MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่น ประเด็นฮอต ที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทาง www.manager.co.th และเฟซบุ๊ก MGROnline Live แฮชแท็ก #MGROnline #MGRTOP7 หรือ http://bit.ly/mgrtop7
(สรุปข่าวประจำวันที่ 24 - 30 มิ.ย. 2560)
อันดับ 1 : ช่อง 3 เปี๋ยนไป๋! ห้ามดารารับงานเอง - ดึงอดีตลูกน้อง “ทักษิณฃ” หนีตายหลังกำไรลดวูบ
หลังกำไรสุทธิลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 5,589.48 ล้านบาท ในปี 2556 ดิ่งลงมาเหลือแค่ 1,218.29 ล้านบาท ในปี 2559 ทำให้ “ช่องน้อยสี” อย่างไทยทีวีสีช่อง 3 ต้องปรับทัพใหม่ ด้วยการแต่งตั้ง นายประชุม มาลีนนท์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ที่ฮือฮาที่สุด ก็คือ เพิ่มหน่วยธุรกิจ บริหารศิลปิน (Artist Management) ดึงเอานักแสดงในสังกัดเกือบ 100 คน จากเดิมที่รับงานอิสระผ่านผู้จัดการส่วนตัว ให้ช่อง 3 มาดูแลและบริหารจัดการเอง เพื่อที่ช่อง 3 จะได้ขายโฆษณาเป็นแพกเกจ และอาจจะขยายความร่วมมือไปจนถึงการเป็นสปอนเซอร์ชิปแทนการซื้อเวลาเหมือนในอดีตเพียงอย่างเดียว อีกอย่างหนึ่งก็คือ การเตรียมสร้างแพลตฟอร์มใหม่ โดยใช้ชื่อว่า Mello เหมือนช่อง 7 ที่ทำแพลตฟอร์มชื่อ Bugaboo เพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มเดิมอย่าง ยูทูป เฟซบุ๊ก ที่ทางช่อง 3 เองได้ส่วนแบ่งค่าโฆษณาจากยูทูปเพียง 10% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงของช่อง 3 นำมาซึ่งข่าวลือที่ว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะไปเทกโอเวอร์ช่อง 3 เพราะหลังปรับโครงสร้างองค์กร ได้นำอดีตผู้บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ซึ่งเป็นอดีตลูกน้องนายทักษิณ เข้ามาอยู่ในสายงานหลัก อาทิ นายสมประสงค์ บุญยะชัย, นางอาภัทรา ศฤงคารินกุล, นายภัทรศักดิ์ อุตตมะโยธิน และ นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ กระทั่งวันที่ 28 มิ.ย. นายประชุม ได้ทำหนังสือชี้แจงในหมู่พนักงานว่า ข่าวดังกล่าวไม่มีมูลความจริง กลุ่มบริษัท บีอีซี เวิลด์ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้น การบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตระกูลมาลีนนท์ ส่วนการดึงคนจากเอไอเอสเข้ามา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ให้องค์กรก้าวลงสนามการแข่งขันทางธุรกิจในยุคดิจิตอลได้อย่างมั่นคงและมั่นใจยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบผู้ถือหุ้นล่าสุดพบว่า CHASE NOMINEES LIMITED เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 11.11% เป็นกลุ่มนอมินีที่เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยด้วยมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี
อันดับ 2 : ชีวิตรันทด! เด็กหญิงพิการ ทนายโกงเงิน 5 ล้านบาท
เรื่องราวของเด็กหญิงพิการสู้ชีวิตเปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ อายุ 44 ปี พา ด.ญ.ภัทรดา หรือ น้องบีม แก้วผ่อง อายุ 14 ปี บุตรสาวที่พิการเดินไม่ได้ตระเวนขายของตามศาลาวัด เพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง ที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่ง น.ส.พรทิพย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2548 ครอบครัวประสบอุบัติเหตุโดยสารรถปิกอัพชนกับรถพ่วง 18 ล้อ ที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี สามีเสียชีวิต ตัวเองบาดเจ็บสาหัส ส่วนน้องบีมกระดูกทับไขสันหลัง กลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้ ขณะที่ทนายความ คือ นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ที่รับอาสาว่าความให้ ออกอุบายว่า ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีคำพิพากษาให้คู่กรณีจ่ายเงินให้ครอบครัวตนเอง 1 ล้านบาท ก่อนนำหนังสือมอบอำนาจมาให้ตนเซ็น ได้รับเงินเดือนละ 40,000 บาท เป็นเวลา 7 เดือน ก่อนจะหยุดให้ในเวลาต่อมา อ้างว่าคู่กรณียังไม่ได้จ่ายมา แต่เมื่อติดต่อบริษัทเจ้าของรถพ่วง 18 ล้อ พบว่า จ่ายเงินค่าเสียหายให้กับครอบครัวตนเองมา 5 ล้านบาท โดยมี นายพิสิษฐ์ เป็นผู้รับมอบอำนาจแล้ว ก่อนเจ้าตัวจะขอขมา ภายหลังเปลี่ยนเบอร์มือถือติดต่อไม่ได้อีกเลย
หลังเป็นข่าวพบว่ามีธารน้ำใจหลั่งไหลเข้ามาช่วยเหลือครอบครัวน้องบีมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ นายสรัลชา ศรีชลวัฒนา เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวว่า จากการตรวจสอบในสารบบเบื้องต้นพบชื่อนายพิสิษฐ์ ขึ้นทะเบียนกับสภาทนายความจริง จึงส่งเรื่องให้เรียกนายพิสิษฐ์มาสอบถามข้อเท็จจริง หากผลสอบออกมาว่ามีการยักยอกเงินตามที่ผู้เสียหายกล่าวหาจริงจะเข้าข่าย “ตระบัดสินลูกความ” ซึ่งมีบทลงโทษสูงสุด คือ การลบชื่อออกจากสารบบสภาทนายความ นอกจากนี้ จะถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์และยักยอกทรัพย์ผู้อื่นด้วย ส่วนคดีฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร ที่แจ้งความไว้กับ สน.บางยี่ขัน นั้น คดีฉ้อโกงผู้เสียหายได้ถอนคำแจ้งความร้องทุกข์ไปแล้ว ดำเนินคดีอีกครั้งไม่ได้ ส่วนคดีปลอมแปลงเอกสาร พนักงานสอบสวนส่งสำนวนไปยังชั้นอัยการแล้ว พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. สั่งการให้ พ.ต.อ.อรรถวุฒิ นิวาตโสภณ ผกก.สน.บางยี่ขัน ไปดูว่าจะช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายได้อย่างไร
อันดับ 3 : ลุ้นของจริง! “หอชมเมืองกรุงเทพมหานคร” รัฐไฟเขียวเอกชนสร้าง 4.6 พันล้าน
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. อนุมัติให้ยกเว้นโครงการพัฒนาที่ดินราชพัสดุ ติดกับโครงการ ICONSIAM ในซอยเจริญนคร 7 ถนนเจริญนคร เขตคลองสาน กทม. เพื่อก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร สามารถดำเนินการคัดเลือกเอกชนได้โดยไม่ใช้วิธีประมูล ตามประกาศของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ พีพีพี มูลค่า 4,621.47 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นต้นแบบในการน้อมนำศาสตร์พระราชามาใช้ดำเนินโครงการ โดยจัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่มีความโดดเด่นของเอกลักษณ์ไทย และเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งยุค โดยใช้เทคโนโลยีและความรู้ชั้นสูงทางด้านการออกแบบวิศวกรรม บริหารจัดการที่ล้ำสมัย ตามนโยบายของรัฐบาลไทยแลนด์ 4.0 โดยมีความสูง 459 เมตร ดำเนินโครงการโดย มูลนิธิหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นการใช้งบประมาณของรัฐบาล มีการพิจารณามานานแล้ว ซึ่งรัฐบาลมองเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น ในการเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพมหานคร อีกทั้งไม่ใช่เรื่องธุรกิจ เพราะเป็นพื้นที่ต้องใช้ประโยชน์อยู่แล้ว ขณะที่ นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่มูลนิธิและภาคเอกชนรวมกันกว่า 50 องค์กร ได้เสนอตัวเข้ามาลงทุนในพื้นที่ราชพัสดุขนาด 4 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวาของกรมธนารักษ์ ตั้งแต่ปี 2558 เพื่อสร้างหอชมเมืองและใช้เป็นต้นแบบเทิดพระเกียรติศาสตร์พระราชา ในหลวง รัชกาลที่ ๙ โดยนำที่ราชพัสดุไปสนับสนุนให้เช่าราคาถูกเท่านั้น เดิมเป็นที่ทำงานของตำรวจน้ำ เข้าออกได้ทางแม่น้ำเจ้าพระยาทางเดียว แต่ปัจจุบันไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ซึ่งจะคิดค่าเช่าที่ 70 ล้านบาท ระยะเวลา 30 ปี
อันดับ 4 : อนุมัติเงียบ! สบช่อง “ประยุทธ์” พบ “ทรัมป์” ซื้อเฮลิคอปเตอร์ “แบล็กฮอว์ก” 4 ลำ
หลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาเยือนทำเนียบขาว ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ยอมรับว่า ได้ให้หน่วยขึ้นตรงกลาโหม และ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ทำการสำรวจยุทโธปกรณ์ ที่ได้รับการสนับสนุนมาจากสหรัฐอเมริกาในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา อาจจะมีการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กให้ครบ 1 ฝูงบิน แต่วันต่อมา พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ระบุว่า โครงการจัดหาแบล็กฮอว์กผ่านไปแล้ว สภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติขายเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กให้ไทยอีก 4 เครื่อง ระหว่าง ต.ค. ถึง พ.ย. 2559 และคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไปแล้วเมื่อเดือน ก.พ. 2560 ผูกพันปีงบประมาณ 2560 - 2562 ซึ่งตามรายงานจะใช้วงเงินกว่า 3,000 ล้านบาท
ปัจจุบันกองทัพบกมีแบล็กฮอว์กจำนวน 12 ลำ ซึ่งในหนึ่งฝูงบินจะต้องมีแบล็กฮอว์ก 16 ลำ โดยจะจัดซื้อแบบโครงการความช่วยเหลือทางทหารระหว่างกองทัพบกไทย กับกองทัพบกสหรัฐอเมริกา หรือ FMS ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ก่อนหน้านี้ สหรัฐอเมริกาตอบโต้ด้วยการลดระดับความสัมพันธ์ทางทหารและทางการทูตกับไทย ระงับการขายอาวุธ รวมถึงลดระดับฝึกฝนและซ้อมรบร่วมทางทหาร หลัง พล.อ.ประยุทธ์ ทำรัฐประหาร เข้าควบคุมอำนาจการปกครองเมื่อปี 2557 ผลักดันให้ไทยหันไปหาประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจีน โดยเฉพาะการซื้อเรือดำน้ำจีน มูลค่า 393 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และซื้อรถถังจีน 10 คัน มูลค่า 58 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หลังประธานาธิบดี ทรัมป์ เข้ามาบริหารประเทศ เชิญนายกรัฐมนตรีของไทยไปเยือนทำเนียบขาว ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อเมริกาขายยุทโธปกรณ์ทางทหารแก่ไทย มูลค่ากว่า 960 ล้านดอลลาร์ ในนั้นรวมถึงเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์ก ระบบขีปนาวุธจากอากาศสู่อากาศ ขีปนาวุธทางเรือ และระบบตอร์ปิโด แม้หลังรัฐประหารก็ยังขายอาวุธยุทโธปกรณ์ไปแล้ว 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อันดับ 5 : วิบากกรรมออนไลน์! อียูปรับกูเกิล 9 หมื่นล้านบาท - กสทช. คุม “เฟซบุ๊ก-ยูทูป”
แม้ธุรกิจออนไลน์จะยังโตวันโตคืนสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนทั่วโลก แต่ก็ยังเจอวิบากกรรมทางกฎหมายของแต่ละประเทศ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. มีรายงานว่า สหภาพยุโรป (อียู) ออกคำสั่งปรับกูเกิล 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 9.1 หมื่นล้านบาท ฐานผูกขาดผลเสิร์ชบริการเปรียบเทียบดีลซื้อสินค้าออนไลน์จนทำให้ในช่วงที่ผ่านมาเกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หลังสอบสวนกูเกิลมานานกว่า 7 ปี พร้อมลงมือปรับเปลี่ยนกระบวนการให้บริการเสียใหม่ภายใน 3 เดือน โดยเฉพาะประเด็นการให้บริการเปรียบเทียบดีลซื้อสินค้าออนไลน์ หลังพบว่าการจัดอันดับผลการเสิร์ช บริการเปรียบเทียบดีลซื้อสินค้าออนไลน์ของตัวเองโดดเด่นกว่าบริการของรายอื่น ถือเป็นการทำผิดกฎหมายเรื่องผูกขาดการค้าในยุโรป ถือเป็นค่าปรับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในคดีต่อต้านการแข่งขัน หลังเคยสั่งปรับบริษัทอินเทลเมื่อปี 2552 ราว 1.06 ล้านยูโร
กลับมาที่ประเทศไทย กสทช. ได้นำ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ปี 2553 มาปรับใช้กับการกำกับดูแลแพลตฟอร์มโอทีที หรือ Over The Top โดยเมื่อเฟซบุ๊กและยูทูป ไม่มาแจ้งเป็นผู้ให้บริการกับ กสทช. ถือว่าประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการให้บริการที่ผิดกฎหมาย ฝ่าฝืน พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 โดยที่ผ่านมา พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการ กสทช. ที่ดูแลกิจการแพลตฟอร์มโอทีที ได้เชิญหลายฝ่ายหารือ อาทิ มีเดียเอเยนซี หรือกลุ่มธุรกิจ 47 องค์กร ที่ลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มโอทีที ย้ำว่าหากเฟซบุ๊กและยูทูปไม่มาแจ้งเป็นผู้ให้บริการกับ กสทช. ต้องห้ามลงโฆษณา ไม่เช่นนั้น จะส่งหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์ ประณามว่า เป็นบริษัทไร้ธรรมาภิบาล ให้การสนับสนุนของเถื่อน พร้อมส่งจดหมายแจ้งไปยังสถานทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อแจ้งว่า ผู้ให้บริการทั้ง 2 เป็นแพลตฟอร์มเถื่อน ไม่ปฎิบัติตามกฎหมายของประเทศไทย
อันดับ 6 : เลือดร้อน! หนุ่มยาริสคว้าไม้เบสบอลทุบกระจกกระบะ แจงอีกฝ่ายชนแล้วหนี
อาการหัวร้อนขณะใช้รถใช้ถนนยังมีให้เห็นเรื่อยๆ ในโลกโซเชียลมีการแชร์คลิปเหตุการณ์ที่ผู้ขับขี่รถยนต์โตโยต้า ยาริส สีเทา ทะเบียน สย 9119 กรุงเทพมหานคร ปาดหน้ารถกระบะอีซูซุ ไฮแลนเดอร์ สีดำ ทะเบียน บร 8824 สระบุรี ก่อนที่คนขับรถเก๋งจะใช้ไม้เบสบอลกระหน่ำตีเข้าที่กระจกรถกระบะ และยังขับรถไล่ล่าจนไปชนรถกระบะนิสสันสีดำ ทะเบียน ชพ 896 กทม ที่จอดอยู่ข้างทางเสียหายอีกคัน ทำให้ นายอนุสรณ์ สิริพลภักดี อายุ 24 ปี พ่อต้าตลาดนัด พร้อมภรรยาและลูกชายวัย 2 ขวบ ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 มิ.ย. ที่ผ่านมา บนถนนเลียบคลองสอง เขตคลองสามวา กทม. แล้วคลิปถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. กลายเป็นที่วิจารณ์บนโลกโซเชียล
ต่อมาวันที่ 28 มิ.ย. นายนิอับดุลอาชิส มิเงาะ อายุ 35 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เข้ามอบตัวกับ สน.คันนายาว เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาขับรถประมาทหวาดเสียว ทำให้เสียทรัพย์ และทำร้ายร่างกาย อ้างว่า นายอนุสรณ์ กลับรถแล้วเบียดขวารถตนจนกระจกมองซ้ายเสียหายแล้วหลบหนี จึงรีบขับรถตัดหน้าแล้วหยุด คว้าไม้เบสบอลออกมาป้องกันตัว เพราะรถติดฟิล์มมืด เคาะกระจกเรียก 2 ครั้งไม่เปิด นายอนุสรณ์กลับจะเร่งเครื่องหลบหนี จึงใช้ไม้เบสบอลตีกระจกแค็บหลังรถ 1 ครั้ง แล้วขับรถไล่ตามนายอนุสรณ์เพราะคิดว่าหนีแน่นอน กระทั่งรถนายอนุสรณ์ไปชนรถคันอื่น ทีแรกเจรจาตกลงค่าเสียหายเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันกิดเหตุ แต่เมื่อมีการปล่อยคลิปทำให้ตนเสียหาย จะแจ้งความกลับนายอนุสรณ์ข้อหาชนแล้วหนี ส่วนค่าเสียหายยอมชดใช้ให้ทั้งหมด แค่ไม่ควรเรียกร้องมากเกินไป พร้อมขอโทษสังคมที่ดูคลิปแล้วมีอารมณ์โกรธ ทั้งนี้ ตำรวจจะแจ้งข้อหานายอนุสรณ์ ข้อหาขับรถประมาททำให้ทรัพย์สินเสียหายแล้วไม่ลงให้การช่วยเหลือตามสมควรอีกด้วย
อันดับ 7 : ตามหารักแท้! หนุ่มหาแฟนทางเฟซบุ๊ก เจอสาวพาพวกรุมตีอ้างโรคจิต
การหาคู่ทางอินเทอร์เน็ตใช่ว่าจะราบรื่น เฉกเช่นเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ได้ปรากฏคลิปชายหนุ่มรายหนึ่ง ชื่อว่า นายธีร์ (ขอสงวนนามสกุล) ถูกผู้หญิงนามว่า น.ส.บุ๋น (นามสมมติ) และเพื่อนผู้ชาย 2 - 3 คน รุมทำร้าย อ้างว่า ฝ่ายชายเป็นโรคจิต จะให้เงิน 20,000 บาท แลกกับการมีเพศสัมพันธ์ 4 วัน ใน 1 เดือน แต่ถูกตั้งข้อสังเกตในโลกโซเชียลว่า ฝ่ายชายมาขอจีบผู้หญิงรายนั้นก่อน ฝ่ายหญิงตอบรับ ระบุว่า “โอนเงินให้เรา เราคบกับเธอ” ก่อนที่ฝ่ายชายจะเสนอกติกาคบแฟนให้เงินใช้เดือนละ 20,000 บาท แลกกับมีเพศสัมพันธ์ 4 วันใน 1 เดือน มีให้ทิปเพิ่มอยู่แล้ว เดือนตุลาคมนี้พาไปเที่ยวญี่ปุ่น พร้อมกล่าวว่า “มีแฟนคนแรกเริ่มให้เธอ 3 เดือนหมดไป 7 หมื่นกว่าบาท กลับจากเกาหลีจึงบอกเลิก” ก่อนที่จะไปหาแล้วถูกทำร้ายร่างกายดังกล่าว ระหว่างนั้นฝ่ายชาย กล่าวว่า “ผมขอโทษ ผมอยากมีแฟน ผมอยากพบรักแท้”
ต่อมาวันที่ 30 มิ.ย. นายธีร์ ได้เปิดเผยกับรายการ “ทุบโต๊ะข่าว” ทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวี ระบุว่า ตนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่ใช่โรคจิต ทำอาชีพเป็นสถาปนิกในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง วันเกิดเหตุ น.ส.บุ๋น แอดเฟซบุ๊กมาหา แล้วเมื่อนายธีร์ตอบรับเป็นเพื่อนก็ทักทายขอเป็นแฟน ฝ่ายหญิงไม่ได้ตอบกลับอะไรมา กระทั่งวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 22.00 น. น.ส.บุ๋น ตอบกลับมาว่า จีบได้ หลังจากนั้น ก็คุยกันต่อถึงเวลา 03.00 น. เมื่อ น.ส.บุ๋น ขอเงินตนก่อน 3,000 บาท บอกว่า จะเอาเงินไปเที่ยวปาร์ตี้ ก็ถามถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ แต่เมื่อไม่สะดวกที่จะโอนเงินเพราะฝนตก ขู่ว่าถ้าไม่ให้จะบล็อกเฟซบุ๊ก จึงนัดเจอกันที่หอพักรายวันแห่งหนึ่ง ในซอยนาคนิวาส 16 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ เวลา 10.00 น. ระหว่างนั้นก็ถูก น.ส.บุ๋น เร่งเร้าให้โอนเงิน จังหวะที่ไปโอนเงิน เจอกับกลุ่มเพื่อนของ น.ส.บุ๋น เป็นผู้ชาย 3 - 4 คน ก็ไปหากลุ่มเพื่อนว่า ใช่บุ๋นหรือเปล่า ฝ่ายหญิงก็ถามถึงเรื่องเงิน ก่อนกลุ่มเพื่อนบล็อกตัว ไม่คิดว่าจะถูกทำร้าย ด้านฝ่ายสืบสวนของ สน.โชคชัย เชิญนายธีร์ไปสอบปากคำแล้ว พร้อมสั่งไม่ให้ข่าวใดๆ แก่สื่อมวลชน