งให้รื้อรั้ว ตอนนี้กลายเป็นพวกเราผู้หญิงแก่ๆ 3 คน เจอข้อหาค้าผู้หญิงข้ามชาติ ค้ายาเสพติด กักขังหน่วงเหนี่ยวไปแล้ว แต่เราก็ยังจะสู้ต่อไป ไปร้องหน่วยงานไหนก็ไม่มีอะไรดีขึ้น สงสัยเราเจออิทธิพลใหญ่จริงๆ ใหญ่ขนาดที่ทำให้ข้าราชการมารังแกประชาชนได้แบบนี้ ตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อยากให้สังคมรับรู้ เราก็เลยต้องขอร้องสื่อให้ช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง” เจ้าของบ้านกล่าวทิ้งท้าย