xs
xsm
sm
md
lg

#MGRTOP7 : ลวงฆ่า-คาร์บอมบ์ “บิ๊กซีปัตตานี” | ที่แท้ “หนุ่ม อบต.” อ้างผู้ว่าฯ กินเด็ก | รักชีวิตอย่าคิดสู้ “ไฟแนนซ์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่น ประเด็นฮอต ที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทาง www.manager.co.th และเฟซบุ๊ก MGROnline Live แฮชแท็ก #MGROnline #MGRTOP7 หรือ http://bit.ly/mgrtop7

(สรุปข่าวประจำวันที่ 6 - 12 พ.ค. 2560)

อันดับ 1 : สลด! "คาร์บอมบ์" บิ๊กซีปัตตานี โจรใต้สุดเหี้ยมใช้มัสยิดฆ่าชิงรถ หวังสร้างความแตกแยกคนพื้นที่้

เหตุลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ที่สะเทือนขวัญคนทั้งประเทศ เกิดขึ้นกับห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ใน จ.ปัตตานี เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 9 พ.ค. เจ้าหน้าที่รับแจ้งว่ามีเหตุระเบิดประทัดยักษ์ที่หน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ปัตตานี ถนนหนองจิก ต.รูสะมิแล อ.เมืองฯ จ.ปัตตานี เมื่อเจ้าหน้าที่กำลังเคลียร์พื้นที่ คนร้ายที่แฝงตัวได้ขับรถกระบะอีซูซุดีแมคซ์ สีเทา บรรจุระเบิดแสวงเครื่องออกมาจากลานจอดรถ แล้วจอดที่ประตูทางเข้าห้างฯ ก่อนวิ่งหนีออกมาขึ้นรถจักรยานยนต์ที่เพื่อนติดเครื่องยนต์รออยู่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่รถกระบะจะระเบิดขึ้นและเกิดเพลิงไหม้ ทำให้โครงหลังคาหน้าห้างและตัวอาคารเสียหายบางส่วน ต้องปิดให้บริการถึงวันที่ 1 มิ.ย. และมีผู้บาดเจ็บรวม 61 ราย หนึ่งในนั้นสาหัส 3 ราย ความเสียหายมีรถยนต์ 32 คัน จักรยานยนต์ 26 คัน ร้านค้า 44 ร้าน ขณะที่รถคันดังกล่าวเป็นของนายนุสน ขจรดำ อายุ 45 ปี พ่อค้าขายผ้าใบใน จ.ยะลา ซึ่งในวันเกิดเหตุไม่สามารถติดต่อได้ หลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า 1 ใน 4 คนร้ายคือนายมะกอเซ็ง หม้าแอ้ อายุ 25 ปี มีหมายจับคดีความมั่นคง 3 หมาย เกี่ยวข้องกับเหตุลอบวางระเบิด

ต่อมาในวันที่ 11 พ.ค. ได้ควบคุมตัวนายสะมาแอล มามะ อิหม่ามประจำมัสยิดบ้านใหม่ หมู่ 3 ต.เกาะเปาะ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เข้าสู่กระบวนการซักถามที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร หลังมีพยานแจ้งเบาะแสว่าพบรถกระบะคันดังกล่าวจอดอยู่ที่มัสยิด มีชายฉกรรจ์เข้าไปด้านในก่อนมีเสียงปืนดังขึ้น แล้วแบกร่างเจ้าของรถใส่ท้ายกระบะขับออกไป จากการตรวจสอบพบรอยเลือดมนุษย์ที่พื้นในมัสยิด ก่อนควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 1 คน ที่ให้การซัดทอดว่าเป็นแกนนำ กระทั่งพบศพนายนุสน เจ้าของรถกระบะถูกฆ่าทิ้งในร่องน้ำ ในสวนยางพารา หมู่ 1 ต.เกาะเปาะ สภาพศพมีรอยถูกรัดที่ลำคอ ถูกยิงที่แก้มขวา 1 นัด ถูกมัดมือไพล่หลังและมัดข้อเท้าทั้ง 2 ข้าง โดยนายนุสนถูกลวงให้ไปติดตั้งกันสาดในมัสยิดแล้วฆ่า กระทั่งตำรวจสามารถจับกุม นายสุไฮนิง สะมะแอ กองกำลังอาร์เคเคที่ร่วมวางแผนและประสานงานปล้นรถ รับสารภาพว่าอยู่ในกลุ่มที่ก่อเหตุจริง โดยมีผู้เกี่ยวข้องอีก 8 คน มีหมายจับติดตัวอยู่ และที่ทำเพราะถูกบังคับจากคนที่อยู่เหนือกว่าในขบวนการ ซึ่ง พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผบ.ฉก.ปัตตานี ระบุว่า กลุ่มคนร้ายวางแผนใช้มัสยิด และบีบบังคับบุคคลทางศาสนาก่อเหตุ หวังสร้างความแตกแยกระหว่างประชาชนในพื้นที่

อันดับ 2 : ใหญ่จริง! บุกประตูเทียบเครื่องบิน "สุวรรณภูมิ" ไลฟ์สดรับก๊วน ความปลอดภัยอยู่ที่ไหน?

เรื่องของบุคคลภายนอกเข้าไปในเขตหวงห้ามของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และยังมีการใช้เฟซบุ๊กไลฟ์ จนทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวในแวดวงการบินเกิดขึ้น เมื่อเฟซบุ๊ก “แหม่มโพธิ์ดำ” และเฟซบุ๊ก “The Purge Forex : เทรดเกรียน เซียนล้าง” เผยแพร่คลิปชายผู้หนึ่งเข้าไปถึงประตูเทียบเครื่องบินหมายเลข F5 ซึ่งเป็นพื้นที่หวงห้ามในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อเวลา 02.45 น. ของวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยภายหลังพบว่ามารับนายวรวัฒน์ นาคแนวดี อาจารย์สอนลงทุนตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศชื่อว่า “ฟอเรกซ์” (FOREX) ซึ่งกลับมาจากประเทศจีน โดยชายคนดังกล่าวยืมบัตรที่ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิออกให้กับข้าราชการตำรวจ สังกัดกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว (บก.ทท.) ขณะนี้ตำรวจนายดังกล่าวถูกสั่งย้ายไปช่วยราชการส่วนอื่น และถูกตั้งกรรมการสอบแล้ว





ด้านนายศิโรตม์ ดวงรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ชี้แจงว่า บุคคลภายนอกที่ผ่านเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามได้นั้น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่าได้ใช้บัตรรักษาความปลอดภัยชนิดไม่มีภาพถ่ายของผู้ถือบัตร ออกให้กับหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้ใช้ในภารกิจของหน่วยงานเท่านั้น ผู้ที่ใช้บัตรผ่านของผู้อื่น อาจมีความผิดตามกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่หวงห้าม จะยกเลิกการใช้บัตรรักษาความปลอดภัยดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงระบบความปลอดภัยว่าไม่ได้มาตรฐาน ปล่อยให้คนนอกสามารถเข้าในพื้นที่หวงห้ามได้

อันดับ 3 : ดราม่ากระทะดัง “โคเรียคิง” ราคาสิงคโปร์แค่ 600 - “วู้ดดี้” แจงคนละรุ่น

ยังคงเป็นเรื่องฮือฮาสำหรับกระทะยี่ห้อ “โคเรียคิง (Korea King)” หรือ ที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “กระทะวู้ดดี้” เหตุเพราะมีพิธีกรชื่อดัง “วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา” เป็นพรีเซ็นเตอร์ออกอากาศทีวีทุกช่อง จำหน่ายมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 โดยตั้งราคาปกติ 15,000 บาท แต่ขายจริง ซื้อ 1 แถม 1 ในราคา 3,300 บาท พร้อมตะหลิวราคา 900 บาทอีกหนึ่งด้าม ทำให้กระทะดังกล่าวขายดิบขายดีจนมีใช้แล้วกว่า 1 ล้านครัวเรือน แต่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีผู้โพสต์ภาพกระทะยี่ห้อเดียวกันที่สิงคโปร์ ราคาเพียงแค่ 600 บาท จนสังคมเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า ราคาที่แท้จริงเท่าไหร่กันแน่ และเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตั้งราคาสูงเกินความจริงแล้วลดราคาลงมากกว่าครึ่งเพื่อจูงใจลูกค้าหรือไม่

ผู้จัดจำหน่ายกระทะโคเรียคิงในประเทศไทย ชี้แจงว่า รุ่นที่จำหน่ายที่สิงคโปร์เป็นรุ่นประหยัด แต่ได้หยุดจำหน่ายมากว่า 1 ปีแล้ว ขณะที่วู้ดดี้เฟซบุ๊กไลฟ์ชี้แจงว่า ภาพกระทะที่ขายในประเทศสิงค์โปร์เป็นกระทะทำแพนเค้ก และเป็นรุ่นที่ลดราคาล้างสต็อก ต่างจากรุ่นที่ขายในประเทศไทยเป็นรุ่นพรีเมียม ถึงกระนั้น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักนายกรัฐมนตรี (สคบ.) ชี้แจงว่า กระทะโคเรียคิงไม่ถือเป็นสินค้าควบคุมราคา แต่ได้เรียกผู้จัดจำหน่ายส่งเอกสารการโฆษณาทั้งหมด พร้อมจะจัดให้มีการทดสอบคุณภาพของสินค้า และพิจารณาการจัดให้มีของแถมหรือสิทธิประโยชน์โดยให้เปล่าอีกด้วย
ภาพจากแฟ้ม
อันดับ 4 : โป๊ะแตก! สืบสวนพบคณะ อบต.นนทบุรีซื้อกามเด็ก อ้างตัวเป็นผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน

มหากาพย์คดีค้ากาม สภ.น้ำเพียงดิน จ.แม่ฮ่องสอนยังไม่จบ หลังก่อนหน้านี้มีการร้องเรียนจากมารดาเหยื่อวัย 14 ปี มีการจับกุมตั้งแต่ ด.ต.ยุทธชัย ทองชาติ ผบ.หมู่ ป.สภ.น้ำเพียงดิน หัวหน้าแก๊ง กลุ่มพ่อเล้า-แม่เล้า 8 คน รวมทั้งผู้ซื้อบริการที่มีทั้งตำรวจและครู ขณะที่นายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ถูกย้ายไปช่วยราชการที่กระทรวงมหาดไทย ล่าสุดพบว่ามีข้อมูลพาดพิงไปถึงคณะศึกษาดูงาน อบต.บ้านใหม่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เข้าพักที่ธนโชติรีสอร์ท อ.เมืองฯ จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2559 และเรียกซื้อบริการเด็กสาว 4 ราย ไปร่วมหลับนอน แม้นายวสุ ผันเงิน นายก อบต.บ้านใหม่ จะปฏิเสธก็ตาม เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ชุดสอบสวนคดีค้ากามนำรูปถ่ายบุคคลซึ่งเดินทางมากับคณะของ อบต.บ้านใหม่มาให้ผู้เสียหายชี้ตัว พบว่าได้ชี้ตัว 5 คน ซื้อบริการเด็กสาว 4 คนจริง จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ นายสืบศักดิ์ได้เข้าพักที่โรงแรมอิมพีเรียล แม่ฮ่องสอน รีสอร์ท พร้อมภรรยาและคณะรวม 24 คนในวันที่ 1 ต.ค. 2559 ก่อนที่ช่วงเช้าวันที่ 2 ต.ค. 2559 จะเช็กเอาท์และเข้าพักที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัด

พล.ต.ต.ภาณุเดช บุญเรือง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า ผู้เสียหายให้การกับทีมสืบสวนว่า คืนวันเกิดเหตุมีเด็กสาวไปร่วมขายบริการที่ธนโชติรีสอร์ต จำห้องพักได้ว่าหมายเลข 12 โดยมีคนอ้างตัวว่าเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อได้รับข้อมูลจึงลงพื้นที่สอบถามขบวนรถตู้ที่รับส่งคณะ อบต. และพยานอื่น ๆ บ่งชี้ว่าคืนวันเกิดเหตุ คณะที่รถตู้รับส่งมาโรงแรมดังกล่าวคือ คณะของ อบต. เข้าพักห้องเลขที่ 12 และจากการชี้ภาพของเด็กยืนยันแน่ชัดว่า มีบุคคล 5 คนในคณะ อบต. ใช้บริการเด็กทั้งหมด 4 คน โดยมีเด็กสาว 1 คน ให้บริการชายถึง 2 คนด้วย และในกลุ่มคนดังกล่าว ยังมีคนเมาคนหนึ่งแอบอ้างโอ้อวด ว่าเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ทำให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวทั้งหมดขึ้นมา ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย อย่างไรก็ตาม นายวสุอ้างว่ากำลังปรึกษาทนาย เพื่อฟ้องร้องเอาผิดต่อตำรวจ เนื่องจากทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และยืนยันว่าทุกคนยืนยันไม่ได้เรียกเด็กมาใช้บริการแต่อย่างใด

อันดับ 5 : ตำรวจพกปืนขู่ไฟแนนซ์ เมียเบี้ยวค่างวด 2 ปี โซเชียลกดดัน-ปิดยอดแพงกว่าเท่าตัว

เมื่อวันที่ 6 พ.ค. เฟซบุ๊กเพจ "อยากดังเดี๋ยวจัดให้ V.4" ได้เผยแพร่คลิปขณะที่พนักงานเร่งรัดหนี้สิน บริษัท กรุงไทย ออโต้ลีส จำกัด กำลังเข้าตรวจยึดรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแจ๊ซ สีขาว หมายเลขทะเบียน ฌอ 2979 กทม. ซึ่งมีผู้หญิงทราบชื่อ คือ น.ส.นพวรรณ จีระ เป็นคนขับ ภายในหมู่บ้านตะวันนา ถนนจตุโชติ แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพฯ เนื่องจากค้างชำระเป็นระยะเวลา 2 ปี กระทั่งมีชายไม่สวมใส่เสื้อ นุ่งกางเกงขายาวสีครีม ไม่สวมรองเท้า เดินถือปืนออกจากบ้าน แล้วขึ้นไปที่นั่งคนขับ ก่อนขับรถคันดังกล่าวออกไป ทราบชื่อภายหลังคือ ด.ต.เอกฉัตร สมสิริ ผบ.หมู่สืบสวน สน.บางเขน สามีของ น.ส.นพวรรณ เมื่อวันที่ 5 พ.ค. และ นางพัชรินทร์ จันทร์ศิริ และ นางดาวรุ่ง สายทองคำ ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.คันนายาว กลายเป็นกระแสจับตามองบนโลกโซเชียล



น.ส.นพวรรณ ชี้แจงว่า รถคันดังกล่าวเป็นรถมือสอง ซื้อด้วยเงินสดในราคา 4 แสนบาท แต่เมื่อมารดาเสียชีวิต และกู้หนี้ยืมสินเพื่อจัดงานศพแล้ว จึงนำรถไปเข้าไฟแนนซ์ผ่านนายหน้า และปลอมลายมือชื่อสามีโดยที่สามีไม่รู้ ได้เงินมา 160,000 บาท แต่ที่ไม่ได้จ่ายอ้างว่าบริษัทฯ ยังไม่ได้ส่งบัตรบาร์โค้ดมาให้ กระทั่งสามีรู้เรื่องราวก็ผ่านไปแล้วกว่า 1 ปี และไม่รู้ว่าสามีใช้ปืนข่มขู่เวลาอยู่นอกบ้าน โดยการเจรจาที่ สน.คันนายาว วันที่ 10 พ.ค. พบว่า บริษัท กรุงไทย ออโต้ลีส ยินยอมถอนแจ้งความกรณีข่มขู่ แต่ยังคงดำเนินคดีกับ ด.ต.เอกฉัตร เนื่องจากเป็นคดีอาญายอมความไม่ได้ ขณะที่ฝ่ายของ น.ส.นพวรรณ ได้โอนเงินปิดยอดให้กับบริษัทฯ ประกอบด้วยเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงิน 292,919 บาท เมื่อวันที่ 11 พ.ค. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทางบริษัทฯ จะทำเรื่องเล่มทะเบียนรถต่อไป และไม่ติดใจเอาความใดๆ อีก

อันดับ 6 : พยาบาลนับหมื่นเคว้ง! ครม. ไม่อนุมัติบรรจุข้าราชการ - ก.พ. แนะเพิ่มงานคนในโรงพยาบาลให้คุ้ม

หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 9 พ.ค. มีมติไม่อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 10,992 อัตรา โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำตำแหน่งว่างที่มีอยู่ และตำแหน่งที่จะว่างในอนาคตมาบริหารจัดการเพื่อรองรับการบรรจุพยาบาลวิชาชีพตามความจำเป็น ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจแก่พยาบาลลูกจ้างชั่วคราวที่ต้องการบรรจุเป็นข้าราชการจำนวนมาก เครือข่ายพยายาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราว ประกาศเชิญชวนแสดงจุดยืนระบุว่า รัฐบาลไม่เห็นความสำคัญของพยาบาล เท่ากับรัฐบาลทิ้งประชาชน โดยมีข้อความว่า “ไม่บรรจุ ลาออกยกกระทรวง 30 กันยายน 2560” และ “ขอบคุณรัฐบาล ที่ไม่เห็นความสำคัญของพยาบาล 30 ก.ย. 60 ลาออกทั้งประเทศ”

ต่อมาวันที่ 11 พ.ค. นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข ได้ประชุมด่วนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ระบุว่า นายกรัฐมนตรีห่วงเรื่องนี้ สั่งว่าต้องบริหารจัดการให้เต็มที่ บุคลากรขาดหรือมีปัญหาก็ขอใหม่ได้ ขณะนี้จะปรับระบบบริหารอัตรากำลัง โดยใช้อัตราว่างที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยเตรียมเสนอตั้งคณะทำงานร่วม มาศึกษาเรื่องอัตรากำลังที่เหมาะสมของบุคลากรสาธารณสุขทุกวิชาชีพ และจะชี้แจงให้เห็นถึงความจำเป็นถึงการขาดแคลนพยาบาลและต้องเพิ่มความก้าวหน้า โดยคาดว่าปี 2560 จะบรรจุพยาบาลเป็นข้าราชการตามปกติอีก 2,600 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ชี้แจงว่า สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขมีตำแหน่งข้าราชการว่างอยู่ถึง 11,213 อัตรา จึงเสนอให้ใช้ตำแหน่งว่างไปกำหนดเป็นตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพได้ตามความจำเป็น และเสนอให้บุคลากรในโรงพยาบาลสนับสนุนการทำงานร่วมกับพยาบาลวิชาชีพ รวมทั้งปรับลดหรือทบทวนให้พยาบาลวิชาชีพทำเฉพาะภารกิจที่ต้องใช้จริง โดยอ้างว่า จำนวนพยาบาลวิชาชีพของไทยมีจำนวน 21.4 คน ต่อประชากร 10,000 คน สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่องค์การอนามัยโลกกำหนด

อันดับ 7 : การเมืองเปลี่ยนขั้ว “มาครง” คว้าผู้นำฝรั่งเศส - “มูน แจ-อิน” ได้เป็น ปธน.เกาหลีใต้

การเมืองระหว่างประเทศที่ทั่วโลกจับตามอง เริ่มจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบตัดสิน เมื่อวันที่ 7 พ.ค. นายเอ็มมานูแอล มาครง ผู้สมัครแนวคิดสายกลางวัย 39 ปี ชนะเลือกตั้งรอบตัดสินด้วยคะแนนมากกว่า 66% ทิ้งห่างคู่แข่งอย่างนางมารีน เลอแปน ผู้สมัครแนวคิดชาตินิยม ที่ได้เพียง 34% โดยเจ้าตัวกล่าวว่า เขาจะเยียวยาความแตกแยกต่างๆ ของฝรั่งเศส ที่กำลังเป็นบ่อนทำลายชาติ อย่างไรก็ตาม ผลการนับคะแนนพบว่ามีชาวฝรั่งเศสไม่ไปออกเสียงเลือกตั้งมากกว่า 25.38% สูงที่สุดตั้งแต่ปี 1969 อีกทั้งมีคนหย่อนบัตรเปล่าและทำบัตรเสียมากถึง 11.5% แสดงให้เห็นว่าชาวฝรั่งเศส 1 ใน 3 ของจำนวน 47 ล้านคน ปฏิเสธที่จะเลือกผู้สมัครทั้งสองคน ซึ่งนับว่าสูงมากสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดี

ขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 9 พ.ค. แทนนางพัค กึน-ฮเย ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งข้อหาหารับสินบนและใช้อำนาจโดยมิชอบ และยังถูกคุมขังในเรือนจำ พบว่านายมูน แจ-อิน นักการเมืองหัวเสรี และอดีตทนายความด้านสิทธิมนุษยชน วัย 64 ปี เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ด้วยคะแนนมากกว่า 41.1% หรือ 13.4 ล้านเสียง ท่ามกลางผู้ออกมาใช้สิทธิ์สูงสุดในรอบ 20 ปี โดยในพิธีสาบานตน นายมูนเปิดเผยว่า จะเดินทางเยือนเกาหลีเหนือ พร้อมแสดงท่าทีว่าต้องการเจรจากับจีน และสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับระบบป้องกันขีปนาวุธ THAAD และให้คำมั่นว่า จะหาทางเจรจาเพื่อให้เกาหลีเหนือยุติโครงการนิวเคลียร์ และขีปนาวุธ รวมถึงลดความขัดแย้งด้านการค้ากับสหรัฐอเมริกา และจีน
กำลังโหลดความคิดเห็น