ประชาชนจากทั่วสารทิศเดินทางมาร่วมกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
วันนี้ (2 ส.ค.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 273 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่องด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
นางสุมาลี มาเกิด ข้าราชการบำนาญวัย 71 ปี เดินทางมาจากบ้านพักย่านเตาปูน พร้อมกับสามี นายพร้อม มาเกิด ตั้งแต่ช่วงสายเวลาประมาณ 09.30 น. เผยว่า ตัวเองมากราบสักการะพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ ๙ เป็นครั้งที่ 2 ขณะที่สามีเพิ่งมาเป็นครั้งแรก ครั้งนี้ใช้เวลาต่อแถวประมาณ 3 ชั่วโมงจึงได้ขึ้นไปกราบพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ บนพระที่นั่งดุสิตฯ
“ปี พ.ศ. 2515 ตัวเองได้เข้ารับพระราชทานปริญญาจากพระหัตถ์ในหลวง รัชกาลที่ ๙ เมื่อครั้งที่จบการศึกษาจากคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยประสานมิตร ครั้งนั้นดีใจและตื่นเต้นมากๆ และยังถือเป็นความโชคดีของรุ่นเราที่พระองค์ทรงดนตรีให้ฟังหลังจากพระราชทานปริญญาบัตรด้วย หลังจากนั้น ยังมีโอกาสมารับเสด็จฯ พระองค์ท่านอีกหลายครั้งในวันสำคัญต่างๆ ที่เสด็จฯ มาวัดพระแก้ว และเสด็จฯ วางพวงมาลาตามสถานที่ต่างๆ ทั้งยังประทับใจพระองค์ท่านที่ทรงดูและช่วยเหลือประชาชนคนไทยมาตลอด พร้อมทั้งทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ชีวิตแบบพอเพียง ประหยัด และใช้สิ่งของต่างๆ ให้คุ้มค่า อาทิ ยาสีฟันที่ทรงรีดจนหมดหลอด รองเท้าที่ทรงซ่อมแล้วซ่อมอีก ฯลฯ” นางสุมาลี มาเกิด กล่าว
ด้าน นายอัตพล ปานเอี่ยม อายุ 32 ปี ที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพพร้อมแฟนสาว กล่าวว่า เพิ่งเคยมากราบสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรก แม้ตอนที่รออยู่ข้างนอกจะร้อนแค่ไหน แต่พอได้อยู่เบื้องหน้าพระบรมโกศบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ความรู้สึกร้อนก็หายไปทันที รู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก ตนรักพระองค์มาก เพราะพระองค์ทรงทำเพื่อประชาชนมาตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ไม่ทรงนึกถึงพระองค์เองเลย ทรงนึกถึงแต่ประชาชน สิ่งที่พระองค์ทรงทำทุกอย่างก็เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งนั้น
“ดีใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้มา เพราะหลังจากนี้อาจจะไม่มีโอกาสแล้ว เพราะอีกไม่นานก็จะถึงวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ เราก็จะเหลือแค่พระบรมฉายาลักษณ์ให้ได้กราบไหว้ ถึงแม้พระองค์จะไม่อยู่แล้ว แต่พระองค์จะสถิตอยู่ในใจตลอดไป” นายอัตพล ปานเอี่ยม กล่าวอย่างตื้นตัน
