กรมชลประทาน แจง น้ำเหนือลดลงต่อเนื่อง คุมระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาไม่ให้สูงกว่านี้ ส่วนการไล่น้ำออกจากทุ่งพื้นที่ลุ่มต่ำ 1.4 ล้าน ลบ.ม. จะทยอยนำออกทีละทุ่ง เริ่ม 1 พ.ย. นี้ บางระกำออกก่อน สุดท้ายที่โพธิ์พระยา คาด หมดจากทุ่งต้นเดือน ม.ค. 2561 ยืนยันไม่มีแผนเพิ่มการระบายน้ำแต่อย่างใด
วันนี้ (28 ต.ค.) นายทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ฉัตรชัย สารีกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายให้กรมชลประทาน วางมาตรการในการเร่งระบายน้ำบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาและน้ำในทุ่งพื้นที่ลุ่มต่ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาออกสู่ทะเลโดยเร็วที่สุดนั้น สถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน่ำเจ้าพระยา ปัจจุบันปริมาณน้ำไหลผ่านที่สถานีน้ำท่า C.2 อ.เมืองฯ จ.นครสวรรค์ ลดลงอย่างต่อเนื่อง เช้านี้วัดได้ 2,919 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ลดลงจากวานนี้ (27 ต.ค.) 12 เซนติเมตร ส่งผลให้ระดับน้ำบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ระดับน้ำลดลง 6 เซนติเมตร
ปริมาณน้ำไหลผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยายังคงที่ในอัตรา 2,697 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อนจนถึงบริเวณ จ.อ่างทอง มีระดับน้ำทรงตัว ส่วนที่คลองโผงเผง ระดับน้ำลดลง 1 เซนติเมตร บ้านป้อม จ.พระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำลดลง 3 เซนติเมตร และบริเวณ อ.บางบาล ระดับน้ำเพิ่มขึ้น 1 เซนติเมตร
จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น กรมชลประทาน ได้ปรับแผนการระบายน้ำ โดยควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาไม่เกิน 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที พร้อมกับลดน้ำเข้าพื้นที่ฝั่งตะวันตก จาก 500 เหลือ 475 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และจะลดลงตามลำดับ สำหรับในพื้นที่ฝั่งตะวันออก เมื่อระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาลดต่ำลง จะลดการรับน้ำเข้าระบบชลประทานจาก 270 เหลือ 245 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และจะลดลงตามลำดับเช่นกัน
จากนั้นเมื่อระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาลดลงอยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เหนือเขื่อนแล้ว จะทยอยลดปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาลง ให้สมดุลกับปริมาณน้ำที่ไหลเข้าในสัดส่วนที่สอดคล้องกัน ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาลดลงในระยะต่อไป
ในส่วนของการนำน้ำออกจากทุ่งพื้นที่ลุ่มต่ำทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณน้ำในทุ่งรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 1,418 ล้านลูกบาศก์เมตรนั้น กรมชลประทาน ได้วางแผนทยอยระบายน้ำออกจากทุ่งทีละทุ่ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. ถึงต้นเดือนมกราคม 2561 โดยจะเริ่มตั้งแต่ทุ่งบางระกำก่อน ไล่ลงมาจนถึงทุ่งสุดท้ายคือทุ่งโครงการโพธิ์พระยา เพื่อให้สอดคล้องกับการเพาะปลูกของเกษตรกรในพื้นที่ด้วย
สำหรับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ 953 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 99 ของความจุอ่างฯ ระบายน้ำวันละ 25 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน พร้อมกับควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนพระรามหก ในอัตรา 500 - 550 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
โดยจะรับน้ำส่วนหนึ่งเข้าระบบชลประทานฝั่งตะวันออกตอนล่างผ่านคลองระพีพัฒน์ ในอัตราเฉลี่ย 120 - 160 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อแบ่งรับน้ำจากแม่น้ำป่าสักลงสู่คลองรังสิตก่อนที่จะระบายออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำบางปะกง โดยจะควบคุมปริมาณน้ำให้อยู่ในคลองไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นริมคลองที่น้ำไหลผ่าน
ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้เร่งระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้ไหลลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด โดยได้รับการสนับสนุนเรือผลักดันน้ำ 7 ลำ และเรือหลวงมารวิชัย 1 ลำ จากกองทัพเรือ ติดตั้งในบริเวณท้ายประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ จ.สมุทรปราการ ช่วยเร่งระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงที่น้ำลง
นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำอีก 14 เครื่อง ในบริเวณคลองระพีพัฒน์ ไซฟ่อนพระธรรมราชา ไซฟ่อนพระอินทราชา คลองเปรมประชากร ประตูระบายน้ำคอกกระบือ ประตูระบายน้ำบางน้ำจืด และบริเวณท้ายท่อระบายน้ำบึงฝรั่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วขึ้น
ในส่วนของลุ่มน้ำท่าจีน ในช่วงวันที่ 27 ต.ค. ถึง 5 พ.ย. จะควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านประตูระบายน้ำโพธิ์พระยา ในอัตราที่ไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน พร้อมกับรับน้ำเข้าทุ่งพื้นที่ลุ่มต่ำ ประกอบด้วย ทุ่งเจ้าเจ็ด ทุ่งบางบาล ทุ่งบ้านแพน ทุ่งโพธิ์พระยา ทุ่งป่าโมก และทุ่งผักไห่ โดยจะสูบน้ำและเปิดระบายน้ำลงสู่แม่น้ำท่าจีนตอนล่างตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ ได้ติดตั้งเรือผลักดันน้ำ 55 ลำ บริเวณ จ.สมุทรสาคร ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรือ และเครื่องผลักดันน้ำของกรมชลประทานอีก 53 เครื่อง ติดตั้งบริเวณ จ.นครปฐม เพื่อเร่งระบายน้ำจากพื้นที่ฝั่งตะวันตกของลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ไหลลงสู่แม่น้ำท่าจีนให้ไหลลงสู่ทะเลโดยเร็วต่อไป
อนึ่ง กรมชลประทาน ขอยืนยันว่า ไม่มีแผนที่จะเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาแต่อย่างใด พร้อมกันนี้ ขอย้ำว่า ปริมาณน้ำที่อยู่ในทุ่ง จะระบายลงแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีนเป็นหลัก หลังจากที่ได้ระบายน้ำในแม่น้ำทั้งสองที่รับมาจากพื้นที่ตอนบน ลงทะเลจนระดับน้ำอยู่ต่ำกว่าตลิ่งแล้ว จึงจะเริ่มระบายหรือสูบน้ำในทุ่งต่างๆ ลงสู่แม่น้ำผ่านระบบชลประทาน โดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ที่น้ำไหลผ่าน
หากประชาชนมีข้อสงสัยประการใด สามารถติดต่อสอบถามได้ทางสายด่วนกรมชลประทาน หมายเลข 1460 ตลอด 24 ชั่วโมง
ด้าน นายสุชาติ เจริญศรี ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 จังหวัดชัยนาท เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำเหนือลดลงเป็นลำดับจะเข้าเกณฑ์ปกติประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ส่วนการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท จะไม่เกิน 2,697 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และจะลดการระบายลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี จะลดลงเป็นลำดับ
ทั้งนี้ อิทธิพลน้ำทะเลหนุนแนวโน้มลดลงไม่มีผลกระทบแล้ว กรมชลประทานจะเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำทั้งตะวันตก แม่น้ำท่าจีนออกสู่ทะเล และฝั่งตะวันออก 2 ส่วน แบ่งไปยังคลองระพีพัฒน์ และแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจะไม่เพิ่มการรับน้ำเข้าทุ่งลุ่มต่ำทั้ง 12 ทุ่ง แต่จะลดลงตามลำดับ คาดว่า สถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำไม่เกิน 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ก่อนวันที่ 30 พ.ย. นี้