บรรยากาศประชาชนจากทั่วสารทิศเดินทางมาร่วมกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
วันนี้ (30 ก.ค.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 270 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่องด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
นางสาววราภรณ์ สารสุภาพ สาวโรงงานเย็บผ้าย่านสำโรง วัย 41 ปี เดินทางมาจากบ้านพักย่าน จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมกับเพื่อนร่วมงาน นางราตรี จันทร์โต อายุ 49 ปี และ นางสาวสายสุดา จันทร์โต ลูกสาววัย 23 ปี กล่าวว่า ตัวเองเดินทางมากราบพระบรมศพเป็นครั้งที่ 8 แล้ว โดยออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้าตรู่ มาถึงสนามหลวงประมาณ 06.00 น. แม้ว่าวันนี้ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา แต่ก็ไม่ย่อท้อ เพราะเป็นความตั้งใจที่จะมากราบสักการะในหลวง รัชกาลที่ ๙
“ตัวเองเป็นคนเพชรบูรณ์ จำได้ว่าเมื่อตอนเด็กๆ เรียนอยู่ราวชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงประถมศึกษาปีที่ 5 แม่เคยพาไปรับเสด็จฯในหลวง รัชกาลที่ ๙ แต่ตอนนั้นยังเด็กมากยังจำอะไรไม่ค่อยได้ พอโตมาก็เห็นข่าวพระองค์ท่านจากทางทีวีเสมอ พระองค์ท่านทรงงานหนักและเหนื่อยกว่าพวกเรามาก อีกทั้งพระองค์ท่านยังทรงเป็นแบบอย่างแก่คนไทยในทุกๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความพอเพียง และการใช้จ่ายอย่างประหยัด ที่ตัวเองได้น้อมนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตจนถึงทุกวันนี้” นางสาววราภรณ์ สารสุภาพ กล่าว
นางเสาวลักษณ์ เครือนาค อายุ 44 ปี เดินทางมาจาก อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมกับเพื่อนบ้านอีก 3 คน ได้แก่ นางสาวอังชัน แจ้งอินทร์ อายุ 42 ปี นางนพภา มงคลประเสริฐ อายุ 56 ปี และ นายชลอ ปู่แก้ว อายุ 46 ปี โดยใช้เวลาต่อแถวรอนานกว่า 3 ชั่วโมง จึงได้ขึ้นไปกราบสักการะพระบรมศะในหลวง รัชกาลที่ ๙ ตามที่ตั้งใจไว้ พร้อมตั้งจิตอธิษฐานให้พระองค์ท่านไปสู่สุคติ ไปสู่ภพภูมิที่ดี
“เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านยังมีพระชนม์ชีพอยู่เคยมีโอกาสรับเสด็จฯ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จฯ ไปเกี่ยวข้าวที่ทุ่งมะขามหย่อง ครั้งนั้นดีใจมาก เพราะมีโอกาสได้ชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด เมื่อพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตรู้สึกเสียใจมาก แต่ก็ได้นำสิ่งที่พระองค์ท่านสอนมาใช้ในชีวิตหลายอย่าง ที่เห็นชัดๆ คือ เรื่องความพอเพียง ทั้งการใช้จ่ายและการใช้ชีวิต อย่างที่บ้านจะปลูกผักหลายอย่างไว้กินเอง มีทั้งถั่วฝักยาว มะเขือ พริก ฯลฯ ส่วนข้างบ้านมีคลอง เราก็เอาตาข่ายไปวางเพื่อดักปลา ได้ปลามาก็เอามาประกอบอาหารกินในครอบครัว ถ้าเหลือก็แบ่งปันเพื่อนบ้าน หรือขายในราคาถูกเพื่อเป็นรายได้บ้าง ตามอย่างที่พระองค์ทรงสอนไว้” นางเสาวลักษณ์ เครือนาค กล่าว